ทะลุมิติทั้งครอบครัว – ตอนที่ 73 สภาพอากาศผิดปกติ

ท้องฟ้าสว่างสดใส มีเมฆปกคลุมเป็นบางส่วน  

 

 

ก่อนหน้านี้ร้อยกว่าลี้มีพายุฝนตกกระหน่ำ สายฟ้าแลบ ฝนตกเสมือนท้องฟ้ารั่ว  

 

 

ตอนที่ลงจากภูเขาต้องฝ่าสายฝนลงมา  

 

 

บนเขามีอากาศเย็นชื้น อากาศหนาวทั้งตอนเช้าและตอนเย็น คนต้องอยู่ใกล้ชิดกันเพื่ออาศัยอุณหภูมิของร่างกายทำให้ร่างกายอบอุ่น ผ้าห่มถูกห่มอย่างมิดชิดไม่ให้ลมเล็ดลอดเข้ามาข้างในได้ กองไฟถูกสุมเป็นกองใหญ่เพื่อให้ความอบอุ่นตลอดทั้งคืน  

 

 

ซ่งฝูหลิงถึงขนาดใช้ถุงน้ำแทนถุงน้ำร้อน ตั้งแต่เช้าถึงเย็นไม่เคยห่างมือ ให้ความอบอุ่นมือกับเท้าและหน้าท้อง  

 

 

แต่ละคนเมื่อเข้าห้องน้ำก็ไม่กล้านั่งนาน ไม่เพียงแค่เรื่องฝนตก แต่เป็นเพราะสายลมพัดพาเอาเม็ดฝนมาด้วย ทำให้ก้นเย็นจนขนลุกชูชัน  

 

 

สรุปได้เป็นสองคำ ‘หนาว’ ‘ชื้น’  

 

 

แต่เมื่อเดินทางผ่านร้อยกว่าลี้ไปแล้ว สภาพอากาศก็กลับร้อนแห้งจนน่าตกใจ  

 

 

ไม่มีแม้แต่สายลมพัดผ่าน หายใจก็ไม่สะดวก มีแต่ไอร้อนปะทะหน้า  

 

 

มีผู้ลี้ภัยกลุ่มเล็กๆ หลายคนนั่งพักอยู่ข้างทางเหมือนหายใจไม่สะดวก  

 

 

พวกเขาไม่อยากพูดแม้เพียงประโยคเดียว มีที่ซุกหัวนอนตรงไหนก็นอนที่นั่น ถึงแม้ว่าจะขวางทางเดินคนข้างหลังก็ตาม แต่ไม่อยากจะลุกขึ้น เพราะร้อนจนไม่มีเรี่ยวแรง  

 

 

สภาพอากาศตอนนี้ไม่มีลมพัดผ่าน แสงแดดจากดวงอาทิตย์ร้อนแผดเผา เห็นเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป  

 

 

พวกสัตว์ ทั้งควายและล่อที่ใช้ลากรถ จมูกของพวกมันดูบานขึ้นเนื่องจากกำลังหายใจสูดอากาศที่มีไอร้อน ถ้าดูจากสีหน้าดีๆ จะสังเกตเห็นได้ว่าพวกมันร้อนจนหงุดหงิด  

 

 

เสื่อสานที่คลุมสัมภาระอยู่บนรถเข็นตอนนี้แทบจะกลายเป็นเสื่อไฟฟ้า  

 

 

พวกชายฉกรรจ์จับด้ามไม้ของรถเข็น เมื่อมือสัมผัสกับด้ามไม้ก็รู้สึกร้อนจนมือพอง ร้อนจนมีเหงื่อไหลออกมาจากฝ่ามือ เหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผากก็เสมือนฝนที่ตกลงมาไม่หยุด  

 

 

ทุกคนที่เดินอยู่ข้างเกวียนเสื้อผ้าต่างเปียกชื้นกันหมด เสื้อเปียกแนบติดกับหลัง เดินแค่ห้านาทีแต่เหงื่อออกราวกับเดินมานานสองชั่วโมง  

 

 

ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ด้านหน้าของขบวน มีชายคนหนึ่งที่แต่งตัวแตกต่างจากคนอื่น ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ  

 

 

มองเห็นผู้ชายคนนั้นม้วนผมกลมเป็นทรงโดนัทอยู่กลางศีรษะ สวมรองเท้าฟาง เสื้อคลุมบนตัวเขาเปิดเผยอออกมา เผยให้เห็นหน้าอกที่อยู่ด้านใน ด้านล่างเป็นกางเกงขาสั้นขนาดใหญ่คลุมเข่า เขายังอุ้มเด็กวัยสี่ห้าขวบไว้ในอ้อมแขน โดยมีหัวเด็กคนนั้นพาดพิงอยู่บนไหล่ของเขา  

 

 

การแต่งตัวแบบนี้ของซ่งฝูเซิง บอกตามตรงอย่ามองว่าเป็นเพราะอากาศร้อนเช่นนี้หรือเพราะทุกคนเป็นผู้ลี้ภัย อย่างไรในสายตาของคนโบราณมันก็ดูไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่  

 

 

ในยุคปัจจุบัน การใส่กางเกงขาสั้นตัวใหญ่และไม่ใส่เสื้อออกไปข้างนอก ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา อย่างมากอาจโดนคนบ่นว่าแต่งตัวไม่สุภาพ  

 

 

แต่เมื่ออยู่ในยุคโบราณ สถานที่แบบนี้ ผู้คนไม่คุ้นเคยกับมัน เพราะไม่มีใครเคยทำแบบนี้มาก่อนเลย  

 

 

ยิ่งเป็นคนที่มีตำแหน่ง มีหน้ามีตามาก ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไรก็จะต้องแต่งตัวปกปิดมิดชิด  

 

 

พวกข้าราชการใหญ่และพ่อค้า ต่างก็สวมเสื้อด้านในชั้นหนึ่งและด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง ถึงจะร้อนอบอ้าวอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ ต้องคอยใส่ใจกับเนื้อผ้าว่าเนื้อผ้าไหนเป็นผ้าที่ระบายอากาศได้ดี  

 

 

เมื่อซ่งฝูเซิงสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ จะว่าเหมือนกับอะไรดี อาจเทียบได้กับในยุคปัจจุบันเวลาที่มีคนคนหนึ่งเปลือยกายออกจากบ้านไปเดินเพ่นพ่าน ในสายตาของคนโบราณ การเปลือยอก สวมกางเกงขาสั้น ก็ไม่ต่างอะไรกัน ถึงขั้นทำให้ผู้คนติฉินนินทาได้  

 

 

ซ่งฝูเซิงมีความทรงจำเหล่านี้ เขาจึงเข้าใจดี  

 

 

แต่คิดไปคิดมา ถ้าเขาใส่ใจ ร้อนจะตายอยู่แล้ว หากโดนแดดแผดเผาแบบนี้ต่อไป เขาก็คงมีสภาพไม่แตกต่างกับบาร์บีคิว จะต่างกันก็เพียงแค่ยังไม่ได้โรยจือหราน ใส่เท่านั้น  

 

 

เขาไม่เพียงแค่ใส่กางเกงขาสั้นตัวใหญ่เดินทางเท่านั้น แต่ยังทำเรื่องให้ผู้คนต้องจับจ้อง  

 

 

ซ่งฝูเซิงเหล่ตามองขบวน ก่อนจะโบกมือให้ซ่งฝูหลิง “จะเดินไม่ไหวแล้วใช่ไหม มาเถอะ มาคล้องแขนพ่อไว้ พ่อจะพาเจ้าเดินไป”  

 

 

ในยุคโบราณ จะมีบุตรสาวอายุสิบกว่าขวบที่ไหนกันที่มีท่าทีสนิทกับผู้เป็นพ่อเช่นนี้ เถียนสี่ฟา ถึงแม้จะรักและทะนุถนอมเถาฮวา แต่โดยปกติแล้วเขาก็ไม่ค่อยจะพูดกับบุตรสาวเท่าไหร่อย่าว่าแต่คล้องแขนเลย ก็ขาไม่ได้หักสักหน่อยจะทำแบบนั้นทำไม  

