ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย – บทที่ 78 การแข่งขันจีจวี[1]

เจ็ดสิบแปด

การแข่งขันจีจวี[1]

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งนึกถึงตอนที่สหายคนหนึ่งเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าแดงเรื่อว่าเสวี่ยเจียเยว่มีคู่หมายแล้วหรือยัง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

เนื่องจากบางครั้งเสวี่ยเจียเยว่ไปซื้อของที่ตลาด หากเห็นว่าฟ้ายังไม่มืด ก็จะไปรอเขาที่หน้าประตูสำนักศึกษา จากนั้นทั้งสองก็จะกลับเรือนด้วยกัน ด้วยเหตุนี้สหายคนนั้นจึงมีโอกาสได้พบเด็กสาว หลังจากได้ยินคำถามนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายชอบเสวี่ยเจียเยว่ อยากจะสู่ขอแต่งงาน แต่ตอนนั้นเขาตอบปฏิเสธโดยอ้างว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังเด็ก

ความจริงแล้วในใจของเขาไม่ค่อยชอบสหายผู้นั้นเท่าไรนัก มักจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เหมาะสมกับเสวี่ยเจียเยว่ เขาอยากตรวจสอบอย่างละเอียด สามีของ ‘น้องสาว’ จะต้องเป็นคนที่ดีที่สุด

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ “อีกไม่กี่วันการแข่งขันจีจวีระหว่างสำนักศึกษาทุกแห่งจะเริ่มแล้ว เจ้าอยากไปดูหรือไม่”

ในยุคนี้มีการแข่งขันจีจวี หรือการขี่ม้าตีลูกหนัง เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าทุกปีสำนักศึกษาในเมืองผิงหยางจะจัดการแข่งขันจีจวีหนึ่งครั้ง ประการแรก… จีจวีคือการละเล่นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ชนชั้นสูง หรือราชวงศ์ก็ล้วนชื่นชอบ

ประการที่สอง… ไม่มีสำนักศึกษาใดอยากจะสอนลูกศิษย์ให้มีความรู้แต่ร่างกายอ่อนแอ พวกเขาจะต้องพัฒนาทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา

ประการที่สาม… การแข่งขันจีจวีเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีกับสำนักศึกษาแห่งอื่น อีกทั้งการจัดแข่งขันหนึ่งครั้งต่อปียังสร้างรายได้ให้แก่สำนักศึกษาด้วย

คนที่สามารถสอบเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ โดยเฉพาะสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ ล้วนเป็นเด็กหนุ่มนิสัยดีมีความสามารถ แล้วครอบครัวที่มีลูกสาวถึงวัยออกเรือนจะไม่อยากเลือกสามีดีๆ ให้ลูกสาวของตนหรือ ทว่ามีผู้เรียนในสำนักศึกษาเป็นจำนวนมาก หากวันปกติไม่มีโอกาสได้ไปพบพวกเขา คงต้องใช้โอกาสในช่วงการแข่งขันจีจวีไปพิจารณาเด็กหนุ่มเหล่านั้น และถ้าอยากเข้าชมการแข่งขันก็ต้องซื้อตั๋วก่อน แม้ว่าราคาตั๋วจะไม่ถูกนัก แต่ก็ขายหมดเกลี้ยงทุกปี ยิ่งการแข่งขันรอบสุดท้ายซึ่งเป็นการตัดสินผู้ชนะอันดับหนึ่ง ไม่ว่าราคาตั๋วจะแพงแค่ไหน คนก็ยังแย่งกันซื้อจนหมด

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเสียดายค่าตั๋ว จึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากไป”

เสวี่ยหยวนจิ้งเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ปีนี้ข้าเองก็เข้าร่วมการแข่งขัน”

ตัวเขานั้นเดิมทีไม่ใช่คนชอบความสนุกครึกครื้น ดังนั้นการแข่งขันจีจวีในสองปีที่ผ่านมาเขาจึงไม่ได้เข้าร่วม แต่ปีนี้เป็นเพราะคำเกลี้ยกล่อมของหัวหน้าสำนักศึกษาและอาจารย์ สุดท้ายเขาก็ตอบตกลงเข้าร่วมการแข่งขัน

“จริงหรือเจ้าคะ” เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้น ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าท่านพี่เข้าร่วม ข้าย่อมไปดูแน่นอน”

ในเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งจะเข้าแข่งขัน เธอจะไม่ไปให้กำลังใจเขาได้อย่างไร อย่างน้อยไปอยู่ข้างๆ คอยส่งน้ำให้เขาก็ยังดี

