ตอนที่ 87
นี่ยังจะต้องเดินต่อไปอีกหรือ!
เดินต่อไปข้างหน้าก็ไม่มีหมู่บ้านที่สามารถพักค้างแรมได้
ต่อให้เดินอย่างไร สุดท้ายก็ต้องนอนพักตามสถานที่โล่งกลางแจ้ง
จนกระทั่งตอนนี้ ซ่งฝูเซิงถึงเข้าใจคำพูดนั้นของเถียนสี่ฟา “ถนนเส้นนี้มีเพียงคนที่หลบหนีลี้ภัยเสี่ยงตายเท่านั้นถึงจะมาใช้” ว่าหมายถึงอะไร
หนึ่งร้อยลี้ ต่อให้เดินทั้งวัน ถ้าอยู่ในช่วงยุคปัจจุบัน อย่าว่าแต่เดินผ่านหมู่บ้านเล็กๆ เลย ระยะทางนี้สามารถเดินผ่านตัวเมืองใหญ่ไปได้ด้วยซ้ำ
แต่นี่เป็นยุคโบราณ เดินทางมาไกลถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่พบสถานที่ที่พอจะพักแรมได้
นอกเหนือจากผู้อพยพที่เข้ามาในขบวนเพื่อขอน้ำดื่ม นอกนั้นก็เป็นคนตาย และพื้นที่กันดารที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
ทุกคนรีบนำรถลากและเกวียนเข้าสู่พื้นที่มีอาณาเขตกว้างขวาง ตามเวลาที่กำหนดออกเดินทางตั้งแต่หัววัน ต่างคนต่างทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเหมือนเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ต้องส่งคนไปตักน้ำเพราะไม่มีน้ำให้ตัก
ทันใดนั้น ก็มีผู้หญิงกระโดดโลดเต้นและตะโกนร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น เกิดเรื่องอะไรหรือ?”
ลูกสะใภ้คนเล็กของท่านยายหวังถึงกับตกใจไม่น้อย นางใช้มือปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มีคนตาย”
ซ่งหลี่เจิ้งถอนหายใจ เขาหมดความกังวลก็อยากจะเอ่ยปากด่าคน “มีคนตายแล้วผิดปกติตรงไหน? ตลอดเส้นทางที่ผ่านมายังเห็นน้อยไปอีกหรือ? ลากเขาไปไว้ด้านข้างโน้นเสีย จะร้องไห้ตะโกนเรียกพ่อเรียกแม่ทำไมกัน!”
หลังจากนั้นเขาก็ตะโกนสั่งกำชับทุกคน “เวลาจะปูเสื่อวางสัมภาระก็มองดูให้ดีหน่อย เอาไฟส่องสว่างก่อน ถ้าเห็นคนตาย ให้ใช้จอบเขี่ยลากไปไกลๆ หน่อย ระวังอย่าให้ติดโรคอะไรได้”
ซ่งฝูหลิง ตอนที่ยังไม่ได้ยินคำพูดนี้ ก็ยังปกติดีอยู่ แต่เมื่อนางได้ฟังจบก็รีบดึงเฉียนเพ่ยอิงมาใกล้ ส่วนมืออีกข้างก็จับเฉียนหมี่โซ่วเอาไว้แน่น เอ่ยเสียงเบา
“ท่านแม่ หมี่โซ่ว พวกเรายืนอยู่ที่เดิมตรงนี้แหละ เมื่อครู่ข้าลองดูพื้นที่พวกเราเหยียบอย่างละเอียดแล้ว มันสะอาดอยู่นะ…
…หากใครเรียก พวกเราก็ทำเป็นไม่ได้ยิน อย่าไปช่วยและไม่ต้องไปทำอย่างอื่น รอท่านย่าของข้าปูเสื่อวางสัมภาระเรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน…
…ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม แสงไฟก็ไม่สามารถจะส่องสว่างจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากไม่ทันระวังอาจเดินไปเหยียบร่างของคนตายก็ได้ ท่านก็ไม่รู้อีกว่าเขาตายสนิทหรือยัง”
เฉียนเพ่ยอิงรู้ว่าลูกสาวตกใจไม่น้อย นางเอื้อมมือดึงซ่งฝูหลิงเข้ามากอด “อืม แม่จะยืนอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตรงนี้ ไม่ไปไหน”
หมี่โซ่วมีท่าทีลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า พี่สาว ข้าปวดขา” เขาก็รีบยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อเป็นการรับประกันคำพูด “ข้าอยากนั่งอยู่ที่เดิมตรงนี้ ไม่เคลื่อนไหวไปไหน”
เฉียนเพ่ยอิงเอ่ย “ถ้างั้นเจ้านั่งบนตักข้า ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะมีแมลงมากัดก้นเจ้า”
ซ่งฝูหลิงก็จับแขนแม่ของนางไม่ยอมให้ไปช่วย จนกระทั่งท่านย่าหม่าปูเสื่อเสร็จเรียบร้อย นางก็หันกลับมามองเพราะนางรู้สึกว่าเหมือนมีคนในครอบครัวนางขาดหายไปหลายคน ไฟก็ไม่มีอยู่ในมือ ได้เพียงแต่ตะโกนเรียกไปด้วยความร้อนใจ “พั่งยา พั่งยา?”
