ตอนที่ 75 จนใจ
สภาพอากาศร้อนมาก ใจคนก็กระสับกระส่าย
ท่านย่าหม่าใช้แขนทุบหลังซ่งฝูหลิง “ทำไมถึงตะกละอย่างนี้ ทำไมถึงตะกละตะกลามอย่างนี้ ของไม่รู้จักไม่คุ้นเคยก็กล้าเอาเข้าปาก ข้าให้เจ้ายัดเข้าไปเรอะ”
หลังจากท่านย่าหม่าทุบหลานสาวแล้ว ตนเองก็ถึงกับเหนื่อยหอบเสียก่อน
ซ่งฝูหลิงโดนตี สาเหตุจากที่พ่อของนางโกหกในตอนนั้น บอกว่านางไปเข้าห้องน้ำแล้วเห็นผลไม้ป่า เกิดความอยากจึงกินเข้าไป ลิ้นถึงได้กลายเป็นสีดำ ไม่ต้องตกใจไป
ฟังดูเอา เหตุผลแบบนี้ แต่งเรื่องเรื่อยเปื่อยจนลูกโดนตีเลย
ซ่งฝูเซิงไม่คาดคิดว่าหลังจากแม่ของเขาฟังเสร็จจะใช้กำปั้นทุบหลาน เขาขมวดคิ้ววิ่งเข้าไปห้ามปราม ตะโกนว่า
“ท่านแม่ทำอะไร ตีพวกเราทำไมกัน? โตขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะตีนางอีก ข้ายังไม่เคยตีนางเลยแม้แต่ปลายนิ้วหัวแม่มือ นี่ท่านตีนางให้ใครดูกันแน่!?”
ซ่งฝูหลิงถูกพ่อของนางบังไว้อยู่ด้านหลัง นางกระตุกชายเสื้อของซ่งฝูเซิง “ท่านพ่อ ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้ทะเลาะกันเลย ย่าของข้าตกใจมากแล้ว”
เฉียนเพ่ยอิงก็รีบโบกมือให้ซ่งฝูเซิง “เจ้ามีอะไรต้องทำก็ไปทำซะ ทำงานเสร็จแล้วพาหมี่โซ่วลงไปอาบน้ำในแม่น้ำให้ตัวเย็นสบายหน่อย ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายอยู่ตรงนี้แล้ว รีบไป”
เฉียนเพ่ยอิงพูดแบบนี้ก็เพราะนางเห็นท่านย่าหม่าตกใจจนมือไม้สั่น นั่นมันไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ ตอนตกใจ หน้าซีดจนเปลี่ยนสี นางคงคิดว่าว่าลิ้นบุตรสาวเป็นสีดำเพราะถูกพิษแล้วจริงๆ
น้ำเสียงที่ดังโหวกเหวกของซ่งฝูเซิงทำให้ครอบครัวที่อยู่บริเวณนั้นหันมามอง เขาตะโกนเสียงดังใส่หญิงชรา นางจึงเสียหน้า
พูดอีกที่ก็ เฮ้อ เป็นเพราะความห่วงใย ถึงได้ใส่ใจกับซ่งฝูหลิงขนาดนี้
ส่วนซ่งฝูเซิงก็เชื่อฟังคำพูดของภรรยา ให้ไปก็ไป แต่เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็ยังหันมาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ข้าบอกกับท่านไปหลายครั้งแล้ว เด็กผู้หญิงหน้าบาง อย่าด่าทอต่อหน้าคนอื่น…
…ท่านชอบทำกลับกัน ตอนนี้กำลังจะยกมือตีนางแล้ว…
…เด็กกินผลไม้ป่าเพราะอะไร? ทำไมถึงกล้าใส่ปากกินทั้งที่ไม่รู้จัก?…
…เพราะยากจน กระหาย หิว ไม่มีกิน ไม่มีดื่ม…
…เป็นเพราะผู้ใหญ่อย่างพวกเราไร้ความสามารถ พวกเด็กแต่ละคนต่างก็เชื่อฟังเรากันเป็นอย่างดีแล้ว เวลามีอารมณ์โมโหทำไมต้องพาลใส่นาง”
เฉียนเพ่ยอิงทำได้แต่เพียงโบกมือพูด “ท่านรีบไปเถอะ อย่ามัวเพ้อเจ้ออยู่เลย”
ซ่งฝูหลิงยืนอยู่ที่เดิมด้วยอาการเคอะเขิน นางจับนิ้วมือครุ่นคิดในใจ
เมื่อครู่แอบกินไอติมไปแล้ว รสชาติหวานอร่อย ลิ้นเป็นสีดำเพราะแอบกินขนมต่างหาก นี่เกือบจะอินกับคำพูดของท่านพ่อจนน้ำตาไหลแล้ว
กล่าวจนเหมือนกับเป็นเรื่องจริง
เฉียนเพ่ยอิงบอกกับบุตรสาว “เจ้าก็ไปซะ ไปหาพวกเถาฮวา พากันไปอาบน้ำ”
“แล้วน้องชายล่ะ?”
“เจ้าไม่ต้องห่วงหมี่โซ่ว”
ซ่งฝูหลิงกำลังหันตัวจะเดินไป ซ่งจินเป่าก็วิ่งเข้ามา “พี่พั่งยา ผลไม้หวานไหม?”
“เอ่อ”
ซ่งจินเป่าแววตาเป็นประกาย “ท่านไปหาผลไม้มาจากที่ไหน?”
ท่านย่าหม่าโมโหขึ้นมาอีก ในมือถือทัพพี พุ่งตัวเข้ามาจับตัวซ่งจินเป่า “ข้าให้เจ้าไปเอาผลไม้มาอย่างละลูก!”
ซ่งฝูหลิงเห็นย่าของนางจับแขนจินเป่า อีกมือที่ถือทัพพีก็ตีไปที่ก้นของน้องชายค่อนข้างแรง นางรู้สึกเจ็บไปด้วย รีบเอามือกุมก้นวิ่งหนีไป
จูซื่อซึ่งกำลังทำอาหารก็ร้อนใจ อยากเข้าไปห้ามแต่กลัวว่าแม่จะตีนางไปด้วย พอดีกับที่ซ่งฝูสี่สามีของนางแบกน้ำกลับมา จึงรีบตะโกนเรียก “พ่อจินเป่า ท่านรีบเข้าไปห้ามแม่ของท่านหน่อย”
ซ่งฝูสี่เหล่ตามองบุตรชายที่โดนตี “ห้ามอะไรกัน ให้ท่านแม่ได้ระบายความโกรธบ้างก็ดี เฮ้อ! มิเช่นนั้นหากนางอัดอั้น นางอาจจะป่วยขึ้นมาได้”
จูซื่อถลึงตาใส่อย่างไม่คาดคิด สามีของนางกับซ่งฝูเซิงเป็นพี่น้องกันจริงๆ ใช่ไหม? ดูเขาคนนั้นสิ บอกไม่ให้ว่ากล่าว อีกทั้งยังปกป้อง แล้วลองดูคนนี้ กลับยอมให้แม่ตีบุตรชายแท้ๆของตนเองเพื่อคลายความโกรธ นี่พวกเขามีลูกชายคนนี้แค่เพียงแค่คนเดียวนะ
ใช่แล้ว ระบายอารมณ์
วันนี้เด็กหลายครอบครัวต่างก็โดนตี พวกเด็กที่ถูกตีต่างร้องไห้กันระงม ดิ้นไปมากับพื้น
มันเป็นความเศร้าโศกของคนจน
คนยากจน ยอมปล่อยอาหารให้เสีย ไม่ยอมกินลงท้องไปเพราะเสียดาย ยอมที่จะเก็บกักตุน
แต่สภาพอากาศร้อนที่ร้อนมาก ทุกครัวเรือนต่างก็ประสบปัญหาเนื้อสัตว์และไข่ไก่ที่ไม่สามารถเก็บรักษาสภาพไว้ได้ พวกเขาจำเป็นต้องกินให้หมด มิเช่นนั้นเนื้อจะเน่าเสียและไข่ไก่ที่ร้อนคงไม่สามารถเก็บมาฟักเป็นลูกไก่ได้หรอก?
หากไม่กินก็ต้องทิ้งไปเสีย
หากกิน ก็รู้สึกเหมือนตัดใจไม่ได้ ยิ่งสถานการณ์ในตอนนี้ที่ยังต้องเดินทางหลบหนีอีกยาวไกล
มีเพียงเด็กๆ ที่ไร้เดียงสาเท่านั้นที่จะดีใจมาก พวกเด็กๆ ที่ต่างพากันตบมือด้วยความดีใจ ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ผู้ใหญ่ที่อ่อนแอเกิดความสะเทือนอารมณ์
ตอนที่ 76 จับกระบวยตักน้ำให้แน่น
ท่านย่าหม่าหันหลังให้กับทุกคน นางนั่งโมโหอยู่บนเสื่อสาน แอบปาดน้ำตาด้วยความน้อยใจ
เดิมทีลูกสะใภ้อยากจะเข้ามาถามนางว่าต้องนึ่งอาหารแห้งเท่าไร ควรจะทำกับข้าวด้วยเนื้อใกล้เสียที่อยู่ในมือหรือจะต้มไข่ไก่ที่ไม่สามารถเก็บไว้นานจำนวนเท่าไหร่ดี แต่พวกนางก็ไม่กล้าเข้าไปถามและก็ไม่กล้าตัดสินใจเอง
ด้านหนึ่ง ท่านย่าหม่าโมโหที่สภาพอากาศเป็นแบบนี้ ทำไมมันถึงได้ร้อนนัก นี่มันคือเส้นทางไปสู่ภาคเหนือตรงไหนกัน หากไม่รู้ก็อาจคิดไปได้ว่าเดินทางผิดทิศ อุณหภูมิและสภาพอากาศราวกับกำลังเดินไปทางทิศใต้ ยิ่งเดินก็ยิ่งร้อน
ร้อนจนนางหอบหายใจแทบไม่ทัน และร้อนจนทำให้อาหารไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน
เนื้อสัตว์กับไข่ไม่ต้องพูดถึง ส่วนอาหารแห้งนึ่ง แค่ครึ่งวันก็เหม็นหืนแล้ว จะทำอย่างไรดี พวกผู้ใหญ่ยังสามารถกินได้ แต่เด็กๆ หากกินเข้าไปแล้วปวดท้องขึ้นมาล่ะ
อีกด้านหนึ่ง นางรู้สึกเศร้าเสียใจ
เสียใจที่ซ่งฝูเซิงตะโกนพูดเสียงดังแบบนั้นกับนาง เหมือนกับว่าจะชวนทะเลาะด้วย
หลายปีที่ผ่านมา ลูกสามไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน
ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะอยู่ด้วยกันนานเกินไป นางพอจะรู้สึกได้ว่าลูกสามค่อนข้างจะรำคาญนาง
แต่ลูกสามทำไมถึงไม่ลองคิดดูว่า เป็นเพราะเหตุใดนางถึงตกใจขนาดนี้ และทำไมถึงต้องตีหลานสาวคนเล็ก
เพราะครอบครัวลูกสามมีลูกเพียงคนเดียว หากพั่งยากินอะไรผิดสำแดงจนเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ครอบครัวลูกสามจะทำอย่างไร
ในความคิดของหม่าเหล่าไท่ นางไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนสะใภ้ หรือไล่เฉียนเพ่ยอิงออกไปเพื่อเปลี่ยนภรรยาของลูกเป็นผู้หญิงที่สามารถคลอดบุตรชายให้ได้
นางคิดว่าเป็นใครก็ไม่ควรทำเช่นนั้น หย่าผู้หญิงแล้วไล่ให้กลับบ้านไป นั่นไม่เท่ากับเป็นการบีบคั้นให้นางไปตายหรอกหรือ และสิ่งที่สำคัญก็คือ ตอนท่านเฉียนยังมีชีวิต เขาได้ช่วยเหลือบ้านของนางไว้มาก
ถ้าหลายปีมานี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเฉียน บ้านของนางตอนนี้ก็คงยากจนมาก ยากจนถึงขั้นไม่มีอะไรจะกิน ดังนั้นพวกเราไม่ควรที่จะลืมบุญคุณคน
นางยังคงหวังว่าเพ่ยอิงจะสามารถมีบุตรได้อีก แต่หากว่ามีไม่ได้…
นางก็เคยคิดที่จะให้ลูกสามมีอนุภรรยา
คิดแม้แต่ว่าจะยอมขายที่ดินไปสองหมู่ เงินที่ขายได้ก็นำมาให้ลูกสามแต่งอนุภรรยา เงินส่วนนี้นางจะออกเอง หากคลอดเสร็จก็จะอุ้มเด็กมาให้เพ่ยอิงเลี้ยง คงไม่แตกต่างอะไรกับการคลอดเอง แต่ถ้าไม่เห็นด้วย นางก็จะหาเด็กชายตระกูลซ่งเพื่อรับมาเป็นบุตรบุญธรรม ถ้าทำแบบแรกไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ
ตอนนี้อยู่ในช่วงอพยพลี้ภัย พวกเรายังไม่รู้อนาคตในวันข้างหน้า ต้องรีบร้อนเดินทางทุกวัน ครุ่นคิดไปก็ไม่มีประโยชน์
ดังนั้นในเวลานี้ พั่งยาถึงมีความสำคัญที่สุด
ตอนนี้ครอบครัวของลูกสามมีลูกเพียงคนเดียว ต้องคอยดูแลไม่ให้นางเจ็บป่วย ต้องดูแลให้นางมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ยังไม่ต้องไปเอ่ยถึงการมีลูกอีกคนในภายภาคหน้า จะมีบุตรชายหรือไม่นั่นเป็นเพียงความหวังที่ไม่แน่นอน ต้องมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้านี้ก่อน คอยทะนุถนอมดูแลสิ่งที่มีไว้ให้ได้ดีกว่าสิ่งอื่นใด
เมื่อครู่ ตอนที่พั่งยาแลบลิ้นที่กลายเป็นสีดำออกมานั้น ใจของนางแทบตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม จะไม่ให้นางโมโหได้อย่างไรกัน
“น้องสะใภ้ ได้ยินมาว่าพวกเจ้าทะเลาะกัน? ฝูเซิงไม่พอใจเจ้าหรือ?” ท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงมือข้างหนึ่งจับหลานชายคนเล็ก อีกมือหนึ่งก็หิ้วถังน้ำมา มองดูก็รู้ว่าไปตักน้ำเพิ่งกลับมา
ท่านย่าหม่ารีบหันกลับมาพูด “ใครกัน? พูดเพ้อเจ้อไปได้ ครอบครัวเจ้ายังทะเลาะกันได้ ทำไมครอบครัวข้าจะทะเลาะบ้างไม่ได้ อ้อ ใช่สิ ตอนนี้บ้านเจ้าก็ทะเลาะกันไม่ได้แล้ว ลูกสองของเจ้ายังไม่รู้ว่าจะไปทางไหนเลย”
ท่านป้าใหญ่เจ็บจี๊ดที่หัวใจ
ให้ตายเถอะผู้หญิงคนนี้ พูดจากระแนะกระแหนแบบนี้ได้อย่างไร อุตส่าห์หวังดีเดินเข้ามาถามไถ่ อ้าปากมาเมื่อไหร่ก็ต้องพูดให้คนอื่นเจ็บปวด นางโมโหจนหายใจเหนื่อยหอบแล้วนั่น
ในเวลาเดียวกัน ซ่งฝูเซิงก็มาถึงริมน้ำ…
เขาคิดว่า ความลึกของแม่น้ำอาจทำให้ไม่สามารถว่ายน้ำไป-กลับหลายรอบได้ แต่อย่างน้อยระดับความลึกก็น่าจะถึงต้นคอ
แต่ที่จริงแล้วแม่น้ำนี้ตื้นมาก
ตื้นมากจนไม่สามารถใช้ถังน้ำตักน้ำขึ้นมาได้ ต้องใช้อ่างเล็กๆ วักน้ำใส่ถัง วักครั้งหนึ่งจะตักน้ำได้ครึ่งอ่าง แล้วถึงเทใส่ลงถัง ดังนั้นหากอยากให้น้ำเต็มถังจึงต้องใช้เวลาในการตักนานมาก
สถานการณ์ไม่ดีเลยนะเนี่ย
ซ่งหลี่เจิ้งกับซ่งฝูเซิงมีแนวความคิดเดียวกันโดยบังเอิญ เขารีบวิ่งมาบอก “ฝูเซิง เจ้ารีบใช้สิ่งของล้ำค่าของเจ้าออกมาช่วยส่องดูให้พวกเราหน่อยสิ ส่องดูเส้นทางเบื้องหน้าแล้วค่อยออกเดินทาง พวกคนที่อยู่ข้างหน้าไม่มีน้ำดื่มกินแล้วใช่ไหม? ไม่มีน้ำไม่ได้นะ!”
ใช่สิ ไม่มีน้ำไม่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ พวกสัตว์ก็คงทนไม่ไหวและคงต้องตายก่อน ถัดมาก็เป็นคนนี่แหละ