เหยียนเซี่ยฉีที่ลอยอยู่กลางอากาศเกือบจะตกลงไปกองกับพื้น โชคดีที่เย่เฉินรีบดึงนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว เย่เฉินกล่าว “ฉีเอ๋อร์ เจ้าประมาทเกินไปแล้ว”
เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “เจ้าหนูตระกูลเย่ เจ้ายังไม่รีบปล่อยมืออีก อย่ามาเอาเปรียบลูกสาวข้านะ!”
เหยียนเซี่ยฉีส่ายหน้าน้อย ๆ “ท่านพ่อ ท่านก็จริง ๆ เลย”
จากนั้นก็มองไปยังจิ่วเยี่ยที่อยู่ข้างๆ มู่เฉียนซี กลิ่นอายชั่วร้ายอันเย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยทําให้นางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
เหยียนเซี่ยฉีจึงยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้ากอดเฉียนซี เจ้าคงเป็นคนที่เฉียนซีชอบใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินคําพูดนี้ กลิ่นอายของจิ่วเยี่ยก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวเกินไปนัก ด้วยความที่ไม่อยากพูดกับคนแปลกหน้า เขาจึงตอบกลับไปอย่างสั้น ๆ ว่า “อืม!”
แววตาของกู้ไป๋อีที่อยู่ด้านหลังมู่เฉียนซีทอประกายเศร้าหมอง แม้แต่คุณหนูใหญ่เหยียนที่ไร้เดียงสาผู้นั้นยังมองออกเลย แล้วเขายังต้องหลอกตัวเองต่อไปอีกหรือ?
“ข้ารู้ ข้ารู้แล้ว!”
เพราะจิ่วเยี่ยบอกว่าเขาเป็นคนที่มู่เฉียนซีชอบ แม้ว่ากลิ่นอายของจิ่วเยี่ยจะน่ากลัวสักแค่ไหน เหยียนเซี่ยฉีก็ไม่สนใจอีกต่อไป
แต่เจ้าเมืองเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวจากร่างของจิ่วเยี่ย
คนรอบข้างของสาวน้อยผู้นั้นแต่ละคนล้วนน่ากลัวจริง ๆ
เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “เอาล่ะ รอจนถึงโรงประมูลแล้วค่อยคุยกัน ถ้าสายอีกหน่อย ก็คงไม่มีทางเข้าไปได้แล้ว”
“ได้ พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
ความเร็วของสัตว์วิญญาณที่บินได้ในเมืองเหยียนไม่ได้รวดเร็วนัก ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่ถึงระดับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
มู่เฉียนซีโยนยาเข้าไปในปากของอินทรีย์สวรรค์ “นี่เป็นเม็ดยาสําหรับเจ้า เจ้ารีบกินมันเข้าไปเร็วเข้า เมื่อถึงแล้วข้าจะให้รางวัลเจ้าหนึ่งขวด”
หลังจากที่อินทรีย์สวรรค์กินเม็ดยาเข้าไปแล้ว มันก็รู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง
คนที่เลี้ยงมันไม่เคยเอาของดีแบบนี้มาป้อนให้มันมาก่อน มันจึงบินได้เร็วกว่าเดิม
เหยียนเซี่ยฉีกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เร็วจัง! นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งสัตว์วิญญาณบินที่บินได้เร็วขนาดนี้ มันเยี่ยมมาก!”
มุมปากของเจ้าเมืองเหยียนกระตุกเล็กน้อย “แม่นางมู่ เมื่อครู่นั่น…นั่นคือยาวิญญาณระดับเจ็ด!”
ยาวิญญาณระดับเจ็ดกลับนํามาป้อนให้กับสัตว์วิญญาณเช่นนี้ ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง
มู่เฉียนซีพยักหน้าและกล่าวว่า “อืม!”
เจ้าเมืองเหยียนตะลึงจนแทบจะตกลงจากสัตว์วิญญาณบินได้ ถ้าเขาผู้เป็นถึงระดับมหาจักรพรรดิตกจากสัตว์วิญญาณบินได้ นั่นก็คงน่าขายหน้ามาก
เหยียนเซี่ยฉีกล่าว “ท่านพ่อ ทําไมท่านถึงประหลาดใจนัก! ซีเอ๋อร์ขายยาอีกทั้งยังเป็นนักปรุงยา ดังนั้นหากนางจะหยิบยาวิญญาณระดับเจ็ดออกมาสักเม็ด มันก็ไม่ได้เป็นปัญหา!”
เจ้าเมืองเหยียนรู้สึกจนปัญญา นี่ยังเรียกว่าไม่มีปัญหาอีกหรือ?
คนอื่นบอกว่าขายยา ลูกสาวไร้เดียงสาอย่างนางนี้ก็เชื่อ!
ธุรกิจขายยานี้ต้องทํามากน้อยเพียงใด จึงจะสามารถทําให้ผู้คนนํายาวิญญาณมาใช้ดั่งเป็นทรายได้!
จากนั้นไม่นานนักสัตว์วิญญาณก็ได้บินร่อนลงสู่ประตูเมืองอันกว้างใหญ่
องครักษ์ที่ประตูมองดูพวกเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ชิ! มันก็แค่สัตว์วิญญาณบินได้ตัวหนึ่ง!”
“การใช้สัตว์วิญญาณบินได้ ต้องไม่ใช่กองกำลังใหญ่โตอะไรอย่างแน่นอน เราก็สามารถหาประโยชน์จากมันได้พอดี!”
“……”
ทันทีที่กำลังจะเข้าไปในเมือง พวกของมู่เฉียนซีก็ถูกคนขวางเอาไว้
“ทุกคนที่เข้ามาในเมืองจำเป็นต้องมอบหยกวิญญาณคุณภาพสูงสุดหนึ่งหมื่นชิ้น! มิฉะนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
เจ้าเมืองเหยียนจึงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นี่เป็นกฎที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด? ทําไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
องครักษ์หัวเราะและกล่าวว่า “คนจากเมืองที่อ่อนแออย่างพวกเจ้าย่อมไม่รู้ กฎของเมืองชางหมางของพวกเรา สิ่งนี้ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง”
“นี่มันก็จะมากเกินไปหน่อยแล้ว!” เจ้าเมืองเหยียนกล่าว
“ถ้าพวกเจ้ารู้สึกว่ามาก ก็กลับเมืองของเจ้าไปเสีย! เมืองชางหมางของพวกเราไม่ต้อนรับพวกเจ้า”
“โฮก!”
และในตอนนั้นเอง เสียงคํารามเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากฟากฟ้า
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สีดําสนิทตัวหนึ่งบดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น องครักษ์เหล่านี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
พวกเขาอุทานออกมาด้วยความตกใจว่า “มันคือเหยี่ยวพยัคฆ์ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้ระดับสาม นี่คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้แห่งเมืองหูเสี้ยว รีบไปต้อนรับเร็วเข้าและเจ้าอย่าได้ล่วงเกินพวกเขาเป็นอันขาด!”
พลังการต่อสู้โดยรวมของเมืองหูเสี้ยว แข็งแกร่งกว่าเมืองชางหมางเป็นอย่างมาก
จากนั้นก็มีคนเดินลงมาจากร่างของเหยี่ยวพยัคฆ์ นําโดยชายที่สวมเสื้อคลุมหนังเสือป่า และด้านหลังก็มีชายหนุ่มจํานวนมากที่มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง
องครักษ์ยิ้มและเดินเข้าไปหาเขา “ข้าไม่เคยคิดเลยว่านายน้อยหู่จะมาด้วยตัวเอง ยินดีต้อนรับขอรับ!”
นายน้อยหู่ไม่ได้มองไปที่ตัวละครเล็ก ๆ เหล่านี้เลย เขาโบกมือพลางกล่าว “นําทางไป!”
องครักษ์เหล่านี้ก็รีบนําทางไปอย่างเชื่อฟัง
เหยียนเซี่ยฉีโมโหหน่อย ๆ แล้ว “นี่! ทําไมพวกเขาถึงไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าเมืองล่ะ นี่มันจะปฏิบัติต่างกันไปหน่อยไหม?”
องครักษ์อีกคนหนึ่งจึงกล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าอีกฝ่ายเป็นใคร? พวกเขาใช้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้ พวกเขาเป็นนายน้อยของเมืองหูเสี้ยวซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนพวกเจ้ากลับเป็นเพียงแค่พวกบ้านนอกที่แม้แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีให้ใช้ เช่นนี้จะเทียบกันได้หรือ?”
