บทที่ 51: บทเรียนสำหรับการเป็นเจ้าสาว
รากฐานในการก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ของตระกูลขุนนางคืออะไร?
มีคำตอบมากมายสำหรับคำถามนี้ แต่ถ้าหากต้องเลือกคำตอบจริง ๆ เพียงคำตอบเดียวก็คงเป็นการปกครองอันชาญฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งเขตการปกครองเจริญรุ่งเรืองมากเท่าไหร่ ภาษีอากรที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้น ส่งผลให้อำนาจอิทธิพลของตระกูลขุนนางผู้ปกครองก็จะมีมากขึ้นไปอีกเช่นกัน
บางโอกาสตระกูลขุนนางชั้นสูงอาจได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า จนมีลูกหลานผู้มีพรสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นในตระกูล แต่มันจะไร้ประโยชน์ไปในทันทีหากพวกเขาไม่มีเงินจ้างอาจารย์ดี ๆ มาเพื่อบ่มเพาะต่อยอดพรสวรรค์นั้น
การสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลขุนนางอื่น ๆ เองก็ต้องใช้เงินเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเสื้อผ้า การรักษารูปร่างหน้าตา หรือแม้แต่กองทัพอันยิ่งใหญ่ก็ยังต้องใช้เงินในการดูแล
ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนมีที่มาจากเงินภาษีอากรของประชาชนภายในเขตการปกครอง
การบริหารเขตปกครองที่ไม่ดีจะส่งผลให้มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนตกต่ำลง ทำให้ผลผลิตลดลง และหากการปกครองเต็มไปด้วยการกดขี่ ประชาชนก็จะอพยพไปที่ดินแดนอื่น
ทว่าหากการบริหารเป็นไปได้ด้วยดี บุคลากรชั้นเลิศจากต่างแดนก็อาจจะเข้ามาปักหลักในเขตการปกครองดังกล่าว
ด้วยหลักการข้างต้นนี้ สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์จึงใช้การเติบโตของประชากรเป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้วัดความมั่งคั่งของตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลว่าเป็นอย่างไร
สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์วัดจำนวนประชากรในเขตการปกครองได้อย่างไร? มันดูเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะนับจำนวนคนในเขตการปกครองได้ด้วยการนับธรรมดา อีกอย่างวิธีการดังกล่าวดูจะไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพพอด้วย
วิธีการที่สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ใช้ก็คือ การประมาณค่าผ่านการไหลเวียนของสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งนั่นก็คือเกลือ
มนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเกลือ มันเป็นความต้องการทางสรีรวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่แรงงานเป็นสิ่งสำคัญเช่นนี้ ผู้ที่บริโภคเกลือน้อยจะรู้สึกเซื่องซึม เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง
“เขตการปกครองเอลริกไม่สามารถผลิตเกลือได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องซื้อพวกมันมาจากพ่อค้า นอกจากนี้พวกเราเองก็มั่นใจในความแม่นยำทางข้อมูลตัวเลขของพวกเรามาก มันไม่น่าจะมีความคลาดเคลื่อนใด ๆ ได้ จากการวิเคราะห์ของพวกเราแล้ว ปริมาณเกลือที่เขตการปกครองเอลริกซื้อนั้นเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แบบเดียวกันกับเขตการปกครองทั่ว ๆ ไปที่มีเสถียรภาพมากขึ้น”
“แม้ว่ามันจะแสดงให้พวกเราเห็นว่า เขตการปกครองเอลริกได้รับการปกครองอย่างเหมาะสม แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรดีที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันไม่ได้สูงไปกว่าค่าเฉลี่ยทั่ว ๆ ไปเลย มันไม่สูงแต่ก็ไม่ต่ำ จากผลลัพธ์นี้การประเมินตระกูลเอลริกของพวกเราจึงอยู่เพียงแค่ในระดับมาตรฐานปกติ ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำ ทว่าในความจริงแล้ว…” อาร์เว่นกำลังจะกล่าวต่อ
“ในความเป็นจริงแล้ว ตระกูลเอลริกได้เจริญเฟื่องฟูขึ้นอย่างมากในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้พวกเขากลับมาเป็นหนึ่งในห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงผู้มีอิทธิพลในแวดวงขุนนางของจักรวรรดิเซนต์เมซิทอีกครั้ง การเติบโตของพวกเขาบางทีอาจจะเหนือกว่าตระกูลแอสคาร์ดเลยก็ว่าได้ สิ่งต่าง ๆ แตกต่างออกไปจากที่ทางสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาร์ทำนายเอาไว้มาก”
โรเอลพูดความคิดของอาร์เว่นออกมา
“ใช่แล้ว นั่นคือเหตุผลที่ผมบอกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้”
อาร์เว่นเผยให้เห็นถึงความสงสัยขณะที่โรเอลเงียบไป
“หากตระกูลขุนนางชั้นสูงปรารถนาที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปอีก สิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องการอย่างยิ่งก็คือเงิน และเนื่องจากเขตการปกครองเอลริกไม่ได้รับรายได้มากเท่าไหร่นักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แล้วพวกเขาหารายได้เหล่านั้นมาจากที่ไหนกัน? แม้ว่าตระกูลเอลริกจะโชคดีและได้รับทายาทผู้มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมในช่วงสองสามชั่วอายุคนที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เปิดเผยการค้าอันมั่งคั่งของตนเองที่ใช้เป็นเงินทุนเลย แม้ว่าพวกเขาจะแอบอยู่ใต้แสงไฟมาตลอด แต่อิทธิพลของพวกเขานั้นกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“ส่วนผมคิดว่า ไม่ว่าจะในกรณีใด นายน้อยโรเอล ควรจะตัดสินใจเกี่ยวกับพวกเขาอย่างรอบคอบ”
อาร์เว่นให้คำแนะนำกับโรเอลด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด ซึ่งเด็กชายก็พยักหน้าตอบรับแต่โดยดี
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของท่าน อาร์เว่น ข้าจะระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากเรื่องที่ท่านกล่าวไปแล้วยังมีอะไรที่ท่านรู้เกี่ยวกับพวกเขาอีกไหม?”
“อา จนถึงตอนนี้ผมได้อ่านเพียงแค่รายงานเรื่องประชากรเท่านั้น ไว้หลังจากนี้ผมจะกลับไปอ่านบันทึกที่ทางสมาคมของเรามีเกี่ยวกับตระกูลเอลริกให้ครับ บางทีผมอาจจะได้ข้อมูลใหม่ ๆ มาก็ได้”
“วิเศษมาก! ข้าจะชดเชยเรื่องข้อมูลเหล่านั้นให้ท่านตามความเหมาะสมแน่”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่จำเป็นหรอกนายน้อย ตราบใดที่ท่านแวะมาเป็นเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราวเพื่อขายสินค้าจากคลังสมบัติของท่านบ้าง ผมก็คงจะพึงพอใจจนหัวเราะในยามหลับได้แล้ว “
คำพูดเหล่านั้นจากชายวัยกลางคนทำให้ใบหน้าของโรเอลยิ้มอย่างขมขื่น มันทำให้เด็กชายรู้สึกว่าเขาควรจะเอาสิ่งของในร้านค้าแลกเปลี่ยนแต้มความสนใจออกมาขายให้อาร์เว่นสักชิ้น
ทั้งสองคนคุยกันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่อาร์เว่นจะขอลาแล้วจากไป
หลังจากนั้นโรเอลได้ไปหาคาร์เตอร์เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตระกูลเอลริก ซึ่งสิ่งที่มาร์ควิสคาร์เตอร์ทำกลับมีเพียงแค่ส่งรายงานการสืบสวนโดยละเอียดให้โรเอลดู นี่เป็นอีกครั้งที่ความรู้เกี่ยวกับตระกูลของตัวเขาเองได้รับการเสริมมากขึ้น
ระหว่างที่โรเอลใช้ชีวิตอันหรูหรา ล้อมไปด้วยเหล่าคนรับใช้ภายในคฤหาสน์อันใหญ่โต เขาไม่รู้เลยว่า กองกำลังทหารของตระกูลแอสคาร์ดนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
กองกำลังดังกล่าวสามารถเรียกได้ว่าเป็นกองกำลังหลักของจักรวรรดิเซนต์เมซิทเลยก็ว่าได้ นอกเหนือจากการเป็นเจ้าของกองกำลังส่วนตัวนี้แล้ว พวกเขายังมีเอกสิทธิ์ในการรวบรวมกำลังทหารกว่า 3,000 นาย ที่มีระดับแก่นแท้ 6 จากกองกำลังทหารอาสาอีกด้วย
อีกทั้งเครือข่ายสืบสวนราชการลับของพวกเขาเองก็ยังได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับต้น ๆ ในบรรดาห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงอีกด้วย
ตระกูลขุนนางชั้นสูงทั้งห้านั้นมีอำนาจราวกับเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอันเป็นอิสระของตนเอง คล้ายคลึงกับโครงสร้างการปกครองแบบกระจายอำนาจในยุคกลาง
ในบรรดาพวกเขา ตระกูลเซไซต์คือตระกูลที่มีอิทธิพลโดยแท้จริง เนื่องจากพวกเขามีสายบังเหียนอันแน่นหนาเหนือศรัทธาของประชาชน ใครก็ตามที่พยายามท้าทายอำนาจของพวกเขาจึงมักจะถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ตระกูลเซไซต์จึงเป็นผู้นำของเหล่าตระกูลขุนนางต่าง ๆ
อันที่จริงแล้วหน้าที่อีกอย่างของตระกูลเซไซต์ในฐานะราชวงศ์ก็คือหน้าที่ในฐานะคนกลาง คอยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างตระกูลขุนนางด้วยกันเอง
ขณะเดียวกัน ตระกูลเอลริกเป็นดั่งทรราชตัวน้อยที่อยู่ภายใต้การดูแลของราชวงศ์ พวกเขายืนหยัดอย่างสูงส่งมาโดยตลอด จนกระทั่งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในความขัดแย้งเมื่อร้อยปีก่อน
การต่อสู้ระหว่างตระกูลขุนนางนั้นมีกฎข้อหนึ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ ห้ามมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเด็ดขาด
ขุนนางต้องสง่างามอยู่เสมอแม้จะเป็นในสนามรบ หากพวกเขาไม่สามารถเอาชนะศัตรูในการต่อสู้ได้ พวกเขาก็สามารถยอมจำนนและแลกเปลี่ยนชีวิตตัวเองด้วยเงินได้ และฝ่ายผู้ที่ได้รับชัยชนะจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับเชื้อสายในตระกูลของอีกฝ่าย การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กำจัดทิ้งทั้งครอบครัวถือเป็นเรื่องต้องห้าม เว้นแต่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรง
นี่ถือเป็นข้อตกลงตามพันธะสัญญาที่ขุนนางทุกคนต้องลงนามตั้งแต่เกิด เป้าหมายเบื้องหลังกฎข้อนี้ก็เพื่อให้เหล่าขุนนางสามารถรักษาเชื้อสายของตนเองเอาไว้ได้ ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎ จะต้องถูกขุนนางคนอื่น ๆ คว่ำบาตร
เห็นได้จากในการต่อสู้ระหว่างสองราชวงศ์ฝาแฝดในอดีต ตระกูลเอลริกและกองทัพอันยิ่งใหญ่จำนวน 10,000 คนของพวกเขาได้เลือกที่จะยืนหยัดร่วมกับองค์ชายเวต
ทว่าการกระทำนี้ยังไม่ถือเป็นการกบฏแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ข้อจำกัดในการลงโทษของทางราชวงศ์จึงทำได้เพียงเนรเทศพวกเขาออกไปยังชายแดนเท่านั้น
กฎสำคัญอีกประการหนึ่งในหมู่ขุนนางก็คือการเคารพระบบห่วงโซ่เส้นสายการบัญชาการ ราชวงศ์ในฐานะผู้นำสูงสุดมีอำนาจในการสั่งการห้าตระกูลขุนนางชั้นสูง และห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงเองก็มีอำนาจเด็ดขาดในการสั่งการตระกูลขุนนางภายใต้การบังคับบัญชาของพวกเขาเช่นกัน โดยที่ไม่มีเงื่อนไข
อย่างไรก็ตามตระกูลผู้นำก็ยังมีเส้นแบ่งขอบเขตที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งอยู่เช่นกัน เช่น หากพวกเขาแตะต้องไวเคานต์ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตระกูลเอลริก พวกเขาก็จะถูกมองว่าต้องการบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลเอลริก ส่งผลให้การกระทำดังกล่าวนำไปสู่การประณามจากตระกูลขุนนางอื่น ๆ
ก็จริงอยู่ที่ว่าห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงต้องการ ‘พี่ใหญ่’ เพื่อช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งและรักษาความสามัคคีในหมู่พวกเขา แต่ถ้าหาก ‘พี่ใหญ่’ คนนั้นคุกคามอำนาจของพวกเขาล่ะก็ พวกเขาก็พร้อมที่จะรวมพลังหันหอกเข้าต่อสู้กับ ‘พี่ใหญ่’ ที่ว่าและหาตระกูลผู้นำใหม่
ด้วยเหตุนี้ตระกูลขุนนางจึงรู้เพียงน้อยนิดเกี่ยวกับอำนาจทางทหารของกันและกัน
ตามรายงานของตระกูลแอสคาร์ด ตระกูลเอลริกนั้นได้แอบขยายกองทัพอย่างช้า ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากประชากรของพวกเขาเพิ่มขึ้น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะต้องการคนจำนวนมากขึ้นในการรักษาความปลอดภัย
ทว่าสิ่งที่น่าสนใจก็คือ จำนวนทหารรับจ้างที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เขตการปกครองเอลริกตั้งอยู่ในจุดตัดของสามอาณาจักรใหญ่ ร่วมกันกับอาณาจักรอื่น ๆ ภายในภูมิภาค ทำให้มันเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับทหารรับจ้างในการหาเงินอย่างรวดเร็ว
แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขตการปกครองจะจ้างทหารรับจ้างมาเสริมกองกำลังของตน แต่มันมักจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอ เนื่องจากมันมีความเสี่ยงว่า คุณสามารถแยกแยะได้หรือเปล่าว่าใครเป็นทหารรับจ้างจริง ๆ หรือเป็นศัตรูที่ปลอมตัวมา?
ในรายงานมีเพียงการคาดคะเนเบื้องต้นเกี่ยวกับจำนวนทหารรับจ้างที่ตระกูลเอลริกจ้างมาเท่านั้น เพราะแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางได้ตัวเลขจริง ๆ เกี่ยวกับข้อมูลนี้มาแน่
อย่างไรก็ตามข้อมูลในรายงานนี้ได้ยกระดับการตื่นตัวระวังภัยที่โรเอลมีต่อตระกูลเอลริกไปอีกขั้น
มุมมองที่เด็กชายมีต่อโปรโมชั่นส่วนลดของระบบแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง สถานการณ์แปลกประหลาดเกี่ยวกับตระกูลเอลริก ทำให้เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เป้าหมายของโรเอลในตอนนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มความสามารถด้านการต่อสู้อีกต่อไป แต่รวมถึงวิธีการปกป้องตัวเองด้วยเช่นกัน
เป้าหมายหลักที่โรเอลตั้งไว้นั้นชัดเจนมาก นั่นก็คือการเอาชีวิตรอด เพราะท้ายที่สุดแล้วเขานั้นมีเพียงแค่ชีวิตเดียว ถ้าตายทุกอย่างก็จบ
เมื่อมีเป้าหมายนี้ตั้งมั่นอยู่ในใจ โรเอลมองสำรวจไปยังสินค้าต่าง ๆ ที่กำลังลดราคาในร้านค้าพิเศษอีกครั้ง ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเขา
【ภัยพิบัติแห่งการนองเลือด:
คาถาเวทที่ล้มเหลวจากการวิจัยอันสูงส่งของสมาคมโดจุตสึ มีผลทำให้มีโอกาสที่ คนที่มีเจตนาฆ่ามุ่งมายังผู้ใช้ ถูกเปิดเผยชื่อออกมาเป็นสีแดงเข้มให้เห็น จำไว้ว่าอย่าเสียเวลาไปกับการกรีดร้อง จงวิ่งทันทีที่เห็นแสงสีแดง !
ราคา: 4,200 เหรียญทอง】
4,200 เหรียญทอง…
หรือก็คือมันมีราคากว่า 10,000 เหรียญทองก่อนการลดราคา ซึ่งค่อนข้างแพงสำหรับคาถาเวท ทว่ามันก็คุ้มค่าสมราคาที่จ่ายไป ผลของมันมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาถาเวทนี้ดูเหมือนจะไม่มีข้อกำหนดเบื้องต้นที่น่ารำคาญในการเปิดใช้
สิ่งเดียวที่โรเอลสงสัยก็คือโอกาสในการทำงานของมัน เขาไม่รู้ว่าโอกาสนี้สูงแค่ไหน ทำให้โรเอลไม่สามารถหวังพึ่งพามันได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ดูเหมือนว่ามันจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อโรเอลเห็นเป้าหมายดังกล่าวด้วยตาตนเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาไม่สามารถพึ่งพามันในการหลบเลี่ยงลูกศรลับที่เล็งมาที่เขา หรือการพยายามลอบสังหารอย่างกะทันหันได้
แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก แต่มันก็ยังเป็นคาถาที่มีประโยชน์ ในอนาคตมันน่าจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้หลายครั้งเลยทีเดียว
โรเอลถูกล่อลวงให้ซื้อภัยพิบัติแห่งการนองเลือด เพราะเขามั่นใจว่ามันจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้า การสามารถยืนยันได้ว่าใครเป็นศัตรู ทำให้มันเป็นสินค้าที่มีค่าในการปกป้องตัวเอง ปัญหาเดียวคือ …
… 4,200 เหรียญทอง นั้นแพงเกินไป!
โรเอลต้องยืมเงินใครสักคนมาสำหรับซื้อมัน และคนที่เขาน่าจะยืมได้ก็คือ…
…
“อลิเซีย ถ้าเธอยังไม่ได้เอาเงินค่าชดเชยไปใช้ ฉันขอยืมเงินไปบางส่วนได้รึเปล่า?”
ในห้องรับรอง โรเอลพยายามข่มความลำบากใจและความกระดากอายของตัวเอง ระหว่างแบมือขอยืมเงินจากผู้เป็นน้องสาว อลิเซียกะพริบตาปริบ ๆ มองไปยังโรเอลชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“ได้ค่ะ พี่ใหญ่โรเอล หากพี่ต้องการละก็เอาพวกมันทั้งหมดไปเลยก็ได้ค่ะ” สาวน้อยยิ้มอย่างเต็มใจ
“ไม่เป็นไร ๆ ฉันแค่อยากจะยืมมันมาก่อนเท่านั้นแหละ ฉันจะคืนให้เธอทันทีที่พวกเรากลับถึงบ้าน”
เด็กชายรีบแก้ตัวพัลวันพร้อมกับโบกมืออย่างรวดเร็ว
โรเอลยังมีเงินเหลืออยู่บางส่วนจากการขายตะเกียงสงบวิญญาณ แต่เขาได้ทิ้งมันเอาไว้ที่คฤหาสน์ในเขตการปกครองแอสคาร์ด ทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึงมันได้ทันก่อนที่ระยะเวลาส่วนลดจะสิ้นสุดลง เนื่องจากยังมีบางสิ่งที่พวกเขาต้องทำในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อยู่
น่าแปลกใจที่อลิเซียดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับการรับประกันของโรเอลเท่าไหร่ เด็กสาวตอบกลับไปด้วยการพยักหน้าแบบสบาย ๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย
“…”
โรเอลรู้สึกว่าอลิเซียนั้นยังไม่เข้าใจว่าเงินสำคัญมากแค่ไหน ในฐานะพี่ชายเขาจึงคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องพูดสอนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้
“อลิเซีย ฉันรู้ว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเท่าไหร่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายของทุกสิ่งที่พวกเราต้องการได้รับการชำระโดยตระกูลแอสคาร์ด ทว่าเธอควรจะพยายามอดออมเงินของตัวเอง เธอเองก็น่าจะมีสิ่งที่ต้องการใช่ไหมล่ะ?”
“สิ่งที่หนูต้องการ…”
เด็กสาวครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางจ้องมองไปที่โรเอลด้วยความงุนงง สิ่งนี้ทำให้โรเอลรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“อลิเซีย?”
“อา!”
“หืม? มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” เขารู้สึกงุนงงกับปฏิกิริยาของเธอ
“ไม่มีอะไรค่ะ! พี่ใหญ่ หนูยังไม่มีอะไรที่ต้องการเป็นพิเศษในตอนนี้ ดังนั้นโปรดอย่าลังเลที่จะรับเงินค่าชดเชยเหล่านี้ไปใช้เลยค่ะ”
อลิเซียกล่าวด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
เธอรีบลุกขึ้นยืนและบอกกับโรเอลด้วยเสียงแผ่วเบา
“พี่ใหญ่ หนูกำลังจะไปเรียน แล้วเดี๋ยวจะกลับมาหาพี่ทีหลังนะคะ”
“อา เข้าใจแล้ว…อลิเซีย เธอไม่จำเป็นจะต้องกดดันตัวเองเรื่องการเรียนจนหนักเกินไปหรอกนะ เธอค่อยกลับไปทบทวนบทเรียนหลังจากที่พวกเรากลับไปถึงเขตการปกครองแอสคาร์ดแล้วก็ได้”
โรเอลไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่าทำไมอลิเซียถึงได้ตั้งใจเรียนมากขนาดนี้ ทั้งที่เด็ก ๆ ในวัยของเธอมักจะพยายามหาทางโดดเรียนทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้แท้ ๆ!
ทว่าอลิเซียกลับพยายามหาทางศึกษาเพิ่ม แม้ว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนแล้วก็ตาม นี่มันเกินขอบเขตของคำว่าขยันหมั่นเพียรตามปกติไปแล้ว!
อลิเซียไม่คิดที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดของโรเอล เธอเพียงยิ้มเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักครู่ก่อนที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า
“มันคือบทเรียนสำหรับการเป็นเจ้าสาวต่างหากค่ะ”