บทที่ 146 วิธีการจับชู้ที่แตกต่าง (2)
“……”อีกฝั่งหนึ่งของสายได้เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ“ช่างมันเถอะ ตระกูลเย่ไม่อนุญาตให้ใครรู้เรื่องในอดีต แม้กระทั่งภรรยาของลูกด้วย อีกอย่างเธอรู้แล้วก็ไม่มีผลดีต่อเธอเลย ลูกอย่าบอกเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ให้เธอฟังนะ ต่อไปก็ไม่ต้องให้ถิงถิงไปที่ลูกแล้วนะ จะได้ไม่ต้องมีความเข้าใจผิดในเรื่องที่ไม่จำเป็น”
อันที่จริงน้ำเสียงของเมิ่งชือเหยาเต็มไปด้วยความหวังในการรอคอย แต่กลับไม่ปล่อยวางไม่ได้
เธอรู้ดีว่าตระกูลเย่ไม่ให้ใครรู้เรื่องราวของเมื่อก่อน มิเช่นนั้นตอนนั้นตระกูลเย่ก็คงไม่ประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งยังจับงานศพที่จอมปลอมตบตาผู้คนอีกด้วย
เธอจากเมืองAมายี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยกลับไปเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับ แต่เป็นเพราะไม่กล้า เธอรู้ดีว่าอำนาจของตระกูลเย่นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหนและรู้นิสัยการกระทำของคุณปู่เย่ดี
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอคิดถึงลูกชายจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ถึงขั้นร้องไห้ตื่นมาจากความฝัน
เธออยากเจอลูกชายจนจะเป็นบ้าแล้ว แต่เธอรู้ดีว่า ตั้งแต่ที่ตระกูลเย่ประกาศข่าวว่าเธอได้เสียชีวิตแล้ว การที่เธออยากพบลูกชายก็กลายเป็นความหวังลมๆแห้งๆยากจะเป็นจริง เกรงว่าจะไม่ได้เจอกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว
เพียงแต่เธอไม่คิดว่าเมื่อ 8 ปีก่อน ลูกชายของเธอจะมาอยู่ตรงหน้าของเธอ ตอนนั้นเธอรู้สึกเหมือนกับทุกสิ่งนั้นเป็นความฝัน
แน่นอนว่าเรื่องนี้ปิดคุณปู่เย่ไม่ได้ จากนั้นคุณปู่เย่ได้ให้คนมาตักเตือนเธอ
คุณปู่เย่ยังให้ความกดดันมหาศาลแก่เย่ซือเฉิน แต่เย่ซือเฉินก็ยังคงทำตามอำเภอใจของตน ยังคงมาพบเธออยู่
ตอนนั้นเธอรู้ว่าลูกชายของเธอได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ในเมื่อลูกชายยังไม่กลัว แล้วเธอจะไปประนีประนอมได้อย่างไรกัน เธอจะไม่ให้ลูกชายเสียใจ ไม่ให้ลูกชายผิดหวังเป็นอันขาด
เหตุการณ์ในอดีตก็ไม่ใช่ความผิดของเธออยู่แล้ว
ตั้งแต่ตอนนั้นลูกชายก็จะหาเวลามาเยี่ยมเยือนเธอบ่อยครั้ง อีกทั้งยังช่วยโร่ถิงทุกเรื่องอีกด้วย
ตอนนี้ลูกชายแต่งงานแล้ว เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกชายจะมีความสุขในชีวิต
เย่ซือเฉินไม่ได้พูดอะไร ปกติเขาก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่กระทำแทนคำพูดเสมอ
“พี่ชาย พี่จะพาพี่สะใภ้ไปหาหม่ามี้จริงๆหรือ?”เย่ซือเฉินวางสายแล้ว แต่เมิ่งโร่ถิงเหมือนจะยังตามเหตุการณ์ไม่ทัน
“อืม”ครั้งนี้ เย่ซือเฉินได้ตอบเธอ ซึ่งไม่ใช่จะได้คำตอบมาง่ายๆเลย
“พี่ไม่กลัวพี่สะใภ้จะรู้เรื่องในอดีตเหรอ?”เมิ่งโร่ถิงตกตะลึง เธอรู้เขาดีว่า เขาไม่ได้พูดพร่ำเพรื่อ สิ่งที่เขาพูดออกมา เขาจะทำได้แน่
“พี่ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องปิดบังเธอ”มุมปากของเย่ซือเฉินยกขึ้น เขาขอเธอแต่งงาน พวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน เรื่องของเขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเธอ
แต่ว่าตอนนี้เวลายังไม่เหมาะสม เหมือนที่คุณแม่พูด ตอนนี้ให้เธอรู้เรื่องก็ไม่มีผลดีอะไรต่อเธอ
ต่อไป เรื่องราวทั้งหมดของเขา เขาจะค่อยๆบอกให้เธอรับรู้
“ดีจังเลย”เมิ่งโร่ถิงดีใจอยากจะไปกระโดดกอดเย่ซือเฉิน
แต่ว่าแสงความเย็นชาในดวงตาของเย่ซือเฉินได้แผ่ออกมา ทำให้หยุดการกระทำของเธอ
“รู้แล้ว รู้แล้ว ต่อไปก็มีแต่พี่สะใภ้ที่จะกอดพี่ได้”เมิ่งโร่ถิงแลบสิ้นอย่างซุกซน และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“พี่ พี่สะใภ้เคยกอดพี่อย่างอบอุ่นเหมือนฉันไหม?”ดวงตาของเมิ่งโร่ถิงวาววาม จงใจพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค เมื่อได้เห็นสีหน้าของเย่ซือเฉินยิ่งเคร่งเครียดเธอก็ยิ่งยิ้มอย่างโอ้อวดขึ้นไปอีก แน่นอนว่าเธอเป็นคนที่เฉลียวฉลาด เวลานี้จึงรีบเผ่นหนีจะดีกว่า“ฉันกลับห้องก่อนนะ”
ตอนที่เมิ่งโร่ถิงเปิดประตูจะออกไป
ประจวบเหมาะกับที่เวินลั่วฉิงก็เปิดประตูออกมาเช่นกัน
เมิ่งโร่ถิงก็ต้องหยุดชะงักรีบมอง และเวลานี้เวินลั่วฉิงก็กำลังมองมาพอดี
ดวงตาทั้งคู่ได้สบตากัน!!
เวินลั่วฉิงมองเมิ่งโร่ถิง ในเวลานี้เมิ่งโร่ถิงใส่แต่ชุดนอนหนึ่งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง
เช้าๆแบบนี้ เธอออกมาจากห้องนอนของเย่ซือเฉิน ด้วยสถานการณ์และบรรยากาศแบบนี้มีความเป็นไปได้อยู่อย่างเดียวก็คือ
ดวงตาของเวินลั่วฉิงสว่างไสว เป็นชู้รักกันจริงๆด้วย
ถ้าเป็นเช่นนี้ เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าเย่ซือเฉินจะคิดอย่างไงกับเธออีกแล้ว มันช่างดีงามเสียจริงเชียว!!
เมิ่งโร่ถิงกลัวเธอจะเข้าใจผิดอยากจะอธิบาย แต่เมื่อเห็นท่าทีของเวนลั่วฉิงก็รู้ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง ตอนนี้เธอแน่ใจว่าพี่สะใภ้เข้าใจผิดแล้ว แต่กิริยาท่าทางหลังเข้าใจผิดของพี่สะใภ้มัน……
เย่ซือเฉินก็เห็นเวินลั่วฉิงแล้ว เห็นว่าเธอเห็นเมิ่งโร่ถิงออกมาจากห้องของเขา กลัวเธอจะเข้าใจผิด แต่ว่าเวลาต่อมาเห็นแววตาของเธอสว่างไว อีกทั้งยังมีความดีใจปมอยู่ด้วย
ทันใดนั้นเหมือนมีอะไรมากั้นอกของเขาไว้ หายใจเข้าออกไม่สะดวกเสียเลย
เธอเห็นผู้หญิงคนอื่นออกจากห้องนอนของเขาในตอนเช้าแล้วไม่รู้สึกโมโหอะไรเลย แถมยังรู้สึกดีใจเสียอีก?
เธอดีใจขนาดนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?ขอถามหน่อยว่าเธอดีใจอะไรกันแน่?
เวลานี้เย่ซือเฉินอยากจะลากเธอมาตีสักยกหนึ่ง
เย่ซือเฉินเดินออกมา ดวงตาทั้งคู่จ้องมองเธอไว้ มันเยือกเย็นราวกับภัยอันตรายที่กำลังมาเยือนสามารถเขมือบเธอเข้าไปอย่างไงอย่างนั้นเลย
เขารู้ว่าด้วยสถานการณ์เมื่อกี้ มันง่ายที่จะเข้าใจผิดได้ เขาก็รู้ดีว่าเธอเข้าใจผิดแล้ว
เธอเข้าใจผิดแล้วยังไม่มีความโมโหแม้แต่นิดเดียว แต่กลับมีสีหน้าที่ดีใจ จุดนี้ทำให้เย่ซือเฉินเกลียดจนอยากจะฆ่าคนยิ่งนัก
“ฉันไม่ได้เห็นอะไรเลย ไม่ได้เห็นอะไรเลย”เมื่อสบตาที่น่าหวาดกลัวของเขา เวินลั่วฉิงก็หยุดชะงัก จากนั้นก็อธิบายขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ
แน่นอนว่าอาจไม่นับว่าเป็นการอธิบายก็เป็นได้ น่าจะเป็นการแสดงท่าทีของเธอให้รู้เสียมากกว่าว่าเธอจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เย่ซือเฉินทึ้งไปตามๆกัน ในเวลาต่อมาสีหน้าของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น เขากัดฟันไว้ ราวกับจะกัดคอของเธอให้ขาดไปเสียก็ไม่ปาน
“คุณเห็นอยู่หยกๆ จะพูดปมได้ไงกันล่ะ?”เมิ่งโร่ถิงฝืนยิ้มไว้ในใจ แกล้งทำเป็นกลัดกลุ้ม
พี่สะใภ้น่ารักจังเลย
ครั้งแรกที่เธอเห็นพี่ชายถูกกระทำให้โมโหขนาดนี้ พี่สะใภ้เก่งจังเลย
ดวงตาของเวินลั่วฉิงกะพริบ พวกเขากังวลว่าเธอจะพูดออกหรือเปล่า?
“พวกคุณวางใจได้ ฉันจะเก็บเป็นความลับอย่างดี จะไม่มีทางพูดพร่ำเพรื่อกับใครเด็ดขาด”เวินลั่วฉิงรีบอธิบาย แถมยังเน้นเสียงคำว่า ใคร อีกด้วย
เธอรู้ว่าคุณปู่เย่ไม่อนุญาตให้เย่ซือเฉินกับเมิ่งโร่ถิงติดต่อกัน เธอรับรองว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้กับคุณปู่เย่ฟัง
คำพูดนี้เวินลั่วฉิงพูดให้เย่ซือเฉินฟัง ดังนั้นตอนนี้เธอจ้องมองเย่ซือเฉินไว้ และตอนพูดยังส่งแววตาให้เย่ซือเฉินวางใจอีกด้วย
“ใช่หรือ?”เย่ซือเฉินเกือบจะกระอักออกมาเป็นสายเลือด เขากัดฟันไว้จนมีเสียง สองคำที่เปล่งออกมานี้ก็ออกมาตามช่องโหวของฟันทั้งสองด้าน
ดวงตาทั้งคู่จ้องมองเธอ เป็นแววตาที่ทำให้ชวนขนลุกยิ่งนัก อีกทั้งยังแฝงอารมณ์อยากจะฆ่าคนเอาไว้ด้วย
ในเวลานี้เขาถูกเธอยั่วโมโหจนอยากจะฆ่าคนเสียแล้ว
“อืม ฉันรับรอง……”เวินลั่วฉิงรีบพยักหน้า กลัวเขาจะไม่เชื่อ
เมื่อสบตาที่มีอารมณ์อยากจะฆ่าคนของเขา เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอรับรองขนาดนี้แล้วเขายังคิดจะทำอะไรอีก?
เขาอยากจะฆ่าปิดปากหรือเปล่า?