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มบางๆ

ตอนที่เขาลงแข่ง ชายหนุ่มก็อยากให้เสวี่ยเจียเยว่คอยมองดูอยู่ข้างสนามเช่นกัน

จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่เสวี่ยเจียเยว่จะเดินเข้าห้องของตัวเอง เป็นการแยกย้ายกันพักผ่อน

++++++++++

วันต่อมา เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกลับจากสำนักศึกษา เขามอบตั๋วหนึ่งใบให้แก่เสวี่ยเจียเยว่ เป็นตั๋วเข้าชมการแข่งขันจีจวีรอบแรกที่เขาจะเข้าร่วมแข่งในอีกสองวัน เสวี่ยเจียเยว่เอื้อมมือไปรับด้วยความดีใจ

เมื่อถึงวันแข่งขัน เธอก็ตื่นแต่เช้าไปสนามแข่งกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

ได้ยินมาว่าสนามนี้อยู่ที่บริเวณชานเมือง โดยตันเจียโหย่ว… บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองผิงหยางเป็นผู้สร้างขึ้น ด้านในมีพื้นที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับใช้เป็นสถานที่จัดแข่งขันจีจวี

พอเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งไปถึง พวกเขาก็เห็นธงหลากสีปักไว้บนพื้นที่โล่งทั้งสี่ด้าน ซึ่งปลิวไสวตามแรงลม มีผู้เรียนและผู้ชมบางส่วนมาถึงแล้ว ตอนนี้กำลังพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ว่าสำนักศึกษาใดจะคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันจีจวีในปีนี้

เนื่องจากเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนในครอบครัวของผู้เรียนที่สำนักศึกษา เธอจึงเดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปยังห้องเล็กที่จัดเตรียมไว้ให้ผู้แข่งขันของสำนักศึกษาไท่ชูโดยเฉพาะ

มีผู้เรียนสองสามคนอยู่ในห้องก่อนแล้ว พวกเขากำลังพูดคุยกันพลางใช้ผ้าไหมสีแดงผูกไว้ที่หน้าผากของตนไปด้วย

แน่นอนว่าชุดของพวกเขาต้องเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งชุดของสำนักศึกษาไท่ชูเป็นสีดำ และปักลายเปลวไฟที่หน้าอกด้านซ้ายด้วยไหมสีทอง บนหน้าผากคาดด้วยผ้าไหมสีแดง

การแต่งตัวด้วยชุดเช่นนี้ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้เรียนที่มีหน้าตาธรรมดาในยามปกติ เมื่อสวมชุดนี้และขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ยังทำให้ผู้คนอดตะลึงไม่ได้ มิน่าล่ะ หลังจากจบการแข่งขันจีจวีในทุกปี ถึงได้เป็นช่วงเวลาที่แม่สื่องานยุ่งที่สุด อีกทั้งยังเป็นครอบครัวฝ่ายหญิงที่ขอให้แม่สื่อไปเจรจากับครอบครัวฝ่ายชาย

เสวี่ยหยวนจิ้งสวมชุดเช่นนี้ก่อนออกจากเรือนแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีผ้าไหมสีแดงคาดหน้าผาก ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปี รูปร่างสูงโปร่ง แม้ว่าไหล่จะไม่กว้างนัก แต่โชคดีที่ไหล่ตรงสมส่วน เอวแคบ เมื่อสวมชุดที่ตัดพิเศษเช่นนี้ ก็เผยรูปร่างผอมเพรียวของเขาให้เด่นชัดขึ้น

พวกเขาดึงดูดสายตาผู้คนนับไม่ถ้วนระหว่างที่เดินมา และตอนนี้… เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งนำผ้าไหมสีแดงมาผูกไว้ที่หน้าผาก เสวี่ยเจียเยว่ก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณนักสู้บนใบหน้าของชายหนุ่ม

เธอนึกในใจว่า สองปีที่ผ่านมาเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นที่รู้จักในเมืองผิงหยางแล้ว อีกไม่นานก็จะได้เห็นความเก่งกาจในสนามแข่งจีจวี ไม่รู้ว่าจะมีหญิงสาวถูกตาต้องใจอยากได้เขาเป็นสามีของตนอีกกี่มากน้อย หลังจากจบการแข่งขันเธอจะมีพี่สะใภ้มากกว่าหนึ่งคนหรือไม่

ขณะที่ในหัวกำลังคิดเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็มีมือมาเคาะหน้าผากของเธอเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจับผ้าไหมสีแดงและเอ่ยถาม

“มัดดีแล้วหรือยัง”

ผ้าไหมลื่นไม่น้อย จึงยากที่จะผูกให้เรียบ

เสวี่ยเจียเยว่มองๆ ดู จากนั้นก็สั่งเขา “ท่านพี่ก้มหัวลงหน่อยเจ้าค่ะ”

