ตอนที่ 83 ตัดสินใจเดินหน้าต่อไป
พวกผู้หญิงเป็นคนพิจารณาอย่างละเอียด ครุ่นคิดได้ถูกต้อง
ซ่งฝูเซิงไม่เพียงแค่สวมใส่เสื้อผ้าอย่างมิดชิดเท่านั้น เขายังนำที่คลุมหัวซึ่งทำมาจากมุ้งลวดนำมาสวมใส่
เขาตะโกนบอกซื่อจ้วง “สวมเสื้อผ้า”
ก่อนจะหันไปตะโกนบอกกับทุกคน “เสื้อผ้าที่ถอดไว้เมื่อครู่ นำมาสวมใส่เสีย พยายามปกปิดให้มิดชิดมากที่สุด อย่าถอดที่กำบังหน้าออก”
เมื่อเขากำชับเสร็จเรียบร้อยก็หยุดเดิน อุ้มเฉียนหมี่โซ่วออกมาจากตะกร้า
สวมรองเท้า กางเกง และเสื้อผ้าตัวเล็กที่ขาดรุ่งริ่งทีละชั้นให้กับเด็กน้อย พร้อมกับสวมหน้ากากให้ เฉียนหมี่โซ่วเป็นเด็กที่รู้เรื่องมาก กลัวว่าซ่งฝูเซิงซึ่งแบกเขามาตลอดจะลำบาก “ท่านลุง ข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าจะลงไปเดินสักพักหนึ่ง”
ซ่งฝูเซิงลูบหัวของเฉียนหมี่โซ่ว หลังจากนั้นเขาก็เรียกบุตรสาวกับเฉียนเพ่ยอิง ตลอดจนคนที่อยู่ใกล้ ต่างก็ชี้แนะพวกเขาทั้งหมดว่าพยายามอย่าให้เท้าโผล่ออกมา ให้ใส่ถุงเท้าไว้
ในที่สุด ซ่งฝูเซิงก็นำยาหม่องน้ำมาแอบทาให้บุตรสาว ภรรยา เฉียนหมี่โซ่ว รวมทั้งทาตรงหลังหู แขน ของตนเอง นอกจากนี้เขายังโน้มตัวไปเรียกท่านย่าหม่า “ท่านแม่ ท่านมาทางนี้หน่อย”
ท่านย่าหม่าเพิ่งเดินมา ซ่งฝูเซิงก็มือว่องไวรีบทายาหม่องน้ำให้กับนาง
ทำเอานางเริ่มรู้สึกเคอะเขินแล้ว
โอ้ว นี่มันกลิ่นอะไรแปลกๆ เอามาทาตรงคอของนาง ลูกสามจะทำอะไรน่ะ
ส่วนคนอื่นนั้น ซ่งฝูเซิงก็กำขวดยาหม่องน้ำเอาไว้แน่นแล้วคลายออกแล้วกำใหม่ ก่อนตัดสินใจเรียก “พี่สาว”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งรีบส่งเสียงขานรับ นางสะพายตะกร้าไว้ด้านหลังวิ่งมาหา
“ท่านถือมันไว้ แอบทาให้กับพวกเด็กๆ ด้วย จงจำไว้ว่าแต่ละคนให้ทาแค่นิดเดียว ทาตรงหน้าผาก อย่าให้คนอื่นสังเกตเห็นได้เพราะจะดูว่าพวกเราค่อนข้างเห็นแก่ตัว ท่านก็ต้องบอกพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองให้คลุมตัวให้มิดชิด ยิ่งมิดชิดมากเท่าไรก็ยิ่งดี”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งยื่นมือมารับของพร้อมกับพยักหน้า ไม่ถามอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
ส่วนเกาถูฮู่ก็รีบร้อนเข้ามาสอบถาม “เสี่ยวซาน เป็นอย่างไรบ้าง? ข้ามาดูว่าทำไมเจ้าถึงหยุดเดิน”
ซ่งฝูเซิงบอก “ท่านลุงเกาลองมองดูนั่นสิ ไม่มีน้ำ คนตายกันหลายคน น่าจะเป็นคนที่หลบหนีมาก่อนหน้าพวกเรา และก็คงไม่รู้ว่ามีลำธารสายเล็กนั่น พวกเขาผ่านไปโดยที่ไม่ได้พบเห็นมัน จนกระทั่งขาดน้ำจนตาย…
…คำนวณแบบคร่าวๆ พวกเขาน่าจะเสียชีวิตไปแล้วประมาณสองร้อยถึงสามร้อยคน พวกเราเพิ่งเดินกันมาได้ไม่กี่ลี้เอง…
…สภาพอากาศร้อน ข้าเกรงว่ายุงจะมากัดคนตายเหล่านั้น…
…ไม่มีใครทราบได้ว่าผู้เสียชีวิตเหล่านั้นป่วยตายหรือไม่? หากกัดพวกเขาแล้วมากัดพวกเรา กลัวว่าร่างกายของพวกเขาจะมีเชื้อโรคแล้วจะแพร่ระบาดมาถึงเราได้…
…ใช่แล้ว มันคือการแพร่ระบาด อืม ถ้าหากข้างหน้ายังมีสถานการณ์แบบนี้อีก คนตายมีจำนวนมากขึ้น ข้าเกรงว่าจะมีโรคระบาด”
“อะไรนะ? เสี่ยวซาน เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจ!”
คนโบราณทุกคน เมื่อเอ่ยถึงโรคระบาดทีไรต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
โรคระบาดสามารถทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
เกาถูฮู่มีช่วงเวลาความคิดแวบหนึ่งที่อยากจะหมุนตัวเดินกลับไป ไม่ต้องเดินหน้าต่อแล้ว
แต่ว่า? เฮ้อ ถ้าสามารถกลับไปได้ คงไม่เดินมาจนถึงจุดนี้!
ถ้าเขากลับไป ก็ต้องไปเผชิญหน้ากับผู้อพยพ พวกที่หนีทหาร ตลอดจนพวกโจรที่คอยจะเข้ามาลักวิ่งชิงปล้นสิ่งของกันช่วงนี้
พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จะสู้รบตบมือได้อย่างไร?
คนเราเมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งแล้ว หากบอกความจริงอะไรไป แม้แต่พวกญาติด้วยกันก็ยังเชื่อใจได้ไม่หมด เมื่อก่อนอาจจะไม่ได้ประสบเหตุการณ์ด้วยตนเองมาก่อน แต่ก็ได้ยินคนพูดกันบ่อยๆ ว่า ไม่ต้องรอให้คนอื่นเข้ามาแย่งชิงสิ่งของในบ้านหรอก เพราะขนาดญาติพี่น้องกันเองก็ยังต่อสู้แย่งชิงอาหารกันจนถึงขั้นฆ่ากันตาย
ขอเพียงที่บ้านมีอาหารอยู่มากมาย ก็อาจจะกลายเป็นข้อเสีย อาจถูกทำร้ายอย่างรุนแรง คงย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว
ซ่งฝูเซิงบอก “นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้นแต่ก็เตรียมใจไว้หน่อยก็ดี วันนี้หากพวกสัตว์ไม่เหนื่อยจนถึงขั้นล้มลง พวกเราเอง หากไม่เหนื่อยจนง่อยเปลี้ยเสียขา ก็ต้องเดินไปข้างหน้าต่อ สรุปแล้วให้รีบเดินทางออกจากบริเวณพื้นที่นี้ให้เร็วที่สุด ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางตอนกลางคืน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพวกเด็กๆ จะสามารถทนได้ไหม เฮ้อ!”
ตอนที่ 84 บิดพริ้ว
ช่วงเวลาเย็น ราวสองทุ่มกว่า
เฉียนหมี่โซ่วจับมือใหญ่ๆ ของซ่งฝูเซิงเอาไว้แน่น เดินขากะเผลกอยู่ข้างกายซ่งฝูเซิง
เขาเดินไปโดยอาศัยแสงสว่างจากไฟ เงยหน้ามองซ่งฝูเซิงและครุ่นคิดในใจ
ท่านลุง ท่านทำไมยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะช่วยแบกข้าสักทีนะ? ท่านรีบพูดสิ ข้าจะเดินไม่ไหวแล้ว
ซ่งฝูเซิงสังเกตเห็นเฉียนหมี่โซ่วจ้องมองเขาอยู่นาน เพียงแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นเท่านั้นเอง
เขาคิดในใจ หมี่โซ่ว เจ้าสามารถอดทนได้ก็อดทนไปก่อน พยายามใช้เรี่ยวแรงที่ตนเองมีก่อนนะ
ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากแบกเจ้า แต่เป็นเพราะตัวลุงเองก็จะเดินไม่ไหวแล้วเช่นกัน ขาเปลี้ยไปหมดแล้ว
ในขณะเดียวกัน ท่านย่าหม่าก็ยื่นหน้าไปมองเป็นครั้งที่ห้า มองซ่งฝูหลิงที่นั่งอ่อนเปลี้ยอยู่บนรถลากเทียมด้วยสายตาละห้อย
ซ่งฝูหลิงรู้ว่าท่านย่าของนางก็กำลังคาดหวังให้นางลงจากรถ นางรีบกอดอก ส่ายหน้าไม่หยุด เพื่อบ่งบอกถึงการปฏิเสธ
ตอนนี้ท่านย่าหม่าทนไม่ไหวแล้ว และก็ไม่สามารถจะบังคับหลานสาวคนเล็กให้ลงมาได้ ได้แต่ตะโกนถาม “หนิวจั่งกุ้ย รถคันของเจ้ายังพอมีพื้นที่ว่างเหลือบ้างหรือไม่?”
หนิวจั่งกุ้ยสะบัดแส้ก่อน แส้ตีไปยังบนตัวล่อที่เดินช้าๆ แบบไม่อยากเดินแล้ว ลงแส้เสร็จ เขาก็หันกลับไปตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เหล่าฮูหยิน ข้าลงจากรถออกมาเดินตั้งนานแล้ว ล่อก็เดินไม่ไหวแล้ว ไม่สามารถจะเพิ่มน้ำหนักให้มันอีกได้ แค่นี้มันก็จะเหนื่อยจะตายอยู่แล้วขอรับ”
ท่านย่าหม่าได้ฟังจนจบก็แทบจะนั่งลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง
ขณะที่ขาทั้งสองข้างของท่านย่าหม่าสั่นเทาจนแทบจะทรุดลงกับพื้นนั้น ซ่งฝูหลิงก็ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตนเอง ก่อนจะตะโกนบอก “ท่านย่า ท่านขึ้นมาเถอะ ข้าจะลงไปเอง”
“เอ๊ะ? อ้อ มาแล้ว!”
รถลากหยุดลง ท่านย่าหม่ารีบปีนเข้าไปข้างในรถ ซ่งฝูหลิงลงจากรถ สองคนแลกพื้นที่กัน
แต่ตอนที่ซ่งฝูหลิงจะลงจากรถ นางกลับร้องไห้ออกมา ในวันนี้นางร้องไห้ไปสองรอบแล้ว
นางจับชายเสื้อท่านย่าของนาง กล่าวคร่ำครวญด้วยความอาลัยอาวรณ์ “ท่านย่า ท่านรู้ไหม? แท้จริงแล้วข้าไม่อยากลงไป”
ท่านย่าหม่าแกะมือหลานสาวคนเล็กออกจากชายผ้าของนาง เดิมทีนางอยากพูดว่า เจ้ารอย่าพักผ่อนสักครึ่งวัน แค่ครึ่งวันเท่านั้น ย่าก็จะคืนพื้นที่ให้กับเจ้า ได้หรือไม่
แต่ว่า?
เฮ้อ ไม่ใช่เพราะนางใจจืดใจดำกับเด็ก แต่เป็นเพราะก้นของหลานสาวคนเล็กนี้หนักมาก เมื่อขึ้นมาแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะลงไปอีก พอเรียกก็ส่ายหัวดิกเหมือนคลื่นในทะเล นางลงจากรถเดินติดต่อกันเป็นเวลาสามชั่วโมงแล้ว สามชั่วโมงเชียวนะ โอ้ สวรรค์ ยังดีที่นางไม่เดินจนขาดใจตายไปก่อน
ท่านย่าหม่าขยับริมฝีปาก แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ครุ่นคิดในใจ ยังไม่รับปากก่อนดีกว่า รอสักพัก ถ้าไม่ไหวจริงค่อยปรึกษากันอีกที
แต่การร้องไห้ของซ่งฝูหลิงในครั้งนี้ยังมีคนร้องเป็นเพื่อนอีกหลายคน
อย่างเช่น ในรถลากเทียมคันที่สอง ซ่งจินเป่าที่อยู่ในรถก็กำลังร้องไห้งอแง “ข้านอนหลับไปแล้ว ข้านอนไปแล้ว ใครก็อย่าได้มาเรียกข้า”
ซ่งฝูสี่โมโห เขาเกือบจะหยุดเข็นรถแล้วหันมาตีจินเป่า “ไสหัวลงมาเดี๋ยวนี้ ให้พี่สาวคนรองของเจ้าขึ้นไป พี่สาวเจ้าสะดุดล้มจนขาแผลงแล้ว เจ้าช่วยทำตัวเป็นเด็กที่พูดรู้เรื่องหน่อยได้ไหม!”
จูซื่อไม่พอใจแล้ว ยิ่งด่าทอบุตรชายที่รักของนางก็ยิ่งทำให้รำคาญใจ นางดึงหูด่าเอ้อร์ยา “เจ้าเดินอย่างไรถึงหกล้มได้ เห็นพ่อของเจ้าด่าจินเป่าไหม เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?”
เอ้อร์ยาน้ำตาไหลอาบแก้ม นางจะไปพอใจอะไรกันเล่า? นางก็ไม่ได้อยากจะหกล้มสักนิด แต่ขามันไร้เรี่ยวแรงไปหมดจนไม่สามารถบังคับได้ นางไม่ได้ตั้งใจ ขาจึงสะดุดล้ม
ท่านยายเถียนอยู่รถคันเดียวกับซ่งจินเป่า เห็นซ่งจินเป่าร้องไห้และยังงอแง เอ้อร์ยาก็เดินเช็ดน้ำตาอยู่นอกรถ ส่วนซ่งฝูสี่ก็ด่าทอลูกไม่หยุด นางจึงเอ่ยออกมาอย่างจนใจ “ข้าจะลงจากรถเอง ให้เอ้อร์ยาขึ้นมา”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งเป็นห่วงแม่สามี “ท่านแม่ ท่านเพิ่งผลัดเปลี่ยนกับเถาฮวาขึ้นไปเองนะ ท่านเดินมาครึ่งวันแล้ว เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว ท่านนั่งพักสักครู่เถอะ”
ท่านยายเถียนโบกมือ “ข้ายังไหว ให้เด็กขึ้นมา ข้ายังมีแรงเดิน”