การมีพื้นที่พิเศษนับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมาก
น่าประหลาดใจที่ตอนนี้ แม้ว่าร่างกายของซ่งฝูเซิงจะนอนอยู่ด้านนอก แต่หลังจากที่เขาเข้าไปในพื้นที่พิเศษ ก็เหมือนมีร่างแยกอีกร่างที่สามารถเดินไปทั่วในบริเวณพื้นที่พิเศษเช่นกัน เหมือนคนธรรมดากำลังเดินอยู่ในบ้าน
หลังจากที่เขาหายเข้าไปในพื้นที่พิเศษแล้ว ก้าวแรกคือเข้าไปเปิดประตูตู้เย็น เอาหัวซุกเข้าไปในช่องแช่ให้ร่างกายเย็นสบาย เพราะตอนนี้เขาร้อนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
ด้านหนึ่งเขาเอาศีรษะซุกเข้าไปในช่องเย็นเพื่อลดอุณหภูมิ อีกด้านเขาก็เอามือควานหาสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในช่องแช่
พื้นที่พิเศษในตอนนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่เข้ามาได้ แน่นอนว่าเขาอยากจะพูดอะไรก็สามารถพูดออกมา ไม่ต้องระวังคำพูดคำจาใดๆ คำพูดทั้งหมดล้วนมาจากความรู้สึกภายในใจ
มีเพียงเสียงของเขาที่บ่นพึมพำอยู่เพียงคนเดียว
“แม่ของนางช่างกักตุนของเก่งจริงเชียว เนื้อหมูเยอะขนาดนี้ โอ้ ยังมีไก่ตัวเล็กแช่แข็งอีกตัวหนึ่งน่ะ…
…นี่คือ? อ๊าห์ ในถุงนี้มีเนื้อวัว อืม น่าจะเป็นเนื้อวัว เฮ้อ ยังดีที่เพ่ยอิงรู้จักการสิ่งต่างๆ ในชีวิต…
…แล้วนี่คืออะไร?”
ซ่งฝูเซิงเปิดดูถุงห่ออาหารก็ถึงกับอุทานออกมา เขาเห็นแล้วน้ำลายไหล
“ผักดองแช่แข็ง อันนี้ดีจริง ทำให้ละลายแล้วนำมาผัดกับเนื้อหมูสามชั้น ใส่ข้าวครึ่งชามเล็กแล้วใส่ผักดองผัดกับหมูอีกครึ่งชาม คลุกให้เข้ากัน และมีกับแกล้มเป็นยำแตงกวาเล็กดองเค็ม น่ากินมาก…
…โอ้ แม่เจ้า คิดต่อไม่ได้แล้ว ข้าจะหิวตายก่อนนะ”
ซ่งฝูเซิงนั่งลง ดึงช่องชั้นล่างสุดของตู้เย็นออกมา ในนั้นมีไอศกรีมบรรจุห่อหลากหลายสีสันปรากฏขึ้นต่อหน้า
เมื่อก่อนนี้บุตรสาวชอบกินไอศกรีมมาก ซ่งฝูเซิงก็ชอบพูดประโยคนี้ “ตอนเย็นจะกินไอ้นี่ไปทำไมกัน ไม่หนาวรึไง แม่เจ้าล้างผลไม้พวกนั้นมาให้ เจ้าก็ไม่กิน ไอศกรีมนี่ไม่เห็นอร่อยเลย”
แต่ตอนนี้ เขาพูดออกมาจากใจจริง “โอ้ ดูสิ นี่คืออะไรนะ? ดูน่ากินมากเลย”
ซ่งฝูเซิงถือมาแท่งหนึ่งก็ต้องวางลง ไม่ได้ ข้าต้องเก็บไว้ให้บุตรสาว
เขาหันกลับไปและเดินตรงไปยังห้องครัว ห้องครัวอยู่ใกล้กับระเบียงทางทิศเหนือ มีเครื่องดื่มและน้ำแร่ ส่วนเบียร์วางไว้ในตู้ตรงระเบียง สิ่งของพวกนี้มักเก็บไว้ดื่มในช่วงเทศกาลปีใหม่ ร้านค้าชอบจัดกิจกรรมโปรโมชั่นช่วงนั้นจึงซื้อมาตุนไว้ไม่น้อย
เขาหยุดอยู่กับที่ทั้งที่รู้ดีว่าในตู้นั้นมีน้ำ มีเครื่องดื่มหลายชนิดมาก เขาเองก็กระหายน้ำเหลือเกินแต่ก็กัดฟันอดทน ไม่ได้ อย่าแตะต้อง ต้องเก็บไว้ให้บุตรสาวดื่มในวันข้างหน้า