“นี่ ท่านย่า ข้าอยู่ตรงนี้” ซ่งฝูหลิงกระโดดออกมาจากความมืด “มาแล้ว มาแล้ว ท่านปูเสร็จแล้ว ดีจริง แต่ตอนที่ท่านปูเสื่อมองดีแล้วใช่ไหม? ไม่มีคนตายนะ”
“ไม่มีหรอก ไม่ว่าย่าทำเรื่องอะไรเจ้าวางใจได้ สบายใจได้เลย ลุงของเจ้าเอาผงยามาโรยแถวบริเวณที่พวกเจ้าและเด็กๆ อยู่ แต่ข้าไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร เขาบอกว่าเมื่อก่อนตอนอยู่บนเขาใช้ป้องกันพวกงูและแมลง”
“ดีจริง ลุงของข้าช่างเป็นคนดีมาก”
ซ่งฝูหลิงพูดไปก็พาเฉียนหมี่โซ่วเดินไปนอนตรงนั้นและยังเรียกพวกพี่สาวมา “พี่เถาฮวา พี่ต้ายา พี่เอ้อร์ยา รีบมาสิ ท่านแม่ ท่านอย่าไปไหน ข้ากลัว”
เฉียนเพ่ยอิงบอก “ข้าต้องไปต้มน้ำร้อนเพื่อชงยาให้เฉียนหมี่โซ่ว สักครู่หนึ่งถึงกลับมา”
ท่านย่าหม่ามองเสื่อและสัมภาระที่จัดไว้เรียบร้อย เพียงแค่พริบตาก็มีคนนอนกันเต็ม หลานสาวคนเล็กก็ทำตัวเป็นคนดีอีกครั้ง ตะโกนเสร็จก็เรียกคนโน้นคนนี้ แต่ไม่เรียกนางเลย นางยังไม่ได้พักผ่อนก็ต้องมายุ่งวุ่นวายกับการปูเสื่อ จัดสัมภาระ สุดท้ายสิ่งที่ออกมาจากปากหลานสาวคนเล็กคือ ‘ท่านลุงเป็นคนดี’ ไม่ได้ชื่นชมนางสักประโยคหนึ่ง นางได้แต่ถอนใจยอมรับชะตากรรมไป
สะใภ้ใหญ่ตระกูลกัววิ่งมา “ท่านป้า ข้ามาเอาน้ำ”
“ใช้น้ำเท่าไหร่?”
“หนึ่ง หนึ่งอ่างได้ไหม?” สะใภ้ใหญ่ตระกูลกัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้ำอึ้ง
ท่านย่าหม่าเหลือบตา “อะไรกัน นี่มันก็ดึกดื่นแล้ว บ้านเจ้ายังจะหุงข้าวกันอีกหรือไง? ข้าว่าอย่ากินเลย บ้านข้าเย็นนี้ก็หิวกันทุกคนและตอนนี้ก็ไม่ได้รีบออกเดินทางไปไหน”
“ท่านแม่” ซ่งฝูเซิงคิ้วขมวด “เรื่องนี้ตกลงกันดีแล้วว่าทั้งสองครอบครัวใช้น้ำร่วมกัน ล่อของบ้านเราดื่มน้ำของบ้านเขา ท่านรีบยกอ่างน้ำให้เขาไปเถอะ เลือกอ่างน้ำใหญ่หน่อย ครอบครัวของพี่กัวมีสมาชิกในครอบครัวเยอะ ถึงแม้จะไม่ได้หุงข้าวแต่ก็ต้องต้มน้ำไว้ดื่มเผื่อการเดินทางของวันพรุ่งนี้ ท่านอย่าได้ใจแคบไปหน่อยเลย”
สะใภ้ใหญ่ของตระกูลกัวพยักหน้าให้กับซ่งฝูเซิงแล้วหันมาพูดกับท่านย่าหม่า “ท่านป้าพวกข้าจะหุงข้าวได้อย่างไร เดิมทีน้ำก็ยังไม่ค่อยจะพอใช้ แต่เหมือนกับที่น้องสามพูด ต้องต้มน้ำเผื่อไว้ดื่มกินวันพรุ่งนี้”
ตอนที่ 88
สิ่งของหายากย่อมมีราคาแพง
เหมือนดั่งเช่นท่านย่าหม่ากับสะใภ้ใหญ่ตระกูลกัว ตลอดจนครอบครัวเกาถูฮู่กับครอบครัวหวัง ที่มีปากเสียงกันเล็กน้อยเพราะเรื่องการนำน้ำไปใช้ แต่ก็หมดห่วง
เพราะครอบครัวของพวกเขาเดินทางมาทั้งวันแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกหิว ตอนนี้พักผ่อนก็ไม่ได้ทำอาหาร
ไม่ทำอาหารก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำ ไม่เปลืองน้ำก็แน่นอนว่าไม่ต้องพูดกันมาก
ตอนเช้าก่อนที่ครอบครัวกัวจะออกเดินทาง สะใภ้ใหญ่ตระกูลกัวได้ย่างขนมปังแห้งหลายก้อนไว้ ไม่ใส่น้ำมัน ไม่ใส่เกลือและไม่ขึ้นหืน ขนมปังก้อนจึงแข็งจนสามารถโยนใส่คนหัวแตกได้เลย ตอนนั้นที่นางกำลังวุ่นอยู่กับการอบขนมปังชนิดนี้เพื่อแก้ปัญหา ไม่คาดคิดเลยว่าอีกสองวันถัดมาจะได้นำมากินจริงๆ
ตอนที่ขบวนยังไม่หยุด หากรู้สึกหิวขึ้นมาก็สามารถให้คนในครอบครัวกินรองท้องไปก่อนได้
ครอบครัวเกาถูฮู่ใช้วิธีรมควันเนื้อสัตว์ หากคนในครอบครัวหิวก็สามารถกัดกินเนื้อรมควันเหล่านั้นรองท้องได้ เนื้อมีรสชาติเค็มและสามารถช่วยเพิ่มพลัง อีกทั้งเก็บไว้ก็ไม่เสีย
ครอบครัวหวังมีการจัดการที่ดีเพราะมีท่านยายหวังที่คอยดูแลเป็นอย่างดี
เมื่อตอนกลางวัน ท่านยายหวังได้ยินว่าเส้นทางข้างหน้าอาจจะไม่มีน้ำ ครอบครัวอื่นต่างรีบตักน้ำเก็บตุนไว้ และพุ่งตัวไปในลำธารเล็กๆ นั่นเพื่อชำระล้างร่างกาย ราวกับว่าทั้งชีวิตนี้ไม่เคยแตะต้องน้ำมาก่อน ถึงขนาดทำน้ำซุปหม้อใหญ่เพื่อให้ทุกคนดื่มกินได้เต็มที่ แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น
ท่านยายหวังนึ่งอาหารแห้งบนหม้อ ส่วนด้านล่างของหม้อก็ต้มไข่ไก่ นางทำจนเหงื่อไคลไหลย้อยไปทั่วร่างกาย ตุนของกินพวกนี้ไว้จะได้ไม่ทำให้คนในครอบครัวต้องหิวโหย
ส่วนท่านย่าหม่า นางก็พลอยได้ผลประโยชน์จากลูกสะใภ้คนเล็กไปด้วย
ก่อนหน้านี้ท่านย่าหม่าด่าทอเฉียนเพ่ยอิงว่าล้างผลาญ ยามเห็นหมาฮวาก็ปวดใจ นั่นต้องใช้น้ำมันเท่าไร ต้องใช้แป้งเท่าไร นี่มันเป็นการลี้ภัยแบบไหนกัน ทำไมเจ้าไม่อยู่บ้านทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่ต่อไปเสียเลยเล่า
แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์จนมาถึงวันนี้ นางก็เลิกด่าทอแล้ว ยังดีที่มีหมาฮวาพวกนี้อยู่
ตั้งแต่ออกจากแม่น้ำสายเล็กนั้นเรื่อยมาจนถึงสถานที่พักผ่อนนี้ ช่วงระยะทางที่เดินใช้เวลาหลายชั่วยาม
การกินอาหารมีความสำคัญกับคนมาก ไม่ได้กินมื้อหนึ่งก็หิวจนท้องไส้ปั่นป่วนแล้ว หากหลายชั่วยามไม่ได้กินอะไร จะมีแรงจากไหนในการลี้ภัย เข็นรถ
แต่นอกเหนือจากตอนให้อาหารและน้ำกับล่อแล้ว ขบวนถึงจะหยุด อีกทั้งลูกสามของนางก็ชอบพูดจาแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ เช่นพูดว่า แค่โดนยุงกัดก็สามารถป่วยได้แล้ว เฮ้อ คนตายก็เยอะ ตลอดการเดินทางมองเห็นคนตายเรื่อยๆ แค่นี้ก็ใจสั่นจะแย่แล้ว
