บทที่ 138 ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือประตูกระดูกขาว
กลางท้องฟ้าสูง มีประตูบานหนึ่งที่หลอมขึ้นมาจากกระดูกขาว
ประหนึ่งว่าติดต่อกับยมโลก มีสิ่งชั่วร้ายอะไรบางอย่างกำลังก่อตัว
และเว่ยเหยี่ยนก็มาถึง
แสงดาบดุจแสงจันทร์ ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือประตูกระดูกขาว
ฉัวะ! เคร้ง!
วายุเหมันต์ฟันไปบนประตูกระดูกขาว ส่งเสียงโลหะออกมาอีกครั้ง
จางหลินชวนมือหนึ่งค้ำยันประตูกระดูกขาว มือหนึ่งพลิกกดไปข้างหน้า
ฟิ้วๆๆ!
ธนูแสงทองแถวหนึ่งยิ่งพุ่งมาที่ประตูอย่างไร้เหตุผล
เสิ่นหนานชีบุกมาถึงแล้วเช่นกัน
ครั้งที่แล้วหลังจากสหายร่วมกลุ่มตายอย่างน่าเวทนา เขาไม่ได้ทำตัวตกต่ำลงไป แต่กลับทำลายกฎเกณฑ์เก่าทะลวงพลัง เปิดประตูฟ้าดินได้
ยังคงเป็นธนูแสงทอง แต่พลังสังหารกลับแตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
จางหลินชวนจำต้องดึงฝ่ามือที่โจมตีเว่ยเหยี่ยนกลับมา ขวางไว้ข้างหน้า
บนมือของเขามีหมอกดำกลุ่มหนึ่งลอยอวล แม้จะเป็นเพียงแค่กลุ่มเล็กๆ แต่กลับกลืนกินธนูแสงทองที่โจมตีมาเหล่านั้นจนหมดสิ้น
และในเวลาเดียวกันนี้เอง
แครก!
ประตูกระดูกขาวร้าว
ในที่สุดมันก็แบกรับการโจมตีที่เว่ยเหยี่ยนซัดมาอย่างต่อเนื่องไม่ไหว แยกชิ้นส่วนกลายเป็นเศษกระดูก ร่วงลงไปข้างล่าง
วิชาเต๋าวิชานี้ยังไม่ทันได้สำแดงพลานุภาพก็ถูกทำลายจากการร่วมมือกันของเว่ยเหยี่ยนและเสิ่นหนานชี
เสิ่นหนานชีดวงตาวาววาบ กระโดดตัวข้ามเศษกระดูกที่ร่วงลงมา พุ่งมาข้างหน้าจางหลินชวน ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงไป!
แสงทองปะทุออกมา
เป็นค่ายกลงสังหารแสงทองอีกแล้ว!
เว่ยเหยี่ยนกายผสานกับดาบ ร่างประดุจแม่น้ำดาราเทลงมา ฟันเข้าไปในแสงทอง
เคร้ง!
เสียงประดุจระฆังดังขึ้น
แสงทองจางหายไป
มือขวาของจางหลินชวนกำเป็นหมัด บนหมัดพันล้อมไปด้วยแสงีขาวแวววาว ต้านทานวายุเหมันต์เอาไว้
ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกางเป็นกรงเล็บกดไว้ที่กระหม่อมของเสิ่นหนานชี
ทั้งตัวของเขาหุ้มล้อมไปด้วยแสงสีขาวแวววาว อยู่ดีมีสุขดีในค่ายกลแสงทอง
“พวกเจ้าคิดว่ายังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ มีความหวัง มีอนาคตอย่างนั้นหรือ”
เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่ ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
มือซ้ายออกแรงเล็กน้อย
บึ้ม
หัวของเสิ่นหนานชีระเบิดไปแบบนั้น
สีขาว สีแดง สาดกระเซ็นไปทั่ว
เว่ยเหยี่ยนพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ทำได้เพียงแค่คำรามในคอประดุจสัตว์ป่า
เขาเก็บดาบ ฟันออกไปอีกครั้ง
เก็บดาบ ฟันออกไปอีกครั้ง!
เก็บดาบอีกครั้ง ฟันออกไปอีกครั้ง!
เสี้ยวพริบตานี้เขาปะทุขีดจำกัดกายเนื้อขึ้น ในหนึ่งอึดใจฟันออกไปสามร้อยกว่าดาบ!
ง่ามมือแตก เส้นเลือดระเบิด
ก่อนที่จะฟันโดนจางหลินชวน ตัวเขาก็สะบักสะบอมยับเยินไปก่อนแล้ว
แต่สิ่งที่ตอบขานเขากลับมา มีเพียงแค่——เคร้ง!
นั่นเป็นเหมือนเสียงระฆัง เป็นเสียงเย็นชายิ่งนัก สิ้นหวังเป็นที่สุด
ทุกดาบในสภาวะขีดจำกัดสูงสุดของเขาล้วนถูกจางหลินชวนต้านเอาไว้
“หากสู้สุดชีวิตก็คว้าโอกาสไว้ได้ หากพยายามก็มีปาฏิหาริย์…”
แววตาของจางหลินชวนสงบนิ่ง เสียงเย็นชา
“เช่นนั้นหลายปีมานี้ที่พวกข้าหลบซ่อน หลายปีที่ทำการเตรียมตัว จะเรียกว่าอะไร”
“ข้ามีพลังอย่างทุกวันนี้ได้ มาจากการทุ่มเทสุดชีวิตมากกว่า ขยันเร็วกว่า ฝึกฝนมานานกว่าพวกเจ้า!”
เว่ยเหยี่ยนฟันออกมากี่ดาบ เขาก็ใช้หมัดต้านทานเอาไว้เท่านั้น
สกัดกั้นจนถึงสุดท้าย เขากระทั่งว่าพลิกหมัดคว้าวายุเหมันต์เอาไว้!
เว่ยเหยี่ยนแทงเข่าสวนทันที
แต่ก่อนหน้านั้น หมัดอีกข้างของจางหลินชวนก็กระแทกหน้าอกเขาจนแหลกละเอียด
“โลกใบนี้หากมีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ก็ควรจะเกิดกับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น”
จางหลินชวนพูดเช่นนี้พลางสะบัดมือ
เว่ยเหยี่ยนหงายหลังร่วงลงไปทั้งตัว
เขาเป็นคนที่ยึดมั่นมาโดยตลอด เห็นแก่ตัวมาตลอด เย็นชามาโดยตลอด
เขาจะตัดสินใจอย่างสมเหตุผลที่สุด ถูกต้องที่สุดเท่านั้น
ในดวงตามีเพียงตัวเขาและดาบของเขาเท่านั้น
เขายึดมั่นคิดว่าตัวเองถูก
เสิ่นหนานชีปฏิเสธเขามาโดยตลอด และอธิบายการตัดสินใจเลือกของตัวเองมาโดยตลอด
เจ้าหล่างไม่เคยปฏิเสธเขา เพียงแต่สุดท้ายใช้การกระทำของตัวเองมาให้คำตอบที่ตรงกันข้ามกับเขา
กระทั่งเว่ยชวี่จี๋…กระทั่งว่าคนที่เย็นชาอย่างเขา ก็รบตายเพื่อเมืองเฟิงหลิน
ช่วงสุดท้ายของชีวิต เว่ยเหยียนรู้สึกสับสนเล็กๆ
เขาพยายามคิดถึงมารดาของตัวเอง นึกย้อนไปถึงตัวเองในวัยเด็กที่อยู่ในป่าร้างมาโดยตลอด
แต่เขาพบว่าเขากลับจำหน้าตาของมารดาไม่ได้
หากได้ทำใหม่อีกครั้ง เขาจะทำอย่างไร
หากได้เลือกอีกครั้ง เขาจะเลือกอย่างไร
เว่ยเหยี่ยนร่วงลงสู่พื้น
วายุเหมันต์เล่มนั้น ยังคงกำแน่นอยู่ในมือของเขา
……
เจียงวั่งแบกอันอันเดินทางอย่างรวดเร็ว กระเทือนแบบนี้ย่อมไม่สบายอยู่แล้ว แต่อันอันว่าง่ายมาก ไม่บ่นสักคำ
ทะลุผ่านป่า จู่ๆ เจียงวั่งก็หยุดฝีเท้า กระโดดไปข้างหลังเว้นระยะห่าง
พลิกมือวางอันอันลงอย่างแผ่วเบา อีกมือหนึ่งแตะด้ามกระบี่
ข้างหน้าเจียงวั่ง หญิงสาวคลุมผ้าโปร่งบางสีดำปิดหน้าร่อนลงมาอย่างช้าเนิบ
นางมองเจียงวั่ง ดวงตาซับซ้อน “ที่แท้เจ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดมรรคา”
“ใช่หรือไม่ใช่ต่างกันอย่างไร” เจียงวั่งกดเสียงต่ำ “ข้าไม่เคยอยากเป็นผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาวอะไรนั่นอยู่แล้ว”
“ต่างกันมาก ข้าคิดมาโดยตลอดว่าทำไมเจ้าถึงกัดกินเมล็ดพันธุ์กระดูกขาวของข้าได้ ทำไมเจ้าถึงควบคุมวิชาสร้างร่างคืนวิญญาณได้ และตอนนี้เจ้า…” นางกวาดตาประเมินเจียงวั่ง “ที่แท้เทียนยมโลกที่ข้าตามหาไม่เจออยู่กับเจ้านี่เอง”
เทียนยมโลกรึ
เจียงวั่งคิดถึงเทียนสีดำที่อยู่ในจุดผ่านสวรรค์เล่นนั้นทันที คิดถึงอะไรขึ้นมามากมาย
แต่สุดท้ายเขาเพียงแค่กุมด้ามกระบี่มั่น “ผ่าจุดผ่านสวรรค์ข้าออก มันอยู่ในนั้น”
จู่ๆ นางหัวเราะขึ้นมา “คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันไม่กี่วัน เจ้าก็แก่แล้ว”
“เป็นเพราะเจ้า” เจียงวั่งพูด
“เจ้าจะไปหาแม่ยายที่เมืองซานซานหรือ ลืมบอกเจ้าไป เมื่อครึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้ ประตูเมืองซานซานปิดลงแล้ว โต้วเยวี่ยเหมยประกาศปิดด่าน”
เจียงวั่งเงียบนิ่ง
เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องโกหกเขาในเรื่องแบบนี้
แต่โลกนี้แม้กว้างใหญ่ เขายังจะไปขอความช่วยเหลือได้จากที่ไหน จะทันได้อย่างไร
ช่างสิ้นหวังนัก!
ทุกอย่างเดินลงไปสู่หุบเหวลึกอย่างไม่อาจย้อนคืนมาได้
แต่อย่างน้อยตอนนี้เขายังไม่อาจปล่อยอารมณ์ในใจของตัวเองไปตามที่ต้องการได้
สุดท้ายเขาก็แค่พูดอย่างเย็นชาว่า “สมหวังเจ้าอีกแล้ว”
เสียงหัวเราะของนางค่อนข้างขมขื่น “เช่นนั้นเจ้าคิดจะยอมให้จับแต่โดยดีหรือไม่ เจ้าติดค้างบุญคุณข้าสองชีวิต”
“ตอนนี้เป็นเจ้าที่ติดค้างข้า” เจียงวั่งมองนาง ในดวงตามีแต่ความเกลียดชัง “ชีวิตคนนับไม่ถ้วนในเมืองเฟิงหลิน”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง
จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ดี”
มือของนางเพียงแตะ ทั้งตัวหมุนรอบหนึ่ง
ผ้าคลุมราตรีเปิดออก หน้ากากหายไป เสื้อคลุมดำสะบัดพริ้ว กระโปรงแดงระพื้น
ตอนนี้ใบหน้าที่อยู่เบื้องหน้าเจียงวั่งเป็นใบหน้าที่งดงามเลิศล้ำทั้งยังคุ้นเคย
ผ้าคลุมโปร่งบางสีดำกลายเป็นกระโปรงแดง ไป๋เหลียนก็คือเมี่ยวอวี้
นางสวมชุดสีแดง รูปร่างอรชรอ้อนแอน เสียงกลับเย็นชา ไม่มีร่องรอยยั่วเย้าอีกต่อไป
“จำหน้าตาศัตรูของเจ้าเอาไว้ให้ดี อย่าได้ลืมตลอดกาล”
“ข้าจำไว้แล้ว!” เจียงวั่งกัดฟันตอบ
“ดีมาก” เมี่ยวอวี้ตบมือเบาๆ “ยอดเยี่ยม!”
“เจ้าจะเอาอย่างไร” เจียงวั่งชี้กระบี่ถาม
“ชีวิตนับว่าไม่ติดค้างแล้ว เจ้าคงจำได้ว่าติดค้างข้าไว้สามเรื่องกระมัง” เมี่ยวอวี้งอนิ้วนับ พูดว่า “เรื่องแรก ทำลายยอดเขาหยกสมดุล เรื่องที่สอง ช่วยเผ่าวารีผู้บริสุทธิ์ เช่นนี้ตอนนี้เป็นเรื่องที่สาม…”
นางมองเจียงวั่ง “พาน้องสาวเจ้าไปจากที่นี่ อย่าได้กลับมาตลอดกาล”
มือที่ถือกระบี่ของเจียงวั่งไม่เคยผ่อนคลาย กันเจียงอันอันเอาไว้ข้างหลังโดยตลอด “ไม่เอาเทียนยมโลกแล้วหรือ”
“ให้เวลาเจ้าได้เติบโต ไม่อย่างนั้นมันน่าเบื่อเกินไป” เมี่ยวอวี้ปิดปากเหมือนเบื่อ ลดมือลง ดวงตาดุจขอเหล็ก “เจอกันครั้งหน้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เจียงวั่งไม่พูดอะไรอีก
เมี่ยวอวี้สะบัดกระโปรง หายไปจากตรงนั้น
……
โต้วเยวี่ยเหมยปิดเมือง เช่นนั้นไปเมืองซานซานก็ไม่มีความหมายแล้ว
ท่าทีของนครวารีชิงเหอก็ชัดเจน
เจียงวั่งแบกอันอันอีกครั้ง กลับไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน
เจียงอันอันถามอย่างขลาดกลัวว่า “พี่ชาย คนเมื่อครู่นี้เป็นใครหรือ”
เงียบนิ่งไปนาน เจียงวั่งถึงจะพูดขึ้นมาว่า “ผู้หญิงที่หลงทางคนหนึ่ง”
………………………………………………………