หลังจากนั้นเขาก็หยิบผักที่แช่น้ำไว้ในกะละมังเล็กออกมา นำผักวางไว้บนโต๊ะ แล้วยกกะละมังที่มีน้ำล้างผักขึ้นดื่ม
กินน้ำล้างผักแล้วยังไง น้ำล้างผักก็ยังสะอาดกว่าน้ำในลำธารยุคโบราณตั้งเยอะ
ซ่งฝูเซิงดื่มจนหมดแล้วเช็ดปาก ก่อนที่จะเดินกลับไปยังตู้เย็น…
ในยุคโบราณ สองแม่ลูกนั่งบนพื้นหญ้า สายตาจับจ้องไปที่ร่างของซ่งฝูเซิง พวกนางเห็นซ่งฝูเซิงลืมตา และวินาทีต่อมาก็ปรากฏไอศกรีมอยู่ในมือของเขา
สองแม่ลูกได้เห็นก็ถึงกับตกตะลึง
ซ่งฝูหลิงรีบแย่งไอศกรีมมา “ท่านพ่อ ทำไมรวดเร็วอย่างนี้? เพิ่งจะเข้าไปสองสามนาทีเองนะ”
เฉียนเพ่ยอิงจ้องมองซ่งฝูเซิงก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านหาเจอแล้วรึยัง? ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะหาเจอเร็วขนาดนี้” ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน เขาไม่เคยสนใจเรื่องภายในบ้าน ถ้าจะหาอะไรก็ต้องมาถามนาง จะสามารถหาข้าวของเจอได้อย่างไร
ในที่สุด
“ยังหาไม่เจอ แต่เอาไอติมมาให้พวกเจ้าสองคนก่อน ร้อนมากน่ะสิ รีบกินเสีย อย่ามัวแต่เพ้อเจ้ออยู่เลย ข้าจะกลับเข้าไปล่ะ”
“นี่? เดี๋ยวก่อน ท่านพ่อ ท่านกินแล้วหรือ? ท่านก็ร้อนเหมือนกันนะ”
ซ่งฝูเซิงโบกมือ “ข้าไม่ร้อน ข้าเอาหัวซุกเข้าไปในตู้เย็นมาแล้ว ไม่เชื่อพวกเจ้าลองจับหัวข้าได้”
ซ่งฝูหลิงเอ่ยมาด้วยทีท่าไม่พอใจ “แบบนั้นไม่ได้นะ ท่านพ่อ ท่านก็ต้องกินแท่งหนึ่ง”
“กินแล้ว กินแบบที่อยู่ในมือเจ้านั่นแหละ พวกเราสองคนกินแบบเดียวกัน” ซ่งฝูเซิงพูดจบก็ทำตาขาวก่อนหลุบเข้าไปในพื้นที่พิเศษอีกครั้ง
เมื่อเขาหายเข้าไปแล้ว ซ่งฝูหลิงกลับกินไม่ลง
เฉียนเพ่ยอิงที่กำลังกินไอศกรีมอยู่หันมามอง นางเห็นบุตรสาวนั่งซึมอยู่ตรงนั้น
“เป็นอะไร?”
“ท่านแม่ ท่านพ่อไม่ได้กิน ไอติมที่อยู่ในมือของข้าเรียกว่า เยียจือฮุย เขาบอกว่าเขาได้กินมันเหมือนข้า แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพราะก่อนที่พวกเรายังไม่ทะลุมิติมา ในตู้เย็นมีมันเหลืออยู่เพียงแค่แท่งเดียวเท่านั้น”
เฉียนเพ่ยอิงอ้าปากค้าง นิ่งอึ้งไปสักพักก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “กินส่วนของเจ้าไปเสีย เชื่อฟังพ่อเจ้า ไอติมครึ่งแท่งของข้า ข้าจะเก็บไว้ให้พ่อของเจ้าเอง รีบกิน อย่าให้มันละลาย”
ซ่งฝูเซิงมัวชักช้าค้นหาสิ่งของในนั้นจนไอศกรีมละลาย
เฉียนเพ่ยอิงใช้มือรองหยดน้ำจากไอศกรีมที่ละลายหยดลงมา นางเอ่ยขึ้น “ข้ากินแทนพ่อของเจ้าก็แล้วกัน”
ตอนที่สองแม่ลูกกำลังกินไอศกรีมกันอยู่นั้น ซ่งฝูเซิงก็กำลังเดินค้นหาสิ่งของอยู่ในพื้นที่พิเศษ
เขาเดินไปบ่นพึมพำไป “ให้เอาปรอทวัดไข้ ยา กางเกงขาสั้นของข้าเอาไว้เปลี่ยนตอนซัก เสื้อกล้าม เสื้อชั้นในของนาง ยังมีอะไรอีกนะ?”