อีกทั้งบนรถลากสามารถนั่งเบียดกันได้แค่สองสามคน วันนี้เป็นเพราะต้องใส่น้ำ ทั้งอ่างใหญ่และถังเล็กที่วางเรียงราย ทำให้นางต้องนั่งห่อตัว ไม่สามารถยืดแขนหรือแข้งขาได้ดั่งเช่นแต่ก่อน และไม่สามารถทำอาหารได้ ถึงแม้นางจะมีความสามารถก็แสดงออกมาไม่ได้ตอนนี้
ก่อนหน้านั้น ลูกสะใภ้คนเล็กทำหมาฮวา ไข่พะโล้ และยังมีอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เป็นของแห้งชนิดหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี คนในครอบครัวนำมันออกมากินระหว่างเดินทาง ทำให้ไม่เสียเวลา แค่นำออกมากัดๆ แทะๆ ก็สามารถอิ่มท้องผ่านไปมื้อหนึ่งได้
ส่วนตอนนี้ที่กำลังพักผ่อนรู้สึกหิวหรือไม่นั้น? ไม่ค่อยหิวเท่าไร สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ยังต้องเก็บน้ำไว้วันพรุ่งนี้ตอนเช้าเพื่อนึ่งอาหารแห้ง
ความในใจของท่านย่าหม่า ถ้าพรุ่งนี้เช้าไม่ได้ทำอาหารแห้ง หมาฮวาอะไรที่มีในวันนี้ก็หมดแล้ว ไม่มีเหลือเก็บแล้ว พรุ่งนี้จะกินอะไร
ท่านย่าหม่าเปลี่ยนความคิดที่มีต่อลูกสะใภ้คนนี้ แต่เมื่อเห็นเฉียนเพ่ยอิงกำลังตักน้ำก็รีบแหกปากร้องตะโกนออกมา “เจ้าจะเอาไปทำอะไร?” น้ำในตอนนี้เป็นชีวิตของนางไปแล้ว
เฉียนเพ่ยอิงตกใจ ทำไมถึงยังไม่ไปนอน ยังจะเฝ้าอยู่ตรงนี้อีกน่ะ นางกุมหัวใจแล้วพูดขึ้น “ข้าจะเอาน้ำไปต้มนะสิ”
“ต้มน้ำอะไรกันป่านนี้ นอนพักผ่อนได้แล้ว”
เฉียนเพ่ยอิงพูดแทบไม่ออก “ข้าต้องต้มยาให้กับซื่อจ้วง และต้องต้มน้ำให้เฉียนหมี่โซ่วดื่มยา น้ำแค่นี้ ท่านคงไม่ห้ามข้าหรอกนะ?”
อ๊าห์ คิดว่าจะหาเรื่องทำอะไรอีก ท่านย่าหม่าทำปากขมุบขมิบแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมา
ส่วนเฉียนเพ่ยอิงก็เหลือบมองท่านย่าหม่าและเหล่มองอีกครั้ง
หูก็ได้ยินเสียงด่าทอของแม่สามีหลายบ้านที่กำลังด่าลูกสะใภ้ว่าไม่รู้จักวางแผนชีวิต ไม่รู้จักประหยัดน้ำ นางคิดในใจ
อย่ามองเพียงแค่แม่สามีในยุคโบราณนี้ยากจน ไม่มีอะไรให้ดูแล บางครั้งพวกนางก็คิดได้มากกว่าแม่สามียุคปัจจุบันที่มีกินมีใช้เสียอีก เมื่อเทียบกับบ้านอื่นแล้ว พวกนางก็ยังถือว่าเป็นคนมีเหตุผล
เฉียนเพ่ยอิงหันหน้าไปพูดกับท่านย่าหม่า “ไม่มีใครกล้ามาใช้น้ำและก็ไม่มีใครมาขโมยน้ำของท่านหรอก ท่านรีบไปนอนเถอะ วันนี้เดินมานานแล้ว พักผ่อนเสีย”
น้อยนักที่จะมีคำพูดที่อ่อนโยนหลุดออกมา แต่ท่านย่าหม่าไม่ได้ตั้งใจฟัง นางกำลังเงี่ยหูฟังเหตุการณ์ที่คึกครื้นทางนั้นอยู่ต่างหาก