เหยียนเซี่ยฉีโกรธจนดวงตาของนางแดงก่ำ “เจ้าอย่าได้ประจบสอพลอผู้ที่เหนือกว่าและดูหมิ่นผู้ที่ด้อยกว่าเกินไปนัก!”
นายน้อยหู่เหลือบมองไปที่พวกเขา เมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่เหยียนเซี่ยฉีในชุดสีชมพูและมู่เฉียนซีที่สวมชุดสีม่วง แววตาของเขาก็เปล่งประกาย
นายน้อยหู่จึงเอ่ยขึ้นว่า “ก็แค่จ่ายค่าเข้าเมืองไม่ใช่เหรอ? ค่าเข้าเมืองของพวกเขา คิดอย่างไร?”
“แค่หยกวิญญาณระดับสูงหนึ่งหมื่นชิ้นต่อหนึ่งคนเท่านั้น ไม่ได้มากไปเลยจริง ๆ แต่พวกเขาไม่มีแม้แต่เงิน แล้วจะเข้าเมืองไปทําไม? ข้าเกรงว่าแม้แต่จะพักในโรงเตี๊ยมสักคืนก็ยังไม่สามารถอยู่ได้” องครักษ์กล่าวด้วยความรังเกียจ
นายน้อยหู่กล่าว “ข้าจะเหมาค่าเข้าเมืองของสตรีสองคนนี้ พวกเจ้าทั้งสองคนตามข้าเข้าไปเถอะ!”
เหยียนเซี่ยฉีกล่าว “เจ้าก็ดูไม่ใช่คนดีอะไร? ข้าไม่อยากเข้าไปกับเจ้าหรอก”
นายน้อยหู่กล่าว “หรือว่าพวกเจ้าอยากกลับไป? ในเมืองมีสมบัติมากมาย ทั้งเครื่องประดับและยาชั้นดีนับไม่ถ้วน เมื่อถึงเวลานั้นยังสามารถเข้าร่วมการประมูลกับข้าได้ ”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ใช่แล้ว! เมืองชางหมางกําลังจะมีการประมูลในไม่ช้า ดังนั้นพวกเราจะไม่เดินทางกลับเมืองของเราอย่างแน่นอน ”
นายน้อยหู่ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าแม่นางจะตอบตกลงแล้ว”
“แต่…ข้าไม่จําเป็นต้องให้คนอย่างเจ้าช่วย! สวมใส่เสื้อผ้าก็ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ เจ้าจงอย่าได้มาทำให้ขายหน้าเลย”
มู่เฉียนซีเดินไปข้างหน้าและมองไปที่องครักษ์เหล่านั้นก่อนจะกล่าวว่า “พวกเจ้าหลีกทางไป!”
“แม่นาง เจ้าอย่ามาทำตัวงี่เง่า! ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าเข้าไปโดยที่ยังไม่ได้จ่ายค่าเข้าเมืองเด็ดขาด” องครักษ์ข่มขู่
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่ปล่อยพวกเราเข้าไป เช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะต่อสู้เพื่อที่จะเข้าไป!”
ปัง!
พูดจบมู่เฉียนซีก็เตะคนที่ขวางอยู่ตรงหน้าจนลอยกระเด็นออกไป
ที่นี่เป็นพื้นที่ทุรกันดาร ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือนอกเมือง กฎที่ต้องปฏิบัติตามก็คือเคารพผู้แข็งแกร่ง
คนที่นี่มีทั้งความดื้อรั้นและอ่อนแอ มีเพียงใช้หมัดเท่านั้นที่สามารถแก้ปัญหาได้ และเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด
เมื่อเห็นมู่เฉียนซีเตะคนจนกระเด็นออกไป เหยียนเซี่ยฉีก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เฉียนซี ดีมาก เตะได้ดี ข้าก็จะร่วมด้วย!”
แม้ว่าเจ้าเมืองเหยียนอยากจะดึงลูกสาวของเขาไว้ แต่ก็ไม่สามารถดึงเอาไว้ได้
องครักษ์เหล่านี้ยังแข็งแกร่งไม่เท่ามู่เฉียนซีและเหยียนเซี่ยฉีเลย! พวกเขาโดนเตะจนล้มลงไปทีละคน
เหยียนเซี่ยฉีเท้าเอวและกล่าวว่า “เปิดตาสุนัขของพวกเจ้าให้กว้าง เจ้าคิดว่าคุณหนูใหญ่คนนี้จะถูกรังแกได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? กล้าดียังไงมารีดไถเรา”