เขาเกาหัวและเดินเข้าไปสำรวจห้องนอนของบุตรสาวรอบหนึ่ง นึกถึงใบหน้าของบุตรสาวที่ไหม้เป็นสีแดงจากการถูกแดดเผา เขาจึงเดินมารื้อค้นตรงโต๊ะเครื่องแป้ง
เขารู้จักครีมกันแดด มันมักจะมีตัวเลขระดับการป้องกันรังสียูวีกำกับไว้
แต่ว่า ตัวเลขเยอะแยะไปหมด มีทั้งที่เพิ่มการป้องกันขึ้น 15, 25, 30 จนถึง 50 เขาควรจะหยิบตัวไหนไปดี? เอาตัวที่มีระดับการป้องกันมากที่สุดก็แล้วกัน
ในสมองก็ปรากฏภาพที่น่าสงสารของเฉียนหมี่โซ่วที่กินปัวปัวแล้วต้องคายออกมา เขาครุ่นคิดเสร็จก็เดินไปทางระเบียงตอนเหนือเพื่อมองหานมผง
นมผงสำหรับผู้หญิงจะแบ่งเป็นซองเล็กๆ หลายๆ ซอง ถึงแม้จะหยิบใช้ง่าย แต่นั่นมันเป็นของกินเฉพาะผู้หญิง มีการเพิ่มแร่ธาตุสังกะสีและเพิ่มสารอาหารอย่างอื่นเข้าไปอีก ควรเก็บไว้ให้ภรรยากับบุตรสาวดีที่สุด
เขารื้อค้นไปได้สักพักก็พบนมแพะแบบผงกระปุกใหญ่ที่ยังไม่ได้เปิดใช้
ซ่งฝูเซิงถือขึ้นมาดู ข้างบนเขียนว่า นมผงขาดมันเนย
เฮ้อ คนยุคปัจจุบันนี่จริงเลย ไม่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ยังจะลดน้ำหนัก ลดไขมัน ลองไปอยู่ในยุคโบราณดูบ้างเถอะ คนหิวจนตาลาย แม้แต่หนูยังกินได้เลย ในยุคโบราณคนอ้วนๆ หรอกนะถึงจะหาคู่ครองได้ง่าย เพราะความอ้วนหมายถึงครอบครัวนั้นไม่ขาดแคลนอาหาร มีฐานะดี
รอจนเขาหลบหนีลี้ภัยสำเร็จก่อน ต่อไปเขาจะต้องบำรุงให้ซ่งฝูหลิงกินจนอ้วน
เขาใช้ถุงพลาสติกใส่ผงนมแพะและนำสิ่งของชิ้นอื่นถือมาด้วย ถึงออกจากพื้นที่พิเศษ
เฉียนเพ่ยอิง “ท่านเอาชุดนอนเก่าของข้าออกมาทำไม? ข้าให้ท่านเอาเสื้อเชิ้ตที่เหมือนเสื้อซับในมา ตัวนั้นมันไม่ดูสะดุดตา ส่วนตัวนี้รอบคอเสื้อเป็นลายลูกไม้ แค่มองดูก็รู้ว่าใช้เครื่องจักรทำ ไม่ได้เย็บด้วยมือคน จะให้หมี่โซ่วสวมใส่ได้อย่างไรกัน”
ซ่งฝูเซิง “นี่เป็นชุดนอนตัวเก่าหรือ? เก่าแล้วทำไมเจ้าไม่ทิ้งไปล่ะ ซุกไว้ในตู้เสื้อผ้าทำไม เสื้อผ้ามีตั้งเยอะ ใครจะรู้ได้ว่าเป็นตัวไหน”
ซ่งฝูหลิง “ท่านพ่อ ท่านเอาครีมกันแดดของข้าออกมาทำไม?”
“ก็ไว้ให้เจ้าทา”
“ข้าเป็นเพียงผู้ลี้ภัยคนหนึ่ง แค่เดินทางก็เหงื่อชุ่มแล้วจะมาทาอะไรกันอีก หลังจากทาไปห้านาทีหน้าก็คงกลับมาเป็นสภาพเดิม กว่าจะทาเสร็จหน้าก็คงเหลวกลายเป็นโคลนหมดแล้ว”
ซ่งฝูเซิงกล่าวอย่างไม่พอใจ “พอแล้ว ไม่ต้องมาเรื่องมากกับข้า หากมีปัญญาพวกเจ้าก็เข้าไปเองสิ ของพวกนี้เอาออกมาแล้วเอากลับไปคืนไม่ได้ ฝูหลิง เจ้าออกไปก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว พวกเราต้องรีบทำเวลา ตอนนี้ก็คงจะผ่านไปสิบกว่านาทีแล้วกระมัง? เดี๋ยวท่านย่าของเจ้าจะคิดว่าพวกเราตกลงไปในหลุมส้วม”
เฉียนหมี่โซ่วคอยเฝ้ามองหา คนในครอบครัวที่สนิทที่สุดของเขากลับมาแล้ว
พวกเขากลับมาแล้ว เขาจึงกลับมาเป็นเด็กน้อยคนสำคัญอีกครั้ง
ไม่เหมือนท่านย่าหม่าที่ให้ซื่อจ้วงกับหนิวจั่งกุ้ยไปตักน้ำ แล้วโยนเสื่อเก่าๆ ให้กับเขา ไม่มีคนถาม ไม่มีคนคอยดูแล้ว มองไปในระยะสิบเมตรก็ไม่เห็นใคร ครอบครัวอื่นก็ไม่ให้เด็กๆ มาพูดคุยเล่นกับเขา
ในที่สุดครั้งนี้ก็มีน้ำใช้ ไม่ต้องใช้เหล้าขาวยุคโบราณมาเช็ดตัวลดอุณหภูมิให้เด็กแล้ว เฉียนเพ่ยอิงกลับมาถึงก็รีบทำน้ำอุ่น ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตามร่างกายของเฉียนหมี่โซ่ว
เช็ดตัวเสร็จก็นำเสื้อผ้าหนาๆ ทั้งหมดถอดเก็บไว้ในกระเป๋าสัมภาระ นางนำชุดนอนที่มีระบายลูกไม้มาสวมใส่ให้กับหมี่โซ่ว ให้เขาใส่เป็นกระโปรง
นอกจากปกที่คอกว้างหน่อยมองดูแล้วน่ารัก ถักเปียเล็กทั้งสองข้างเลยดูเหมือนบุตรสาวคนเล็ก
ซ่งฝูเซิงอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน นำปรอทวัดไข้ยัดใส่ใต้รักแร้
เพียงไม่กี่วินาที การวัดอุณหภูมิก็สิ้นสุดลง มีเสียง ‘ติ๊ด’ ดังขึ้น
ซ่งฝูเซิงบอกกับเฉียนเพ่ยอิง “38.5องศาแล้ว รีบชงยาเร็ว”
เฉียนหมี่โซ่วเงยหัวเล็กๆ นั้นขึ้นมามองและชี้ไปที่ปรอทวัดไข้แบบอัตโนมัติด้วยความสงสัย “ท่านลุง นี่มันคืออะไร? มีเสียงด้วย”
ในเวลาเดียวกัน ท่านย่าหม่าก็ตะโกนร้องออกมาเสียงดังลั่น จับซ่งฝูหลิงไว้แน่น พยายามเปิดปากหลานสาวคนเล็กที่ร้องไห้ด้วยความตกใจ “โอ้ สวรรค์ ลิ้นหลานสาวของข้าเป็นอะไรไปแล้ว ฮือๆ แย่แล้ว ลูกสาม มานี่เร็ว!”
ซ่งฝูหลิง “…”
นางรู้สึกเขินที่แอบกินไอศกรีม กินเสร็จก็ลืมไปว่ากินไอติมเยียจือฮุยนั้นเมื่อกินแล้วจะทำให้ลิ้นเป็นสีดำ แล้วนี่จะอธิบายกับนางอย่างไรดี