 

 

แต่เมื่อเป็นซ่งฝูเซิง เขาแทบจะอุ้มบุตรสาวอยู่แล้ว  

 

 

ซ่งฝูหลิงไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น นางจึงรีบเดินมาคล้องแขนพ่อของนาง  

 

 

เดิมทีวันนี้ซ่งฝูหลิงก็ยังคงหน้าหนา หลบเข้าไปนั่งบนรถอยู่บ่อยครั้ง แต่แม่ของนางมีประจำเดือนมา  

 

 

ฟังไม่ผิด อากาศร้อนแบบนี้ประจำเดือนยังมา จะรองด้วยอะไรได้ กระเป๋ากางเกงก็มีแต่เหงื่อ ตอนที่แม่ของนางรู้ว่าประจำเดือนมาก็เกือบจะน้ำตาไหล ดวงซวยแท้ๆ  

 

 

เป็นเพราะนางเกลี้ยกล่อมท่านแม่ให้ไปนั่งแทนนาง ขึ้นไปนั่งบนรถอยู่บ่อยครั้ง ใครทำตาเหลือกใส่ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ท่านย่าด่าก็อย่าไปทะเลาะด้วย มีโอกาสได้รับประโยชน์ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร ไม่ควรฝืนทนเดินแบบนี้ต่อไปอีก  

 

 

นอกจากนี้ นางยังเกลี้ยกล่อมแม่ให้เลิกประหยัดได้แล้ว อย่าใช้เศษผ้าขาดๆ ที่ท่านป้าให้มาทำเป็นแผ่นรองประจำเดือน ใช้ผ้าอนามัยเถอะ จะประหยัดสิ่งของพวกนั้นทำไมกัน ไม่ต้องเก็บไว้ให้นางใช้ นี่มันช่วงรีบร้อนเดินทาง รอปักหลักตั้งถิ่นฐานได้แล้ว พวกนางค่อยใช้เศษผ้าผงเถ้าพืชไม้  

 

 

เมื่อมีปัญหาก็ต้องรู้จักแก้ไข ไม่ให้ปัญหานำมาซึ่งความเดือดร้อน ถ้าคนอื่นสามารถใช้ได้ ต่อไปนางก็สามารถใช้เศษผ้าเมื่อมีประจำเดือนได้เช่นกัน  

 

 

สำหรับซ่งฝูหลิง ตอนนี้นางมีความสุขมากแล้ว แค่มีท่านพ่อท่านแม่คอยห่วงใย แม้นางจะเป็นผู้ลี้ภัยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ยังสามารถออดอ้อนพวกเขาได้เป็นบางครั้ง นี่นับเป็นความโชคดีที่มีพ่อแม่ทะลุมิติมาด้วย เพราะยังมีคนคอยห่วงใย คอยตามใจนาง  

 

 

ไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่นที่ทะลุมิติเวลามารับความลำบากอยู่คนเดียว ต้องแย่งชิงผลประโยชน์มาให้ตนเอง ถ้านางทะลุมิติมาเพียงคนเดียว ถึงแม้ว่าท่านพ่อท่านแม่จะเป็นคนดี แต่สำหรับนางแล้วก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า นางก็ไม่กล้าที่จะออดอ้อนพวกเขา นั่นก็ยิ่งทำให้ดูไม่ดี  

 

 

ซ่งฝูเซิงคล้องแขนบุตรสาวแน่น พานางเดินไปข้างหน้า  

 

 

อีกมือหนึ่งก็อุ้มเฉียนหมี่โซ่ว เด็กคนนี้แทบจะอบร่างเขาแล้ว เดิมที่ก็ร้อนจะตายแล้ว นี่ยังมาไข้ขึ้น หายใจออกมาเป็นไออุ่นใส่อีก  

 

 

ซ่งฝูเซิงใช้มืออีกข้างหนึ่งถือสำลีแอลกอฮอล์เช็ดหน้าผาก รักแร้ ข้อขา และหลังคอของ เฉียนหมี่โซ่ว เขาก้มหน้าเดินไปไม่ได้มีเวลาว่าง เมื่อสำลีแห้งเขาก็จะชุบเหล้าขาวอีกครั้ง  

 

 

ใช้ปากสัมผัสหน้าผากเด็กด้วยความกังวลใจ  

 

 

เด็กน้อยไม่สามารถกินยาลดไข้ของผู้ใหญ่ได้ จะให้กินโดยพละการไม่ได้ ในตัวยามีส่วนผสมที่อันตรายกับเด็ก เพ่ยอิงบอกไว้ว่ามันมีผลกระทบกับการทำงานของตับและไต แถมยังกะปริมาณไม่ถูกด้วย  

 

 

โดยเฉพาะก่อนออกเดินทาง เขานำยาแก้หวัดชนิดแรงออกมาจากพื้นที่พิเศษ บอกว่าถ้าหมี่โซ่วไข้ขึ้นยังไม่ถึงสามสิบแปดองศาก็อย่าให้เขากินส่งเดช พยายามใช้สิ่งของนอกกายในการลดอุณหภูมิเพราะอากาศร้อนก่อน  

 

 

ภรรยาให้เขารีบหาสถานที่พัก ช่วงพักผ่อนก็หาโอกาสเข้าไปในพื้นที่พิเศษเพื่อหาปรอทวัดไข้ และหายาปู้ลั่วเฟินเคอลี่ เอามาชงน้ำดื่มครึ่งซอง ฤทธิ์ยาจะได้ไม่แรงมาก  

 

 

ซ่งฝูเซิงดันเฉียนหมี่โซ่วขึ้นไปด้านบน “อดทนอีกหน่อย เมื่อหาสถานที่ที่มีน้ำได้ พวกเราก็จะหยุดพักผ่อน ลุงจะป้อนยาหมี่โซ่วน่ะ”  

 

 

เฉียนหมี่โซ่วพยักหน้าสองทีเสร็จแล้วเขาก็ใช้แขนเล็กสองข้างกอดคอซ่งฝูเซิงจนแน่น ดวงตาแดงก่ำ  

 

 

ก่อนหน้านี้ ท่านย่าบอกว่าเขาเป็นโรคจากลมหนาว ไม่ให้ท่านลุงอุ้มเขา บอกว่าเขาเป็นโรคร้ายแรงถึงขั้นตายได้ ท่านลุงรีบพูดขึ้นมาว่าโรคอะไรถึงแก่ความตาย พวกเราเป็นร้อนในต่างหาก  

 

 

ในยุคโบราณเมื่อ เป็นโรคลมหนาวแล้วจะสามารถติดเชื้อกันได้ อีกทั้งอยู่ในช่วงการเดินทางที่ไม่มีหมอ มันจึงอาจจะกลายโรคที่ทำให้ตายได้เลย  

 

 

คนอื่นๆ บอกให้ปล่อยเขานอนบนรถเข็น แต่ท่านลุงไม่ยอม บอกว่าถ้าเขาอยู่บนรถเข็น ใครจะคอยใช้สำลีแอลกอฮอล์เช็ดตัวลดอุณหภูมิให้ ขบวนรถก็ไม่สามารถหยุดได้ ต้องอุ้มกันแบบนี้แหละ จะได้เดินไปเช็ดตัวไป  

 

 

อุ้มกันมาตลอดทาง อุ้มเขาทั้งที่ร้อนๆ เสื้อของท่านลุงเปิดหลุดลุ่ยออกมา ไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์ใดๆ แล้ว  

 

 

“ท่านลุง” เฉียนหมี่โซ่วใช้หน้าเล็กๆ ดันหน้าซ่งฝูเซิง  

 

 

ซ่งฝูเซิงตบหลังเขา “อย่ากอดคอข้าแน่น ข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว”  

 

 

“ท่านจะตายไม่ได้ ห้ามพูดคำว่าตาย!”  

 

 

“ข้าพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นคำพูดติดปาก แล้วเจ้าจะร้องไห้ทำไมกัน”  

 

 

ซ่งฝูหลิงที่เดินอยู่ด้านข้างเห็นเฉียนหมี่โซ่วแอบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความเชื่อใจ อยากจะพูดแสดงอารมณ์ออกมาก็ต้องหยุดชะงัก พ่อของนางไม่เข้าใจความหมายการแสดงออกของหมี่โซ่ว ได้แต่บอกให้น้องชายหุบปาก  

 

 

เถียนสี่ฟาพาพวกเด็กหนุ่มเกาเถี่ยโถ่ววิ่งกลับมา ก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่ได้เดินทางพร้อมกันกับขบวน พวกเขาออกไปใช้เส้นทางสายเล็กซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปเพื่อหาต้นน้ำ เมื่อพบต้นน้ำแล้วก็พักผ่อนอีกครั้ง หลายชั่วโมงที่ผ่านมาตลอดข้างทางไม่เห็นมีแหล่งน้ำ ก่อนหน้านี้ถุงน้ำของบางคน เทออกมาไม่มีน้ำสักหยดเหลือ พวกวัวควายและล่อก็ไม่ได้กินน้ำเลย  

 

 

“น้องสาม น้องสามหาเจอแล้ว”  

 

 

โอ้ แม่เจ้า ในที่สุดก็หาเจอแล้ว  

 

 

ซ่งฝูเซิงยื่นเฉียนหมี่โซ่วให้กับซื่อจ้วง “อุ้มเขาให้ดีๆ”  

 

 

เฉียนหมี่โซ่วถีบขาขัดขืนด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัย “ท่านลุง ข้าไม่เอา ข้าต้องการให้เขาอุ้ม”  

 

 

“โอ้! สักพักข้าก็กลับมาแล้ว เด็กคนนี้ทำไมถึงดื้อเยี่ยงนี้!” ซ่งฝูเซิงกล่าวตักเตือน  

 

 

หลังจากนั้นมือหนึ่งเขาก็พยุงภรรยาและมืออีกด้านก็พยุงบุตรสาว ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของฝูงชน แบกเสื่อสานวิ่งไกลออกไป  

 

 

ท่านย่าหม่าโกรธจนแทบจะตาเหลือก ไม่เคยเห็นผู้ชายบ้านไหนทำกิริยาท่าทางกับหญิงสาวและเด็กสาวแบบนี้ ไม่รักษาหน้าตาเลย นางขี้เกียจจะพูด เพราะมันทั้งร้อนและกระหายน้ำ  

 

 

พวกซ่งฝูเซิงรีบร้อนจะไปไหนน่ะ บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ที่จริงแล้วนำเสื่อมาล้อมรอบมุมเล็กมุมหนึ่ง เขาล้มตัวลงนอนหลับตา ซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิงรู้ดีว่าเขาได้เข้าไปในพื้นที่พิเศษอีกแล้ว โชคดีจริง มีความสุขมาก แค่บอกว่าจะเข้าไปก็สามารถทำได้ทันที  

 

 

“พ่อของเจ้า เมื่อไหร่จะคิดให้ละเอียดรอบคอบหน่อย นำไอติมสองแท่งออกมาให้พวกเราสองคน?”  

 

 

“ท่านแม่ ประจำเดือนของท่านมาแล้ว ท่านกินไม่ได้”  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงนั่งลง “ประจำเดือนมา ข้าก็อยากกินไอติมสักแท่งหนึ่ง ร้อนจะตายอยู่แล้ว ถ้าตอนนี้ข้ากับท่านย่าของเจ้าตกลงไปในน้ำพร้อมกัน ข้าคงจะต้องตะโกนดังๆ ว่า ไปช่วยแม่ของเจ้า รีบช่วยแม่ของเจ้า อย่าได้สนใจข้า ให้ข้าอยู่ในน้ำเย็นๆ นี่แหละ”  

 

 

ซ่งฝูหลิงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ นางหัวเราะออกมาเสียงดัง ตอนนี้ใบหน้าที่ถูกแสงแดดเผาปรากฏรอยยิ้มออกมาจนดูเหมือนคนสติไม่ดี  

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ทะลุมิติทั้งครอบครัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย! แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset