ทะลุมิติทั้งครอบครัว – ตอนที่ 85 เหนื่อยจนร้องไห้ / ตอนที่ 86 ไร้แหล่งน้ำ

ตอนที่ 85 เหนื่อยจนร้องไห้  

 

 

รถลากคันที่สามมีเฉียนเพ่ยอิง ตอนนี้นางนั่งอยู่ท่ามกลางพวกกระสอบอาหาร  

 

 

บนรถคันนี้บรรทุกนางเพียงคนเดียวพร้อมอาหารทั้งหมดของครอบครัว  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงนั่งหดขาครุ่นคิดอยู่คนเดียว แย่แล้ว ผ้าอนามัยเปียกชื้นแล้ว ขบวนก็ไม่หยุดเดินทาง นี่ก็น่าจะเดินทางติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนผ้าอนามัย กางเกงสกปรกไม่เท่าไร แต่กระสอบอาหารจะพลอยเปื้อนเลือดของนางไปด้วย เมื่อถึงตอนนั้นหากมีคนอื่นถาม นางจะตอบอย่างไรดี?  

 

 

“นี่ พี่สาว”  

 

 

ซ่งอิ๋นเฟิ่งรีบขานรับ “ว่าอย่างไร น้องสะใภ้มีอะไรหรือ?”  

 

 

“ไม่หยุดพักผ่อนกันบ้างหรือ?”  

 

 

“น้องสามบอกว่าพื้นที่นี้มีคนตายจำนวนมาก ไม่สามารถหยุดได้”  

 

 

เฉียนเพ่ยอิงแทบอยากจะร้องไห้ หรือไม่นางก็แอบเปลี่ยนในรถ? อืม เปลี่ยนดีกว่า เปลี่ยนเสร็จค่อยอาศัยจังหวะช่วงมืดค่ำโยนมันทิ้งออกข้างนอก  

 

 

ส่วนครอบครัวอื่นนั้น หากมีสัตว์ลากรถก็ยังถือว่าดีหน่อยเพราะสามารถยืดแข้งขาได้ อย่างน้อยบนรถก็สามารถนั่งเบียดกันได้ถึงสองคน คอยผลัดเปลี่ยนกันพักผ่อนยืดแข้งขากันสักพัก  

 

 

ส่วนครอบครัวที่ไม่มีพวกรถที่ลากด้วยสัตว์หรือเกวียน พวกเด็กๆ ต่างพากันร้องไห้ คนเฒ่าคนแก่ก็เดินจนเหน็ดเหนื่อย  

 

 

ถ้าพูดถึงเมื่อก่อน คนที่อายุมาก เด็กที่ยังอายุน้อย ยังสามารถอาศัยรถคนอื่นนั่งได้  

 

 

แต่ตั้งแต่วันที่ออกเดินทางมานี้ ทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว เพราะรถของพวกเขายังต้องบรรทุกน้ำ ในรถมีทั้งถังไม้ อ่างน้ำวางอยู่ เดิมทีก็ไม่ค่อยจะมีพื้นที่อยู่แล้ว รถลากเทียมสัตว์ก็เดินทางติดต่อกันหลายชั่วโมง พวกมันก็ไม่สามารถรับน้ำหนักเพิ่มได้อีก  

 

 

ส่วนบ้านที่มีรถ ครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้นก็มีผู้เฒ่าผู้แก่ มีเด็ก ที่ต่างก็เดินอยู่ข้างนอกรถเหมือนกัน พวกเขาจะมีหน้าไปขอนั่งในรถได้อย่างไร  

 

 

เช่นนี้จึงทำให้คนที่ไม่มีสัตว์ไว้ลากรถของตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก  

 

 

โดยเฉพาะพวกชายฉกรรจ์ที่เข็นรถเข็น แม้จะอยากให้แม่ของพวกเขาขึ้นไปนั่งบนรถเข็น จะได้เข็นไปให้ แต่ก็อดเห็นลูกของตนเองร้องไห้อยู่ด้านล่างไม่ได้และพูดทั้งน้ำตา “ท่านพ่อ ข้าเดินไม่ไหวแล้ว”  

 

 

ด้านหนึ่งก็เป็นแม่แท้ๆ ของตนเอง อีกด้านก็เป็นบุตรชายบุตรสาวของตนเอง ทั้งสองฝั่งยิ่งทำให้คิดหนัก  

 

 

พวกชายฉกรรจ์แทบอยากจะมีแขนขาเพิ่ม พวกเขาจะได้สามารถเข็นแม่ตนเองและเข็นบุตรสาวบุตรชายพร้อมกันได้  

 

 

แต่ในสถานการณ์จริง พวกเขาต้องมีหน้าที่รับผิดชอบตลอดการเดินทางคือเข็นสิ่งของทั้งหมดจนแขนทั้งสองข้างเริ่มสั่นเทา ขนาดใช้น้ำทั้งหมดที่มีอยู่บนรถเข็นไปหมดแล้วยังเป็นแบบนี้  

 

 

ใช่แล้ว ครอบครัวที่ไม่มีล่อหรือควาย น้ำที่บรรจุใส่ภาชนะจนเต็มก่อนออกเดินทางได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว  

 

 

ภรรยาของกัวคนโตที่อยู่ท้ายขบวนวิ่งมาด้านหน้าสุดของขบวนเพื่อมาพูดคุยกับซ่งฝูเซิง  

 

 

“น้องสาม พี่สะใภ้ขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง น้ำที่ให้ล่อ ควายดื่ม ตลอดจนน้ำที่ทุกคนจะใช้ดื่มกิน สามารถใช้น้ำของบ้านข้าที่อยู่บนรถเข็นก่อนได้หรือไม่? ใช้น้ำบ้านของพวกข้าให้หมดก่อนได้ไหม ได้โปรดเห็นแก่หน้าพี่ชายใหญ่เจ้า รอจนมีสถานที่พักผ่อนค่อยแบ่งน้ำจากบ้านเจ้ามาให้บ้านข้าหน่อย”  

 

 

นางกลัวว่าซ่งฝูเซิงจะไม่ยอมตกลง นางจึงรีบพูดขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถอะ น้องสาม พี่สะใภ้ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล เมื่อถึงสถานที่พักผ่อน บ้านข้าเพียงต้องการน้ำที่จะนำมาทำอาหารกับดื่มกินเท่านั้น เพียงแค่ใช้ดื่ม พวกเราจะประหยัด หากดื่มไม่ได้ก็จะไม่ดื่ม พวกเราไม่ต้องการอย่างอื่น”  

 

 

สะใภ้คนโตของกัวคนโตเป็นห่วงสามีของนางมาก  

 

 

บ้านไม่มีล่อ ไม่มีควาย ทั้งหมดจึงต้องอาศัยพลังแขนของสามีนางในการเข็น ตอนนี้ทั้งคนเฒ่าคนแก่และเด็กๆ ต่างก็เดินไม่ไหว สามีของนางจึงต้องเข็นน้ำและยังต้องเข็นคนเฒ่าคนแก่กับเด็กอีก น้องชายอีกสองคนก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่ละคนต่างปากแข็งฝืนทน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องฝืนขนาดนี้ มิเช่นนั้นร่างกายจะทนไหวได้อย่างไร  

 

 

นางกลัวว่าแต่ละคนจะเหนื่อยจนร่างกายรับไม่ไหว ถึงต้องวิ่งมาหาซ่งฝูเซิง  

 

 

นางคิดว่าซ่งฝูเซิงน่าจะตอบตกลง และเมื่อใช้น้ำที่บ้านของนางหมดแล้ว เขาก็คงไม่ใช่คนที่ไม่รับผิดชอบ เพราะเขานิสัยดีและชอบช่วยเหลือคนอื่น  

 

 

เมื่อซ่งฝูเซิงได้ฟังก็ต้องถึงกับเอามือตบหน้าผาก เพราะสวมเสื้อมิดชิดจนร้อนเกินไป ทำให้ลืมนึกถึงเรื่องนี้  

 

 

เขาบอก “ใช่แล้วพี่สะใภ้ ท่านมาใช้น้ำกับบ้านข้าเถอะ”  

 

 

จากนั้นจึงให้บอกต่อกันไปแต่ละครอบครัว ความหมายโดยรวมคือ  

 

 

บ้านที่ไม่มีสัตว์กับบ้านที่มีสัตว์ สามารถไปปรึกษาหารือกันเองได้เลย  

 

 

สามารถใช้น้ำที่อยู่บนรถเข็นก่อน เมื่อใช้น้ำหมดแล้ว หากครอบครัวที่ไม่มีสัตว์ลากรถต้องการทำอาหาร ดื่มน้ำ สามารถไปตักน้ำกับบ้านนั้นๆ ที่จับคู่กันไว้ได้  

 

 

นอกเหนือจากนี้ เขาจะไม่จับคู่ให้กับทุกคนแล้ว ทุกคนต้องจำคำนี้ไว้ ต้องสามัคคี  

 

 

ที่กล่าวมาข้างบนคือการพยายามลดภาระของครอบครัวที่ไม่มีล่อ ควาย แต่ก็ยังทำให้ทุกคนเดินจนแทบจะขาดใจตาย  

 

 

ได้ยินเสียงของพวกผู้หญิงที่ด่าทอลูกของตนเองอยู่บ่อยๆ “ร้องไห้ไปทำไม เจ้าร้องไห้แล้วไม่เปลืองเรี่ยวแรงหรืออย่างไรกัน? น้ำตาของเจ้าไม่ใช่น้ำหรือ? กลั้นน้ำตาไว้!”  

 

 

ฟังดูเอาเถอะ มากันจนถึงขั้นนี้แล้วหรือนี่ ตอนนี้คนทุกวัยเหนื่อยจนพร้อมจะร้องไห้ได้หมด  

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 86 ไร้แหล่งน้ำ  

 

 

ทุกคนเดินทางมาทั้งวัน จนถึงตอนนี้เดินมาไกลแค่ไหนแล้วน่ะ ซ่งฝูเซิงคำนวณในใจ  

 

 

ใช้เมืองที่อยู่ในยุคปัจจุบันเป็นเครื่องประเมิน  

 

 

ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน จากเมืองที่เขาอยู่ไปต่างอำเภอมีระยะทางประมาณสามสิบกิโลเมตร  

 

 

เขาขับรถโดยใช้กฎจราจรกับตนเองอย่างเคร่งครัด โดยควบคุมความเร็วในระยะทาง สามสิบกิโลเมตร เขาจะต้องใช้เวลาในการขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมง  

 

 

แต่วันนี้พวกเขาเดินตั้งแต่เช้าจรดเย็น รวมกับช่วงเวลาที่ขาดน้ำในช่วงเช้าจนกระทั่งถึงตอนนี้ช่วงเย็นสองทุ่มกว่า เดินไปประมาณหนึ่งร้อยลี้  

 

 

ยุคโบราณไม่ใช้หน่วยกิโลเมตรในการคำนวณ บอกทุกคนว่าหน่วยเป็นกิโลเมตรก็คงไม่เข้าใจ แท้จริงแล้วหนึ่งร้อยลี้จะเท่ากับระยะทางห้าสิบกิโลเมตร  

 

 

อาจจะพูดได้ว่า เท่ากับยุคปัจจุบันตอนเขาขับรถจากในเมืองไปต่างอำเภอ เป็นระยะทางไป-กลับ  

 

 

ระยะทางไป-กลับ หากขับรถบนถนนดีหน่อย ก็ต้องใช้เวลาสองชั่วโมง ตอนนี้พวกเขาต้องเดินด้วยเท้า และมีหน้าที่นำทาง ทั้งแบก กอด และเข็นสิ่งของ เมื่อเทียบกับความสามารถของพวกเขาในวันนี้นั้น การวิ่งมาราธอนถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย สุดขีดความสามารถแล้ว  

 

 

ลองคิดดูสิ คนเฒ่าคนแก่ ผู้หญิงและเด็ก จะไม่เดินไปร้องไห้ไปได้อย่างไร?  

 

 

ซ่งฝูเซิงหายใจอย่างเหนื่อยหอบ หมดเรี่ยวแรง  

 

 

ตอนนี้เถียนสี่ฟาพาพวกพ้องกลุ่มเล็กที่ออกไปหาน้ำกลับมากันแล้ว  

 

 

ทุกคนต่างตั้งตารอคอยพวกเขาด้วยความหวัง ซ่งฝูเซิงรีบเดินไปต้อนรับ  

 

 

เพียงแค่สีหน้าอารมณ์ที่คุ้นเคย ท่าทางที่เคยชิน ถึงกับทำให้คนที่เห็นไร้เรี่ยวแรง เถียนสี่ฟาชูคบเพลิงในมือของเขา เป็นครั้งที่สามที่โบกมือและส่ายหน้าให้กับทุกคน  

 

 

ในตอนนี้ อย่าว่าแต่คนในขบวนจะรู้สึกหดหู่อย่างมากเลย แม้แต่ซ่งฝูเซิงก็หมดแรงจนต้องนั่งลงกับพื้น  

 

 

ทุกคนเห็นเขานั่งลงก็พากันนั่งตามบนพื้นเช่นกัน  

 

 

ตามหลักเหตุผลแล้ว ขบวนหยุดกระทันหันเช่นนี้และยังเป็นช่วงเวลายามค่ำคืน อย่างน้อยด้านหลังก็น่าจะมีเสียงพูดคุยกันบ้าง แต่นอกเหนือจากคนคุมรถไม่กี่คันที่ตะโกนว่า “อวี” ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในสภาวะไร้เสียง หน้าอกไปจนถึงหลังกระเพื่อมไม่หยุด พวกเขาวุ่นวายกับการถอดผ้าคลุมศีรษะและใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่อที่ไหลตามใบหน้า  

 

 

ซ่งฝูเซิงก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามคอ เขาเช็ดไปแล้วก็เอ่ยขึ้น “พี่เขย ข้างหน้าท่านเห็นว่ามีพวกหมู่บ้านอะไรบ้างไหม?”  

 

 

เถียนสี่ฟาส่ายหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ตอนนี้เขารู้สึกมีภาระหนักอึ้งในใจมากมาย  

 

 

เพราะทุกคนให้อุปกรณ์และสิ่งของต่างๆ กับพวกเขา เพื่อให้พวกเขาพร้อมที่จะวิ่งไปข้างหน้าหลายลี้เพื่อค้นหาแหล่งน้ำก่อน  

 

 

อย่างเช่นอาวุธที่ดีที่สุด เหมือนไม้กระบอกที่มีปลายมีดแหลมซึ่งพั่งยาถือไว้ในมือ ก็ยกให้กับพวกเขาไว้ใช้  

 

 

ด้านอาหารการกิน น้องสามก็ให้พวกเขาสี่คนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละสองคน หนึ่งคนได้หมาฮวาหนึ่งอัน ทุกครั้งที่วิ่งไปหนึ่งรอบก็จะให้อาหารไว้หนึ่งครั้ง  

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งมอบไข่เค็มให้พวกเขาคนละฟอง เพราะเกรงว่าหากพวกเขาเหงื่อไหลออกมามาก อาจต้องกินเกลือเพิ่มหน่อย และทุกครั้งที่วิ่งไปหนึ่งรอบก็มอบให้หนึ่งครั้ง  

 

 

ครอบครัวเกาถูฮู่ให้เนื้อสัตว์หนึ่งชิ้น บอกว่าพวกเขาทั้งสี่คนนั้นลำบาก ต้องรับภาระหน้าที่อย่างหนัก  

 

 

ส่วนครอบครัวอื่นนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ให้อะไร แต่ทุกครั้งที่วิ่งไปรอบหนึ่ง ถุงน้ำสองถุงที่แบกไว้ด้านหลังของทุกคนจะบรรจุน้ำจนเต็ม แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว ทุกคนไม่ค่อยจะเสียดายกับการดื่มน้ำกันแล้ว พวกเขาต่างดื่มน้ำตลอดเพื่อไม่ให้คอแห้ง และให้พวกเขาทั้งสี่คนได้ดื่มเยอะหน่อย ต่างดูแลกันเป็นอย่างดี  

 

 

แต่น่าเสียดาย พวกเขาทั้งสี่คนที่แบ่งเป็นกลุ่มละสองคน แบ่งกันหาสองด้าน ด้านซ้ายกลุ่มหนึ่ง ด้านขวาอีกกลุ่มหนึ่ง วิ่งลึกเข้าไปทั้งสองทิศทางและวิ่งไปไกลอีกหลายลี้จนหมดเรี่ยวแรง ก็ยังไร้วี่แวว อย่าว่าแต่น้ำเลย ต้นไม้ใบหญ้าก็แห้งเหี่ยว พวกเขาเห็นเปลือกของต้นไม้หลายต้นถูกดึงออกมา  

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งโน้มตัวถามซ่งฝูเซิง “ฝูเซิง เจ้าตัดสินใจว่าอย่างไร? เจ้าตัดสินใจอะไรมาก็ได้ ทุกคนฟังเจ้า”  

 

 

เกาถูฮู่ก็ถามขึ้นมา “เสี่ยวซาน พวกเรายังต้องเดินหน้าต่อไปไหม?”  

 

 

หนิวจั่งกุ้ยได้ยินก็รีบพูดขึ้นทันที “นายท่าน เดินต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ดูสิ ล่อลากรถของข้าคันนี้มันเหนื่อยมากแล้ว”  

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ทะลุมิติทั้งครอบครัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย! แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset