บทที่ 30 ทำได้จริง
“หุบปาก พวกเราจะรอ!” อู๋หมิ่นตวาดใส่ลูกชายของเขาเสียงดัง เมื่อเห็นว่าลูกชายของเขาเริ่มทำตัวงี่เง่าเหมือนเด็ก ๆ จากนั้นเขาหรี่ตามองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยความรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก
ทำไมชายหนุ่มคนนี้ที่มีแต่คนบอกว่าเป็นคนไร้ค่าถึงให้ความรู้สึกที่อันตรายอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้?
อย่างไรก็ตาม อู๋หมิ่นยังคงปลอบใจตัวเองว่าต่อให้อวี้ฮ่าวหรานจะมีดีซ่อนอยู่สักแค่ไหน แต่ปัญหาของบริษัทชงซานมันก็ไม่สามารถแก้ได้ด้วยคนคนเดียวหรอกจริงไหม?
ยกเว้นแต่ว่าอวี้ฮ่าวหรานคืออภิมหาเศรษฐีที่มีอิทธิพลมากมาย เขาถึงจะสามารถทำแบบนั้นได้ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่แน่นอน
จากนั้นอู๋หมิ่นก็พาคนของเขาทั้งหมดไปหาที่นั่งเพื่อรอเวลา 1 ชั่วโมงที่อวี้ฮ่าวหรานบอกเอาไว้ เขาอยากรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ที่มีแต่คนดูถูกจะเล่นมุกไหนกับเขากันแน่
แน่นอนว่าในระหว่างที่เขานั่งรอ เขาก็มองสำรวจอวี้ฮ่าวหรานไปเรื่อย ๆ เพราะเขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงทำให้เขารู้สึกกดดันได้เหมือนกับพวกคนระดับสูงมาก ๆ ที่เขาเคยเจอ
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนใกล้ครบ 1 ชั่วโมง
อู๋เส้าฮัวในตอนนี้เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองให้นั่งติดที่ได้อีกต่อไป และโดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของอวี้ฮ่าวหรานที่ยังคงสงบนิ่งราวกับว่าไม่มีอะไรต้องกังวลแบบนี้เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม
“ไอ้สวะ นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้วไม่ใช่หรือไง? ไหนล่ะที่แกบอกเอาไว้ว่าแกจะแก้ปัญหาได้ ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากแกจะเป็นสวะแล้วแกยังสมองเพี้ยนคิดว่าตัวแกเองยิ่งใหญ่จนสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยการโทรศัพท์ออกไปเพียงสายเดียวหรือไงไอ้เวร!” อู๋เส้าฮัวตะโกนด่าอวี้ฮ่าวหรานเพื่อหวังว่ามันจะคลายความหงุดหงิดในใจของเขาเอง แต่เมื่อเขาเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานนั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของเขาสักนิด มันกลับกลายเป็นทำให้ในใจของเขาร้อนรุ่มมากกว่าเดิม
แต่แล้วในขณะที่อู๋เส้าฮัวกำลังจะด่าต่อ จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของอู๋หมิ่นก็ดังขึ้น
ใครกันโทรมาตอนนี้?
อู๋หมิ่นรับสายด้วยสีหน้างุนงง แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของปลายสายที่ตื่นตระหนกเป็นอย่างมากราวกับว่ามันใกล้จะถึงวันสิ้นโลก เขาก็มองไปที่อวี้ฮ่าวหรานทันที
“ทะ ท่านประธานอู๋ ยะ..ยะ..แย่แล้ว!”
“มีอะไร! รีบพูดมา เอาให้ช้า ๆ ชัด ๆ!” อู๋หมิ่นถามกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับใจเต้นระส่ำ
“ท่านประธาน ตอนนี้แผนการของเราที่ทำกับบริษัทชงซานมันล้มเหลวหมดแล้ว! จ..จ..จู่ ๆ มันก็มีบริษัทหลายบริษัทจากที่ไหนก็ไม่รู้สั่งซื้อสินค้าที่ค้างสต๊อกทั้งหมดของบริษัทชงซาน แถมยังจ่ายเป็นเงินสดกันทั้งหมดจนทำให้สภาพคล่องของบริษัทชงซานฟื้นฟูกลับเป็นเหมือนเดิมเรียบร้อยแล้ว ผะ…แผนการหลายปีที่พวกเราลงทุนไปทั้งหมดมัน…มันสูญเปล่าไปหมดแล้ว…ฮัลโหล ฮัลโหล ท่านประธาน?!”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ อู๋หมิ่นตกตะลึงจนถือโทรศัพท์ไม่อยู่ทำโทรศัพท์ร่วงลงไปที่พื้น เขาไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?
แผนการที่วางเอาไว้หลายปี และเงินทุนจำนวนมากที่ลงทุนไป ทุกอย่างมันกลับล้มเหลวไปหมด!
“พ่อ! พ่อเป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นอาการพ่อของตัวเองเป็นแบบนี้ อู๋เส้าฮัวรีบถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทันที ไม่เหลือคราบจองหองแบบเมื่อครู่แม้แต่น้อย
“ไปให้พ้น ๆ!”
ในตอนนี้อู๋หมิ่นรู้สึกทั้งตื่นตระหนกและโมโหเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อถูกถามเซ้าซี้จากลูกชายไร้ประโยชน์ของตัวเองเขาจึงเกิดอาการรำคาญจนตะคอกและผลักลูกชายของตัวเองออกไป
จากนั้นอู๋หมิ่นลุกขึ้นทันที และถลึงตามองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าอาฆาตราวกับอยากจะพุ่งไปกินเลือดกินเนื้อ
“เป็นเพราะแก!” อู๋หมิ่นตะโกนขึ้นดังลั่นไปยังอวี้ฮ่าวหรานที่กำลังนั่งมองเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“เป็นฉันเอง แล้วจะทำไม?”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพร้อมกับค่อย ๆ ลุกขึ้น แต่คราวนี้เขาปล่อยแรงกดดันของร่างเทวะออกมาด้วย
เมื่อเผชิญกับแรงกดดันจากร่างเทวะแบบนี้ อู๋หมิ่นซึ่งเป็นเพียงแค่คนธรรมดาย่อมไม่มีทางต่อต้านได้แน่นอน เขารู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานนั้นตัวสูงเสียดฟ้า เป็นตัวตนที่เขาไม่อาจต่อกรด้วยได้ มันเหมือนกับว่าอวี้ฮ่าวหรานเป็นเทพเจ้ายังไงยังงั้น
อู๋หมิ่นเข่าอ่อนจนล้มตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้เหมือนเดิมด้วยอาการสั่นกลัว
“พ่อ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พูดมาสิ! อย่าบอกนะว่าคำพูดของไอ้สวะนี่มันเป็นความจริง?”
อู๋เส้าฮัวก้าวเข้ามาถามอีกรอบด้วยสีหน้ากังวล เขาไม่อยากจะเชื่อว่าแผนการที่วางเอาไว้หลายปีแถมตระกูลของเขายังหมดทรัพยากรไปเยอะมาก มันกลับล้มเหลวแบบนี้ มันต้องไม่ใช่ความจริง!
อู๋หมิ่นมองลงพื้นด้วยสีหน้าซีดเซียว ไม่หลงเหลือความดุดันเหมือนในตอนแรกแม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ อธิบายกับอู๋เส้าฮัว “ตอนนี้มีใครบางคนอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลให้กับบริษัทชงซาน จนทำให้บริษัทชงซานรอดพ้นจากวิกฤตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…”
แน่นอนว่าความหมายในคำพูดของอู๋หมิ่นก็คือ แผนของพวกเขาล้มเหลว!
คำพูดนี้มันทำให้อู๋เส้าฮัวแทบจะเข่าอ่อนเหมือนกัน!
จากนั้นเขาเริ่มนึกถึงคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานที่พูดเมื่อไม่เกิน 1 ชั่วโมงที่แล้ว
มันเป็นไปได้ยังไง?
แผนนี้ที่ตระกูลของเขาวางเอาไว้มันรัดกุมเป็นอย่างมาก ซึ่งการที่จะแก้ปัญหาให้กับบริษัทชงซานได้นั้นมันไม่ใช่แค่การโยนเงิน 9 หลักเข้าไปเพียงอย่างเดียวแล้วมันจะแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด มันต้องใช้กำลังคน อิทธิพล และเส้นสายอีกมากมายถึงจะทำให้วิกฤตของบริษัทชงซานแก้ไขได้ครบถ้วน
และยิ่งไปกว่านั้นการที่คำพูดของอวี้ฮ่าวหรานมันกลายเป็นความจริงขึ้นมาแบบนี้ มันทำให้เขากับพ่อกลายเป็นตัวตลกไปในทันที
“แก…แก…แกทำได้ยังไง!?”
อู๋เส้าฮัวตะโกนลั่นเสียงสั่นพร้อมกับชี้หน้าอวี้ฮ่าวหราน
เขาไม่เข้าใจเลยว่าอวี้ฮ่าวหรานทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง แค่การโทรออกเพียงครั้งเดียวมันทำให้แผนการหลายปีของเขาถึงกับพังไม่เป็นท่าแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป
ไม่ใช่แค่คู่พ่อลูกตระกูลอู๋เท่านั้นที่ตกตะลึง แต่บรรดาคนของตระกูลหลี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน
เขยของตระกูลที่พวกเขาเคยดูถูกมาตลอดตอนนี้กลับสามารถช่วยหลี่ชงซานด้วยการโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น?
“นี่มัน…น่าเหลือเชื่อจริง ๆ เขาทำแบบนี้ได้ยังไง?”
“ถ้างั้นนี่มันก็หมายความว่าบริษัทชงซานไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม? นี่มันวิเศษไปเลย!”
“…”
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังซุบซิบกัน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองที่อวี้ฮ่าวหรานตลอดเวลา ตอนนี้สายตาของสมาชิกตระกูลหลี่มองอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปแบบ 360 องศา
แม้แต่หลี่อิงไห่ ตอนนี้สีหน้าของเขาก็กลายเป็นซีดเซียว เมื่อครู่เขาเพิ่งดูถูกอวี้ฮ่าวหรานไปหยก ๆ ว่าเป็นเขยสวะ แต่ตอนนี้ฝั่งตรงข้ามกลับมีอำนาจถึงขั้นโทรครั้งเดียวก็สามารถแก้ปัญหาใหญ่ที่แม้แต่ตัวเขาไม่มีทางแก้ได้
ในเมื่อเป็นแบบนี้ หากอวี้ฮ่าวหรานเป็นสวะแล้วตัวเขานับเป็นอะไรได้?
เศษของสวะงั้นเหรอ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับอาการตกตะลึงของคนอื่น ๆ หลี่ชงซาน ที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงนั้นตกตะลึงกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า จนใช้เวลานานกว่าที่เขาจะได้สติ
ลูกเขยของเขาคนนี้ที่เขาเคยเกลียดยิ่งกว่าหนอนไส้เดือนกลับกลายเป็นคนช่วยบริษัทที่เขาสร้างมาทั้งชีวิตด้วยการโทรออกเพียงแค่ครั้งเดียวเนี่ยนะ?
มันกลายเป็นว่าหลายปีที่ผ่านมา ลูกสาวของเขานั้นตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุด มันเป็นเขาเองที่มีตาหามีแววไม่!
จากนั้นเมื่อเริ่มได้สติ สีหน้าของหลี่ชงซานก็เริ่มเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น
ตอนนี้บริษัทของเขารอดพ้นจากวิกฤตแล้ว!
เขายังคงสามารถเป็นผู้นำตระกูลหลี่ได้ต่อไปอีก!
แน่นอนว่าเมื่อรู้สึกโล่งอกแล้ว หลี่ชงซานก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปสนใจคู่พ่อลูกตัวร้ายที่พยายามเหยียบย่ำเขามาโดยตลอด
เขามองไปที่คู่พ่อลูกตระกูลอู๋ที่กำลังมีสีหน้าซีดเซียวด้วยสายตาเย้ยหยัน