หากพูดถึงพิธีเปิดภาคการศึกษาแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นในอดีตชาติของโรเอลหรือในปัจจุบัน ก็มีขั้นตอนมาตรฐานที่ทุกคนต้องผ่านเสมอ ยิ่งสถานศึกษามีเกียรติมากเท่าใด กระบวนการเหล่านั้นก็จะยิ่งอลังการยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น
พิธีเริ่มต้นด้วยคำปราศรัยจากนายกเทศมนตรีของเลนสเตอร์ ตามด้วยคำปราศรัยจากบุคคลสำคัญของภาคีแห่งปัญญาต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงทั้งหมด แน่นอนว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ไม่ได้ทำการสอนในสถาบัน แต่การรวบรวมพวกเขาทั้งหมดไว้ในที่เดียวได้เช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่หาดูได้ยาก
ภาคีแห่งปัญญา ไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรกันเสมอไป มีการแข่งขันกันเกิดขึ้นมากมายระหว่างพวกเขา บางครั้งความขัดแย้งเหล่านั้นอาจรุนแรง เนื่องจากความคิดเห็นแตกต่างกันของเหล่านักวิชาการ คล้ายกับที่นักฟิสิกส์ในอดีตชาติของโรเอล ที่หลงใหลเกี่ยวกับการถกเถียงถึงธรรมชาติที่แท้จริงของแสง เมื่อถึงจุดหนึ่ง สิ่งต่าง ๆ ก็จะร้อนระอุขึ้นจนฝ่ายอนุภาคและฝ่ายคลื่นเกือบจะตีกัน หวังปลุกความคิดของอีกฝ่ายด้วยการตีหัว
นักวิชาการในทวีปเซียเองก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าสิ่งต่าง ๆ ค่อนข้างอันตรายกว่ามาก เนื่องจากนักวิชาการเหล่านี้เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอันทรงพลัง หากพวกเขามาปะทะกันจริง ๆ อาจมีใครบางคนบาดเจ็บสาหัสหรือถึงกับเสียชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะสงบสติอารมณ์ อย่างไรก็ตามมันก็ยังค่อนข้างอันตรายเมื่อพวกเขาต้องมารวมตัวกันในงานสัมมนา
ในงานแลกเปลี่ยนทางวิชาการครั้งก่อน เคยมีนักวิชาการที่เบื่อหน่ายกับการถูกคนอื่นปฏิเสธงานทั้งชีวิตของเขา และจบลงด้วยการชกต่อย ‘ทฤษฎีงั้นเหรอ? ช่างหัวมันสิ! มาวัดกันดีกว่าว่าใครจะเก่งกว่ากัน!’ พวกเขาสู้กันจนเกือบหมดสติไปข้าง
มันเป็นเรื่องปกติที่นักวิชาการมักจะหัวแข็ง การอุทิศตนอย่างสุดความสามารถให้กับงานวิจัยมักจะหมายความว่า พวกเขาจะต้องขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นข้อแลกเปลี่ยน ส่งผลให้พวกเขาใช้คำพูดและจัดการกับอารมณ์ได้ไม่ดีนัก เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกโกรธและหงุดหงิด วิธีเดียวที่พวกเขาจะแสดงความรู้สึกของตนได้ก็คือการใช้ความรุนแรง
น่าแปลกที่แม้แต่อาจารย์ที่ได้รับการว่าจ้างมาจากอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ก็ยังควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า ถึงพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น แต่ไม่ค่อยคิดที่จะหันไปใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง
อัศวินเหล่านี้ต่างจากเหล่านักวิชาการที่ซุกตัวอยู่ในห้องเพื่อทำการวิจัยมาก พวกเขาได้เดินทางไปทั่วโลกและสั่งสมประสบการณ์ทางสังคม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเข้าหาคนได้ดีกว่าเหล่านักวิชาการ
หากมีโอกาสใดที่จะทำให้นักวิชาการเหล่านี้ละทิ้งความแค้นระหว่างกันลง คงจะมีเพียงพิธีการเปิดภาคการศึกษา และพิธีสำเร็จการศึกษาที่ถูกจัดขึ้นในหอประชุมแห่งนี้ ทุกคนรู้กันดีว่าวิธีที่ดีที่สุดในการรับสมัครบุคคล ก็คือตอนที่เขายังเด็กและโง่เขลา ทำให้ง่ายต่อการหลอกล่อให้เข้าร่วมองค์กร พิธีเปิดภาคการศึกษาประจำปีจึงเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับภาคีแห่งปัญญา เพราะมันเป็นตัวกำหนดว่าพวกเขาจะได้รับสมาชิกใหม่ไฟแรงมาหรือไม่
ซึ่งพิธีสำเร็จการศึกษาเองก็มีความสำคัญมากขึ้น ด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน
นอกจากผู้ที่ต้องกลับไปยังภูมิลำเนาเพื่อสืบสานมรดกของตระกูลหลังสำเร็จการศึกษาแล้ว ยังมีนักเรียนอีกหลายคนที่ไม่ได้สืบทอดตำแหน่งหลักของตระกูล เช่น ลูกของพ่อค้า ชาวบ้าน หรือคนที่หลงรักเมืองนี้หลังจากเรียนมาเป็นเวลาสี่ปี นั่นหมายความว่าภาคีแห่งปัญญาจะสามารถคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์มากมายจากสถาบันการศึกษาได้ทุก ๆ ครั้งที่มีการจัดพิธีการสำเร็จการศึกษา
เช่นเดียวกับที่สัตว์มีฤดูผสมพันธุ์ ในช่วงฤดูรับปริญญาสำเร็จการศึกษา ผู้นำระดับสูงของภาคีแห่งปัญญาจะกลายเป็นคนใจดีสนิทสนมกันจนน่ากลัว เหมือนกับกับดักแมลงวันที่คอยส่งกลิ่นหอมหวานเพื่อดักจับเหยื่อ
ดังนั้นตัวแทนของภาคีแห่งปัญญาจะมีรอยยิ้มอันแจ่มใสบนใบหน้าของพวกเขาระหว่างพิธีเปิดภาคการศึกษาและพิธีสำเร็จการศึกษา เพื่อหวังว่าจะสามารถสร้างความประทับใจให้กับเหล่านักเรียนได้ การประชาสัมพันธ์ของพวกเขาถูกเตรียมการมาอย่างดี ไม่ว่าจะทั้งอุปกรณ์เวทที่คอยส่องสว่าง หรือโปสเตอร์ที่ลอยอยู่ทุกที่ที่ได้รับอนุญาต มีแม้กระทั่งการ ‘เชิญ’ นักเรียนออกไปยังฐานปฏิบัติการของพวกเขา
สิ่งสำคัญก็คือการพยายามดึงตัวสมาชิกใหม่มาให้ได้มากที่สุด เพราะนักเรียนทุกคนที่พวกเขาล้มเหลวในการเชื้อเชิญ อาจหมายถึงการเพิ่มขนาดของภาคีคู่แข่ง
เมื่อมองไปยังตัวแทนของภาคีแห่งปัญญาบนเวที โรเอลก็เต็มไปด้วยความคิดที่อยากจะโต้แย้ง แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่กล้าพอที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพวกเขาอย่างเปิดเผย ได้แต่นั่งตัวตรงทำหน้าเคร่งขรึม เหมือน ๆ กับนักเรียนตัวอย่างที่คอยตั้งใจฟังชั้นเรียนอย่างจริงจัง
ในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนมาเกือบทั้งชีวิต มันไม่มีทางเลยที่โรเอลจะสนใจพิธีเปิดภาคการศึกษาอันน่าเบื่อนี้จริง ๆ จัง ๆ อย่างไรก็ตามเขาถูกบังคับโดยสถานการณ์ให้แสดงตัวเป็น “เด็กดี”
ปัจจุบันโรเอลนั่งอยู่ตรงกลางที่นั่งแถวยาว โดยทางด้านซ้ายของเขาคือนอร่า เซไซต์ และเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอ และทางขวาของเขาคือชาร์ล็อต โซโรฟยา และผู้ติดตาม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเลยทีเดียว
เด็กสาวทั้งสองคนทะเลาะกันก่อนที่จะเข้าไปในห้องประชุม โดยไม่มีใครเต็มใจที่จะถอยให้กับอีกฝ่าย ทะเลาะกันจนถึงเรื่องที่ว่าโรเอลควรจะนั่งตรงไหน
ตอนนั้นเองความคิดบางอย่างก็ได้ถูกจุดประกายขึ้นในใจของโรเอล เขาหันไปมอง “เพื่อนที่ดี” ของตนอย่างพอล ทว่าอีกฝ่ายกลับยกนิ้วโป้งให้กับเขาพร้อมยิ้มให้กำลังใจก่อนจะเดินจากไป
ขอให้ลูกพี่โรเอลโชคดี!
นั่นอาจเป็นเพียงจินตนาการของโรเอล แต่เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตนได้ยินความคิดของพอล เขาอาจจะรู้สึกอึดอัด หลังจากที่ได้รู้ถึงตัวตนของนอร่าและเห็นชาร์ล็อต ดังนั้นพอลจึงเลือกที่จะถอยออกไปเงียบ ๆ โดยนึกไม่ถึงว่านี่คือช่วงเวลาที่โรเอลต้องการเขาสุด ๆ
บ้าเอ๊ย! ทำไมนายถึงหนีไปแบบนั้นล่ะ?
โรเอลกัดฟันอย่างโมโห ขณะที่พอลหายตัวไปในฝูงชน หลังจากสูญเสีย ‘โล่พอล’ ไปแล้ว เด็กหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องเผชิญหน้ากับสองสาวที่กำลังเผชิญหน้ากัน หลังจากการทะเลาะวิวาทกันอย่างทรหดเป็นเวลานาน ในที่สุดสิ่งต่าง ๆ ก็จบลงอย่างที่เป็น
เด็กหนุ่มผมดำอาจจะดูสงบเสงี่ยมที่ภายนอก แต่หัวใจของโรเอลนั้นกลับสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว เขาได้รับการปกป้องเป็นพิเศษจากนอร่า ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกอายเกี่ยวกับการแสดงความรักในที่สาธารณะอีกต่อไป ที่แย่ไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเธอจะสนุกกับความตื่นเต้นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เห็นใบหน้าอันตื่นกลัวของเขา!
แน่นอนว่าชาร์ล็อตเองก็ใช่ย่อย อาจกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรที่เธอไม่กล้าทำที่นี่ ในเมื่อเด็กสาวกล้าที่จะทำเรื่องไร้สาระอย่างการลักพาตัวเขาออกมาจากเขตการปกครองแอสคาร์ดได้ คงไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เธอจะไม่กล้าทำอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลโซโรฟยายังเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอีกด้วย ถ้าหากชาร์ล็อตพยายามจะทำอะไร ก็มีโอกาสที่สถาบันจะเมินเฉยต่อสิ่งนั้น
เมื่อรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายแค่ไหน โรเอลก็รู้สึกกลัวมากเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะวางมือบนที่วางแขน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้โรเอลต้องแปลกใจก็คือ ด้วยที่มีนักเรียนจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ตัวพวกเขา เด็กสาวทั้งสองคนจึงพยายามอดทนอดกลั้นและไม่พยายามทำอะไรเกินเลย
เวลาผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุดโรเอลก็สามารถพักผ่อนได้ เขาหันความสนใจกลับไปที่พิธีเปิดภาคการศึกษา ซึ่งตอนนี้เหล่าตัวแทนของภาคีแห่งปัญญา ต่างก็ได้กล่าวสุนทรพจน์กันจนเสร็จแล้ว และตอนนี้งานก็ได้มาถึงช่วงที่สำคัญที่สุด
ไม้เท้าหนัก ๆ ถูกเคาะลงบนเวที พร้อมกับการปรากฏตัวของชายชราร่างสูงผู้สวมเสื้อผ้าอันประณีต ทันทีที่เขาขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าฝูงชน โรเอลก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในห้องประชุม
เสียงกระซิบทั้งหมดในหมู่นักเรียนหยุดลง และผู้ที่นั่งสบาย ๆ เองก็ปรับท่าทางให้ตรงอย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องปรับตัวเองโดยจิตใต้สำนึก เพื่อให้มีทัศนคติที่จริงจังเหมาะสมกับเวลานี้
อาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอ แห่งสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
นี่เป็นชื่อที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในทวีปเซีย และในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นชื่อที่ทุกคนต้องรู้ โดยมีเหตุผลสองประการที่อยู่เบื้องหลัง
ประการที่หนึ่ง เขาแข็งแกร่งมาก ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใดเพราะเขาไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวมาหลายปีแล้ว แต่ก็แน่ใจได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเซีย
ประการที่สอง เขาอาศัยอยู่มาเป็นเวลานานมาก ถ้าหากความทรงจำของโรเอลไม่ได้ผิดไป ชายชราคนนี้น่าจะมีอายุได้สี่ร้อยปีแล้ว ซึ่งค่อนข้างนานมากแม้แต่สำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วยกัน
แม้ว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะมีอายุยืนด้วยการเข้ากันกับพลังเวทที่มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงก็คือบางทีอายุขัยของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับต่ำก็ยาวนานกว่ามาก เพราะถึงแม้ว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงจะสามารถเพิ่มอายุขัยของพวกเขาได้มากกว่า แต่พวกเขาก็มีความรับผิดชอบที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออารยธรรมมนุษย์อยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะสั่นคลอนได้ทุกเมื่อตลอดช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมา ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงหลายคนจึงลงเอยด้วยการตายในการต่อสู้กับพวกกลายพันธุ์ที่บุกรุกมาจากทางทิศตะวันตก
การสู้รบในสงครามต้องใช้เงินและกำลังคนจำนวนมหาศาล ทำให้อาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล ซึ่งเป็นแหล่งให้กำเนิดเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของมนุษยชาติมีความสำคัญอย่างยิ่ง
แม้ว่าภาคีแห่งปัญญาทั้งหมดจะมีจำนวนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่มาก แต่หลายคนก็ไม่ได้รับการฝึกฝนให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เหมาะที่จะต่อสู้ในสงคราม ส่งผลให้อาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีอายุยืนยาวมากที่สุดในโลก
ทว่า แอนโตนิโอนั้นเป็นหนึ่งในผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ครั้งหนึ่งเคยก้าวเข้าสู่สนามรบเพื่อต่อสู้กับพวกกลายพันธ์ุ และประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่วุ่นวายนั้นแสดงให้เห็นถึงโอกาส ส่งผลให้ผู้ที่มีความทะเยอทะยานก็พร้อมที่จะเสี้ยมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทุกครั้งที่เกิดสงคราม ความสกปรกและปัญหาต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้อาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลจะปรากฏขึ้น ทำให้มีบางคนกระโจนออกมาหว่านเมล็ดพันธ์ุแห่งความขัดแย้งในช่วงเวลาวิกฤติ
เมื่อเล็งเห็นถึงความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากสงครามภายใน ขณะที่พวกเขากำลังรับมือกับภัยคุกคามจากภายนอก แอนโตนิโอจึงเลือกที่จะออกจากแนวหน้า เพื่อคอยรักษาความสงบในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลแทน ซึ่งการเปลี่ยนตำแหน่งนี้ก็ช่วยให้เขาต้องเผชิญกับอันตรายที่น้อยกว่าเดิมมาก
ยิ่งอายุมากขึ้น แอนโตนิโอก็ยิ่งได้รับการรับรองจากคนหมู่มาก เขายังคงใกล้ชิดกับประชาชนแม้จะว่าจะเป็นถึงประธานสภาปกครองของอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจากประชาชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า เขายังสนับสนุนให้นักเรียนมีการปกครองตัวเองอย่างเป็นอิสระ และล้มล้างประเพณีของสถาบันการศึกษาที่ล้าสมัยบางส่วนลงไป ทำให้เขาได้รับความเคารพอย่างสูงจากเหล่านักเรียนด้วยเช่นกัน
เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่นักเรียนจะให้ความเคารพเขา แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกับชายชราคนนี้ เมื่อความสนใจของทุกคนหันมาที่เขาแล้ว อาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอก็เริ่มกล่าวสุนทรพจน์ขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่น่าแปลกใจก็คือคำพูดของเขาไม่ได้มีโทนเสียงของการกระตุ้นให้หึกเฮิม มีเพียงแค่ความเคร่งขรึมอันสูงส่ง
‘การเติบโตย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบ’ นี่คือหัวข้อของสุนทรพจน์ของแอนโตนิโอ
“การที่พวกเจ้าทุกคนได้มานั่งอยู่ต่อหน้าข้าที่นี่ แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าทุกคนเป็นบุคคลที่มีความสามารถเหนือกว่าผู้คนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ช่องว่างระหว่างพวกเจ้ากับผู้คนที่อยู่ภายนอกจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเจ้าสามารถเฉลิมฉลองการเติบโตและภูมิใจในตัวเองได้ แต่จงอย่าลืมสิ่งหนึ่งไป”
“เมื่อยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมวลมนุษยชาติ ความรับผิดชอบที่เจ้าจะต้องแบกรับก็จะหนักขึ้นเช่นกัน ในฐานะนักเรียนของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ข้าหวังว่าเวลาที่พวกเจ้าได้ใช้ร่วมกันที่นี่จะไม่เพียงแต่พัฒนาความสามารถของพวกเจ้าเท่านั้น แต่รวมถึงความรู้สึกรับผิดชอบในหน้าที่ของตนด้วย”
“คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดให้พลังแก่เราและคอยชี้นำพวกเรา แต่ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหลายคนได้ตกลงสู่ความเลวทรามต่ำช้า ทำไมพวกเราบางคนถึงได้หลงทาง แม้จะเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน? นั่นเป็นเพราะเป้าหมายของพวกเขาแตกต่างออกไป พวกเขาลืมเกี่ยวกับครอบครัว อาณาจักรของตัวเอง และมนุษยชาติ ละสายตาจากความรับผิดชอบและยอมจำนนให้แก่ความต้องการของตัวเอง ทำให้จุดสิ้นสุดเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาจะเจอก็คือการทำลายล้าง”
ใบหน้าของเหล่าเยาวชนต่างเคร่งขรึมขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของแอนโตนิโอ โรเอลรู้สึกว่าคำพูดดังกล่าวเหมาะสมกับนักเรียนที่จบการศึกษาแล้วเสียมากกว่า เนื่องจากนักเรียนเหล่านี้ส่วนมากเพิ่งออกจากรังอันสงบสุข ดังนั้นพวกเขาจึงยังคิดว่าโลกนี้เป็นสถานที่อันปลอดภัย ไม่เคยได้พบเหล่าผู้นับถือลัทธิเลวทรามอันชั่วร้าย เรียกได้ว่าพวกนายน้อยผู้เยาว์เหล่านี้คงไม่เคยพบโจรมาก่อนด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีประสบการณ์เหมือนกับโรเอล ผู้ที่เคยถูกลัทธิชั่วร้ายจับตามองตั้งแต่อายุยังน้อย และถูกบังคับให้ต้องฝ่าวิกฤตเสี่ยงชีวิตมามากมาย เห็นได้ชัดว่าคำพูดดังกล่าวนั้นยังเร็วเกินไปสำหรับเหล่านักเรียนที่มาร่วมงานในวันนี้
ในฐานะอาารย์ เด็กหนุ่มคิดว่าแอนโตนิโอควรตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้โดยผิดพลาดหรือบังเอิญแน่ มันจึงน่าจะมีเหตุผลเบื้องลึกที่ทำให้เขาเลือกที่จะกล่าวสุนทรพจน์นี้
โรเอลหรี่ตาสีทองลงขณะจมลงไปในห้วงความคิดลึก ๆ