เข็มยาเข็มหนึ่งออกมาจากมือของมู่เฉียนซี แต่เจ้าหมอนั่นก็ใช่ว่าจะจัดการได้ง่าย ๆ เขาได้รีบหลบไปทันที
“ลอบโจมตี ช่างไร้ยางอายนัก!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เจ้ารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า มันก็ไร้ยางอายอย่างมากเช่นกัน!”
เดิมทีคิดว่าเขาหลบเข็มทั้งสองเล่มนี้ได้แล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเข็มทั้งสองเล่มนี้จะปักอยู่ที่กระดูกสะบักด้านหลังของเขาเสียแล้ว
ฟู่! คนผู้นั้นสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เอาอากาศเย็นเข้าปอด เขาคิดที่จะตอบโต้แก้แค้นเยวี่ยเจ๋อ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามือทั้งสองของเขาไม่สามารถยกขึ้นมาได้เลย
แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขารู้สึกถึงยาพิษในแขนของตนเองที่กำลังกระจายไปทั่วร่างกายของเขา
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝึกฝนมือคู่นี้ด้วยตัวเอง และพิษทั้งหมดล้วนถูกผนึกอย่างแน่นหนาอยู่ในแขนคู่นี้ ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่มันจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา
แต่ตอนนี้…ตอนนี้…
เขาจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “เจ้า… เจ้าทำบ้าอะไรกับข้ากันแน่?”
มู่เฉียนซียิ้มและกล่าวว่า “แม้แต่สิ่งนี้เจ้าก็ยังเดาไม่ออก นั่นหมายความว่าเจ้าเรียนวิชาพิษได้ไม่ดีนัก เรียนไม่ถึงไหนกลับกล้ามายั่วยุหอหมอปีศาจของข้า เจ้ามันรนหาที่ตายเอง จะโทษใครไม่ได้เลย”
“มือของตนเองถูกตนเองทำให้พิการเช่นนั้น ก็เหมือนกับคําพูดหนึ่งที่ว่าเล่นกับไฟไฟเผาตน!”
พรวด! คนผู้นี้โกรธแค้นอย่างมาก เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากและล้มลงไปกับพื้น
“ลูกพี่ผู้ยิ่งใหญ่!”
“ลูกพี่แข็งแกร่งมาก”
“……”
หลังจากมู่เฉียนซีแสดงฝีมือ คนเหล่านั้นที่เดิมเคารพนับถือรองเจ้าตำหนัก ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นผู้ทรยศอย่างสมบูรณ์แล้ว
มีมู่เฉียนซีและเหลิ่งหนิงจือที่มีความแข็งแกร่งที่อันตรายไม่ธรรมดาเข้าร่วมด้วย หากกล้าที่จะขวางมู่เฉียนซีและคนของพวกเขา มันต้องพินาศกันหมดแน่
พวกเขาเข้าไปยังด้านในของหุบเขาหานซินได้อย่างราบรื่น ที่ด้านในนั้นมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน แม่น้ำกว้างเพียงสิบหมี่เท่านั้น ด้วยระยะความกว้างเพียงเท่านี้ มันมิอาจที่จะขวางกั้นผู้ใดก็ตามเอาไว้ได้
ทว่าอุปสรรค์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำนั้น ไม่ว่าตัวเจ้าจะมีพลังความสามารถสูงเพียงใดก็ไม่อาจที่จะพุ่งไปได้
ทำได้เพียงเดินผ่านสะพานโค้งตรงกลางเท่านั้นถึงจะเดินผ่านไปได้ แต่ผู้ที่จะสามารถขึ้นไปที่สะพานโค้งนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งน้อยกว่าระดับมหาจักรพรรดิถึงจะได้
มู่เฉียนซีกล่าวอําลากับเยวี่ยเจ๋อและเหลิ่งหนิงจือ จากนั้นก็พาน้องเล็กระดับจักรพรรดิเหล่านั้นของหอหมอปีศาจเดินขึ้นไปบนสะพานโค้งนั่น
เมื่อข้ามแม่น้ำไป พวกเขาก็ถูกแยกออกจากกัน และในตอนนี้นางก็ได้เข้ามาอยู่ในสถานที่ที่ห้อมล้อมด้วยหมอกหนา
มู่เฉียนซีตะลึงงันเล็กน้อย นี่นางกำลังถูกค่ายกลกักขังไว้
เกี่ยวกับค่ายกลนี้ นางนั้นก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก ค่ายกลนี้มีความซับซ้อนมาก ไม่มีอาถิงคอยช่วยเหลือนาง หากคิดที่จะผ่านไปได้ มันคงไม่ง่ายนัก
หลังจากวนไปวนมาอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง มู่เฉียนซีจึงใช้วิธีการที่หยาบที่สุดในการบุกฝ่ากระบวนค่ายกลนี้ นั่นก็คือการใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งที่สุด!
พลังวิญญาณแผ่ออกไปและสัมผัสได้ถึงพลังที่โคจรอยู่ในค่ายกลนั้น สัมผัสได้ถึงกฎความเป็นไปตามธรรมชาติภายในนั้น นางคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องหาจุดอ่อนจนพบ
แน่นอนว่านั่นต้องใช้ความอดทน แล้วก็ต้องมีพลังจิตที่มาสนับสนุนอย่างเพียงพอ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่จะใช้วิธีอันหยาบกระด้างเช่นนี้ได้สำเร็จ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มู่เฉียนซีที่หลับตาทั้งสองข้างอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นมา
กระบี่มังกรเพลิงได้ถูกนางนำออกมาแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “คงจะเป็น ที่ตรงนั้นเสียแล้ว”
“บัวแดงพิฆาต!” ดอกบัวเพลิงดอกหนึ่งได้เบ่งบานออกในทันทีและพุ่งไปทางมุมนั้น
บึ้ม! เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นเสียงหนึ่ง หมอกที่กักขังมู่เฉียนซีเอาไว้ได้กระจายตัวออกไปทั้งหมด
มู่เฉียนซีพุ่งฝ่าออกไป มุมปากของนางก็ค่อย ๆ ยกขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็ทำลายค่ายกลได้เสียที
หลังจากที่พุ่งออกมาแล้ว มู่เฉียนซีก็มองเห็นปากถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำหานปิง
ตอนนี้ที่ปากถ้ำถูกปิดเอาไว้อยู่ ยังไม่สามารถเข้าไปได้
“พวกเราเป็นผู้ที่ฝ่าค่ายกลออกมาเป็นผู้แรกอย่างแน่นอน ที่นี่ยังจะมีผู้ใดสามารถเทียบกับนายน้อยเจ็ดของพวกเราได้อีก”
มุมปากของมู่เฉียนซีก่อเป็นรอยยิ้มอันเบาบาง ยังไม่ทันได้มองดูว่าที่แห่งนี้มีผู้อื่นหรือไม่ก็ปล่อยคำพูดเช่นนี้ออกมาเสียก่อนแล้ว อีกสักครู่ เดี๋ยวหน้าก็คงจะบวมเสียจนน่าเกลียดเป็นแน่เจ้าพวกคนหนุ่มเอ๋ย!
เป็นดั่งที่คาดเอาไว้ หลังจากที่คนกลุ่มนั้นออกมาแล้วและได้เห็นสาวน้อยที่ยืนเด่นอย่างภาคภูมิอยู่นั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็หายไป
สายตาของมู่เฉียนซีมองไปยังตัวของพวกเขาอย่างเกียจคร้าน คนเหล่านี้แต่งตัวไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป
โดยเฉพาะบุรุษผู้ที่ถูกกลุ่มคนล้อมรอบเอาไว้นั้นสวมใส่อาภรณ์สีขาวตลอดทั้งตัว ละเอียดประณีตไม่ธรรมดา รูปลักษณ์งดงาม บนใบหน้านั้นเผยความเย็นชาที่ปฏิเสธขับไล่ให้ผู้อื่นนั้นอยู่ห่างจากตนออกไปเป็นพันลี้
เขามองกวาดมาที่มู่เฉียนซีอย่างหยิ่งทะนง แต่ก็มิได้พูดกล่าวอะไร
ผู้ที่กล่าวประจบประแจงผู้นั้นแทบอดไม่ได้ที่จะตบปากของตนเอง เขามองถลึงตาไปทางมู่เฉียนซีอย่างดุดันอยู่คราหนึ่ง ล้วนแต่ต้องโทษที่เด็กสาวผู้นี้นั้นมาก่อน ครานี้นายน้อยเจ็ดไม่ปล่อยเขาไปแน่
จากนั้นก็ได้มีคนทยอยเดินออกมา
เมื่อได้เห็นนายน้อยเจ็ดแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปกล่าวประจบประแจง ดวงตาของมู่เฉียนซีหมุนกรอกขึ้นทันที ดูท่าแล้วนายน้อยเจ็ดผู้นี้จะมีชื่อเสียงไม่เบา
มาจากสำนักนิกายระดับสองสำนักใด รึว่ามาจากตำหนักเป่ยหานกัน?
ผู้ที่เข้ามานั้นมีมิน้อย แต่ผู้ที่ผ่านเขาวงกตได้กลับมีไม่มาก
ดูเหมือนว่าจะรอจนไม่ไหวแล้ว นายน้อยเจ็ดผู้นั้นเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าช้านัก”
คนอื่น ๆ นั้นก็มิได้แสดงท่าทีไม่พอใจ “เป็นพวกเราที่ผิดเองที่ทำให้นายน้อยเจ็ดต้องรอนาน”
“นายน้อยเจ็ด มิใช่ว่าทุกคนนั้นจะล้วนเป็นเหมือนท่าน ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญอันสูงส่ง ในขณะเดียวกันก็มีพรสวรรค์ในเรื่องของค่ายกลที่ร้ายกาจยิ่งนักนี่!”
“……”
คนเหล่านี้ประจบประแจงเจ้าหมอนี่อย่างระมัดระวัง จึงทำให้กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกของนายน้อยเจ็ดผู้นั้นลดลงไปอยู่หลายส่วน
มู่เฉียนซีบ่นพึมพำออกมา เสแสร้ง!
ในตอนนี้เอง ประตูบานใหญ่ที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ตรงหน้าก็ได้ถูกเปิดขึ้นมา
นายน้อยเจ็ดผู้นั้นอดทนรอมิได้และพุ่งเข้าไปเป็นผู้แรก มู่เฉียนซีมิได้แก่งแย่งความเป็นที่หนึ่งในสิ่งนี้กับเขา
อย่างไรเสียก็มิรู้ว่าที่ด้านในนั้นจะมีลูกเล่นอะไรที่แปลกประหลาด การมีผู้เข้าไปสำรวจเส้นทางให้ก่อน เช่นนั้นมันก็เป็นการดีที่สุดแล้วจริง ๆ
มู่เฉียนซีเองก็ตามเข้าไป ที่ด้านในนั้นหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ทันทีที่เข้าไปด้านในนั้นก็รู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านที่อยู่ภายในจิตวิญญาณ
ครึ่งทางเมื่อก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนแต่สามารถยืมเอาพลังความตั้งใจและยืนหยัดต่อไปได้ แต่มาในภายหลังได้มีสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ นา ๆ ออกมามากมายจนล้วนจะอดทนไม่ไหวแล้ว
มู่เฉียนซีอดกลั้นเอาไว้และนำกระบี่มังกรเพลิงออกมาเพื่อป้องกันความตื่นเต้นของนาง การทดสอบของสระหานซินนี้นางจะต้องฝ่ามันไปด้วยตนเอง
ความหนาวเย็นได้จับตัวกันเป็นน้ำแข็งบนขนตา แม้ว่าจะโคจรพลังวิญญาณขึ้นมาก็ยังยากที่จะป้องกันความหนาวเหน็บเอาไว้ได้ มู่เฉียนซีรู้สึกว่าตัวเองเริ่มวิงเวียนขึ้นมา
จะทำเช่นไรถึงจะได้?
ทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็เอ่ยขึ้น “โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
“นางจะทำอะไร? ที่นี่หนาวเย็นเป็นอย่างมากอยู่แล้ว แต่นางยังจะเรียกน้ำแข็งออกมาอีก มิใช่ว่าเป็นการฆ่าตัวตายรึไง?”
“ข้าว่านางคงหนาวเหน็บจนเสียสติไปแล้วกระมัง! อย่าไปสนใจเลย พวกเราอดทนเอาไว้!”
เมื่อมู่เฉียนซีถูกชั้นน้ำแข็งที่ตนเองเรียกออกมาห่อหุ้มเอาไว้แล้วก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง เพราะว่านางไม่สามารถที่จะทนรับกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกนั่นได้อีกต่อไปแล้ว
ความเย็นยะเยือกนั้นสามารถทะลุทะลวงการป้องกันทุกสิ่งอย่างได้ แต่มันไม่สามารถที่จะทะลุทะลวงสิ่งที่เป็นเช่นเดียวกันกับมันได้ และน้ำแข็งที่นางสร้างขึ้นมานั้น นางสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกมันทำร้ายเข้า
หนทางต่อจากนี้ไปมู่เฉียนซีก็เบาสบายไปเป็นอย่างมาก ไม่นานนักก็ได้ออกไปจากปากถ้ำแห่งนี้
ที่ด้านนอกปากถ้ำมีพื้นที่ว่างที่เป็นทรงกลมทั้งหมดเก้าแห่ง ในตอนนี้มีผู้ที่ยืนอยู่บนพื้นที่ว่างนั้นไปแล้วทั้งหมดแปดคน
เงาร่างสีม่วงพุ่งออกไป มู่เฉียนซียืนอยู่บนพื้นที่ว่างทรงกลมแห่งที่เก้านั่น หลังจากที่มู่เฉียนซีไปเหยียบบนนั้นแล้ว ที่ด้านหลังของนางก็ได้ปรากฏตัวหญิงสาวผู้สวมอาภรณ์สีขาวขึ้นมา หญิงสาวผู้สวมชุดสีขาวนั้นมิได้ลงมือกับมู่เฉียนซี แต่กลับวิ่งไปยังด้านหน้าของนายน้อยเจ็ดผู้นั้นแล้วกล่าว “นายน้อยเจ็ด ข้า…ถ้าหากว่าข้ายังไม่บรรลุขั้นอยู่อีกจะต้องถูกท่านพ่อลงโทษเป็นแน่! เช่นนั้นแล้วข้าจะต้องเข้าไปในสระหานซินให้ได้ ท่านจะต้องช่วยข้า”