แม้ว่าสองปีมานี้ร่างกายของเสวี่ยเจียเยว่จะสูงขึ้นไม่น้อย แต่ก็ยังไม่เท่าเสวี่ยหยวนจิ้ง ตอนนี้ศีรษะของเธออยู่แค่ช่วงอกของเขาเท่านั้น

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้น ก็ก้มศีรษะลงตามคำสั่ง เพราะกลัวว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเอื้อมมือไม่ถึง

เสวี่ยเจียเยว่เอื้อมมือขึ้นไปลูบผ้าไหมส่วนที่ไม่เท่ากันให้เรียบยิ่งขึ้น จากนั้นก็มองอย่างละเอียดก่อนจะพูดขึ้น “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งยืดตัวขึ้น และเห็นข่งซิวผิงกำลังเดินเข้ามาพร้อมพูดคุยกับใครบางคน

เมื่อเห็นคนที่เดินข้างกายข่งซิวผิง เสวี่ยหยวนจิ้งก็อดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

คนผู้นี้ก็คือลู่ลี่เซวียน ชายหนุ่มที่ถามเขาว่าเสวี่ยเจียเยว่มีคู่หมายแล้วหรือยัง เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าครอบครัวของอีกฝ่ายเปิดร้านค้าหลายแห่ง แม้ไม่ร่ำรวยเท่าตระกูลของตันหงอี้ แต่ก็นับว่ามีฐานะดีไม่น้อย

ขณะนี้ข่งซิวผิงและลู่ลี่เซวียนมองเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่แล้ว ทั้งสองจึงเดินเข้ามาทักทายพวกเขา

หลังจากพูดคุยกับเสวี่ยหยวนจิ้งสองสามประโยค ข่งซิวผิงก็มองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ และพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเสวี่ย”

ลู่ลี่เซวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มหน้าแดงเรื่อ เขาหลบสายตาไม่กล้ามองเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “แม่… แม่นาง… แม่นางเสวี่ย”

ชายหนุ่มทั้งสองคนล้วนเคยพบกับเสวี่ยเจียเยว่แล้ว โดยเฉพาะข่งซิวผิง วันที่เสวี่ยหยวนจิ้งมาสอบที่สำนักศึกษาไท่ชูนั้น พวกเขาได้พบกันที่หน้าประตูสำนักศึกษา จากนั้นเขาก็เคยไปเยี่ยมเยียนที่เรือนของเสวี่ยเจียเยว่และเสวี่ยหยวนจิ้งถึงสองครา ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงนับว่าคุ้นเคยกันอยู่แล้ว

เสวี่ยเจียเยว่เรียกข่งซิวผิงว่า ‘พี่ข่ง’ ด้วยรอยยิ้ม ส่วนลู่ลี่เซวียนนั้น เป็นเพราะเธอยังไม่คุ้นเคย จึงเรียกเขาว่า ‘คุณชายลู่’

พอได้ยินเด็กสาวเอ่ยเรียกตน ใบหน้าของลู่ลี่เซวียนก็ยิ่งแดงเรื่อมากขึ้น และสายตาของเขายังคอยแอบมองเสวี่ยเจียเยว่

เสวี่ยหยวนจิ้งยืนมองอยู่ด้านข้างตลอดเวลา ก่อนจะขยับไปยืนขวางด้านหน้าเสวี่ยเจียเยว่ เพื่อป้องกันสายตาของลู่ลี่เซวียนที่แอบมองอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าเอ่ยถามข่งซิวผิงกับลู่ลี่เซวียน

“ประวัติคะแนนการแข่งขันของสำนักศึกษาซุยไถที่จะแข่งกับพวกเราในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ด้านวิชาความรู้สำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ไม่เป็นสองรองใครในเมืองผิงหยาง แต่การแข่งขันจีจวีนั้นพวกเขายังไม่แน่ใจว่าจะชนะหรือไม่ ที่ผ่านมาแม้ไม่ได้อยู่อันดับสุดท้าย แต่ก็ไม่เคยได้อันดับหนึ่ง จึงถูกสำนักศึกษาแห่งอื่นๆ หัวเราะเยาะอยู่เสมอ บอกว่าสอนผู้เรียนได้อ่อนแอ แม้แต่แรงจะจับไก่ยังไม่มี ราวกับสตรีก็ไม่ปาน

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่จึงเชิญอาจารย์มาสอนการเล่นจีจวีให้แก่ผู้เรียนโดยเฉพาะ เพื่อล้างความอับอายออกไป ปีที่แล้วสำนักศึกษาถัวเยว่ก็ได้อันดับสอง ส่วนสำนักศึกษาไท่ชูได้อันดับที่ห้า ดังนั้นการแข่งขันในปีนี้ ผู้แข่งขันจากสำนักศึกษาทั้งสองแห่งจึงเปี่ยมไปด้วยพลังของนักสู้

เสวี่ยเจียเยว่ยืนมองเสวี่ยหยวนจิ้งพูดคุยกับข่งซิวผิงและลู่ลี่เซวียนอยู่ข้างๆ ไม่นานก็มีผู้เรียนจากสำนักศึกษาไท่ชูคนอื่นๆ เดินเข้ามา พวกเขาจึงเริ่มพูดคุยถึงการแข่งขันจีจวีในปีนี้

เมื่อเปรียบเทียบกับเสวี่ยหยวนจิ้งที่เย็นชาและห่างเหินในอดีต เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าสองปีมานี้นิสัยของเขาอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย ทั้งยังยอมสนทนากับผู้คน อย่างการแข่งขันจีจวี ความจริงแล้วสองปีที่ผ่านมาหัวหน้าสำนักศึกษาและอาจารย์ก็เรียกเขามาเข้าร่วม แต่เขาปฏิเสธทุกครั้ง ทว่าปีนี้เขากลับยอมตกลง

การที่เขาทำเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘ต้นไม้ต้นเดียวไม่สามารถกลายเป็นป่าได้’ เสวี่ยเจียเยว่มีความสุขยิ่งนักที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่ม เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิง พวกเขาเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายมากมาย นิสัยของเขาถึงได้เย็นชาและรักสันโดษ แต่ตอนนี้ทั้งคนทั้งเรื่องราวต่างๆ ล้วนเปลี่ยนไปในทางที่ดี นิสัยของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และเริ่มพูดคุยกับผู้คนมากขึ้น

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา แววตาที่มองเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นยิ่งอบอุ่นมากขึ้น

จากนั้นก็ได้ยินข่งซิวผิงเอ่ยถาม “วันนี้เจ้าใช้ตั๋วเข้ามาหรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงได้ถามเช่นนี้ แต่เธอก็ยังพยักหน้า “เจ้าค่ะ”

ข่งซิวผิงได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานนี้ข้าเห็นหยวนจิ้งไปซื้อตั๋วกับอาจารย์ที่จัดงานแข่งขัน ข้าจึงเดาว่าเขาคงซื้อให้เจ้า แต่ตามความเห็นของข้า ตั๋วใบนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เลย ทางสำนักศึกษาของพวกเรากำลังขาดคนส่งน้ำส่งผ้าเช็ดหน้าให้พวกข้าตอนช่วงพัก ให้ข้าไปพูดกับอาจารย์ดีหรือไม่ ว่าให้เจ้ามาทำงานนี้ ต่อไปตราบใดที่พวกเรามีการแข่งขัน เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเข้าชมแล้ว”

ตอนนี้ข่งซิวผิงอายุครบสิบแปดปีแล้ว ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาและสง่างามเป็นอย่างมาก ทั้งยังดูสงบและมั่นคง เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าบิดาของเขาเป็นบัณฑิตซิ่วฉาย และตอนนี้ทำงานตำแหน่งเสมียนในที่ว่าการ ฐานะครอบครัวแม้ว่าจะไม่ร่ำรวย แต่ชุดคลุมยาวสีฟ้าที่เขาสวมอยู่นั้นเป็นผ้าไหม ปิ่นบนศีรษะก็ทำมาจากหยกขาว เห็นได้ชัดว่าบิดามารดาให้ความสำคัญแก่เขาไม่น้อย และยังฝากความหวังไว้กับเขาอีกด้วย

[1] การแข่งขันตีคลีหรือโปโล

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
Status: Ongoing
ระหว่างทำวิทยานิพนธ์ก่อนจบการศึกษา จู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ ก็เข้ามาอยู่ในนิยายของเพื่อนร่วมห้อง แน่นอนว่าเธอรู้จักตัวละครชายอย่าง เสวี่ยหยวนจิ้ง เป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นพระเอกในเรื่อง คนผู้นี้รูปงามทั้งยังเก่งกาจ แต่ถ้าจำไม่ผิด เขาจะฆ่าแม่เลี้ยงและทำร้ายน้องสาวต่างมารดา ซึ่งโชคร้ายที่เธอมาอยู่ในร่างน้องสาวที่เขาเกลียดชังนี่เอง แล้วเธอจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร ในเมื่อ ‘ท่านพี่’ ผู้นี้เย็นชาจนน่ากลัว ดูเหมือนเขาจะไม่มีความเป็นพระเอกเอาเสียเลย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset