ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 606 บนเกาะที่ปลอดภัย

“เข้าเรื่องสำคัญก่อน” เฉินไป่หลี่หันไปหาหลี่ว์ซู่แล้วพูด “มุ่งหน้าไปทางที่ฉันจากมา ตรงนั้นมีเกาะที่ปลอดภัยอยู่”

 

 

“เกาะเหรอครับ ปลอดภัยด้วย?” หลี่ว์ซู่สนใจทันทีที่ได้ยินคำสำคัญพวกนั้น

 

 

เฉินไป่หลี่ว่าต่อ “ช่วงเวลากลางวันกลางคืนที่นี่มีอะไรแปลกๆ อยู่ ตอนพวกเรามาถึงมันเป็นช่วงเกือบรุ่งสางแล้ว ที่ที่ยืนกันอยู่ตอนนี้คือมหาสมุทรกว้างใหญ่และเงียบสงบ มีเผ่าพันธุ์พิลึกดุร้ายอะไรสักอย่างที่ท่าทางเหมือนมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย ตอนพวกเราเข้ามาในโบราณสถาน เราจะถูกสุ่มส่งไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆ และทุกคนล้วนถูกส่งไปที่เกาะนั้น”

 

 

ทั้งหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานงุนงง พวกเขาแทบไม่เชื่อว่ากระจกข้างล่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นทะเลที่มีสัตว์ประหลาดได้

 

 

นี่แปลกเกินไปหน่อย หลังจากที่หลี่ว์ซู่ปรับอารมณ์ได้แล้วจึงเอ่ยถาม “งั้นคุณกำลังจะบอกว่าคนที่เข้ามาในนี้ตอนกลางคืนจะถูกส่งไปที่เกาะใช่ไหมครับ มีแต่พวกเราที่มาถึงช้ากว่า เลยไปปรากฏตัวที่กระจก”

 

 

นั่นก็อธิบายได้แล้วว่าทำไมนักเรียนที่พวกเขาพบตลอดทางถึงเป็นพวกที่ตามเข้ามาโบราณสถานนี้ทีหลัง

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าบนเกาะนั้นน่าจะปลอดภัยเพราะว่ามีเฉินไป่หลี่อยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ลุงแก่คนนี้ก็เป็นนักบวชระดับ A ที่มีไม่กี่คนบนโลก

 

 

“งั้นตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ล่ะครับ” หลี่ว์ซู่สงสัย

 

 

“ฉันมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้นักเรียนพวกนี้ เพราะฉันเป็นคนพาพวกเขาเข้ามา” เฉินไป่หลี่ตอบอย่างใจเย็น “ตอนกลางวันฉันต้องออกไปหาพวกที่ออกไปจากเขตเกาะเพื่อพาพวกเขากลับมา ดีนะที่พวกที่มาถึงไม่นานมีแค่ไม่กี่คนน่ะ เอาล่ะ ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว รีบไปที่เกาะก่อนค่ำเถอะ ไว้เจอกันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินนะ!”

 

 

แล้วเฉินไป่หลี่ก็ถลาตัวพุ่งออกไป หลี่ว์ซู่ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นมา นักเรียนคนอื่นๆ รวมถึงเจียงเฟิงคงจะปลอดภัยภายใต้ปีกของลุงที่คอยปกป้องดูแลละนะ แต่คำถามก็คือเขาจะขนคนจำนวนมากมาได้อย่างไร

 

 

ทั้งหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานต่างมุ่งหน้ากันไปยังเกาะที่ว่า ตอนแรกพวกเขานึกว่ามันจะอยู่อีกไม่ไกล แต่กลายเป็นว่าพวกเขาต้องเดินกว่าสามชั่วโมงเลยทีเดียวกว่าจะเห็นเค้าโครงของตัวเกาะ

 

 

หลี่ว์ซู่อุทานออกมาขณะที่เดินเข้าไปใกล้จุดหมายปลายทาง “เกาะนี้ใหญ่เป็นบ้า!”

 

 

ไม่ใช่แค่นั้น เกาะนี้ยังมีกำแพงล้อมรอบชายฝั่งอีกด้วย แต่ก็เป็นกำแพงธรรมดาๆ ทั่วไปที่ใช้ป้องกันชั่วคราวเท่านั้น

 

 

กำแพงนี้ล้อมรอบเกาะเอาไว้เหมือนกำแพงเมืองจีน หลี่ว์ซู่เดาว่าพวกนักเรียนคงจะยุ่งวุ่นวายกับสร้างกำแพงนี้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั่นแหละ และผลงานที่เห็นก็น่าทึ่งจนไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่ผู้บำเพ็ญที่มีระดับมากกว่าระดับ E หมื่นคนร่วมแรงกันสร้างได้เลย

 

 

ถ้าเกาะนี้ใหญ่เท่ากับเมืองเมืองหนึ่งและมีเพียงกำแพงพวกนี้ป้องกันเท่านั้น หลี่ว์ซู่เกรงว่าเขาอาจจะประเมินพลังคุกคามจากทะเลต่ำไปหน่อย ยิ่งกว่านั้นแม้เฉินไป่หลี่จะอยู่ระดับ A แต่เขาคนเดียวก็ไม่น่าปกป้องชายฝั่งทั้งหมดได้หรอก

 

 

ในตอนที่หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานไปถึงแนวป้องกัน พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังกำแพงสูงหนึ่งเมตรนั่น “ยินดีต้อนรับพวกหน้าใหม่! ฉันเป็นหัวหน้าทีม 42 นายเป็นพวกเราแล้วตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มาช่วยกำจัดศัตรูด้วยกันนะ!”

 

 

หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานงง หลี่ว์ซู่ต้องถามออกไปอีกทีเพื่อความแน่ใจ “เดี๋ยวนะสหาย ทำไมเราต้องเข้าร่วมทีม 42 อะไรของนายด้วย”

 

 

“มันเป็นกฎที่ใช้บนเกาะนี้น่ะ ราชันฟ้าเฉินเป็นคนตั้งกฎนี้ขึ้น นักเรียนทั้งหมดจะถูกแบ่งออกเป็นทีมคอยปฏิบัติงานส่วนต่างๆ เพื่อรักษากฎของเกาะนี้ แล้วแต่ละทีมก็ต้องดูแลความเรียบร้อยของแนวป้องกันของตัวเองด้วย”

 

 

“แล้วทำไมหัวหน้ากลุ่มถึงไม่ใช่พวกหัวกะทิระดับ A ล่ะ” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจ มันไม่ควรเป็นแบบนี้เพราะหัวกะทิระดับ A ควรจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับการโจมตีของทีมไม่ใช่เหรอ

 

 

มั่วเฉิงคงได้ยินแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้อารมณ์เสียใส่ เขายิ้มแล้วตอบกลับ “พวกหัวกะทิก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นผู้นำที่ดีทั้งหมดนี่ ตอนแรกเฉาชิงฉือควรจะได้เป็นหัวหน้า แต่เธอก็ปฏิเสธไป”

 

 

หลี่ว์ซู่เริ่มเข้าใจว่าที่มั่วเฉิงคงพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน เฉาชิงฉือคงไม่อยากเป็นหัวหน้าใคร เธอน่าจะชอบทำงานคนเดียวมากกว่า

 

 

ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงไม่เคยเจอมั่วเฉิงคงมาก่อน แต่ดูจากการที่นักเรียนคนอื่นๆ มองเขาแล้ว เฉิงคงนั้นน่าจะได้ความเคารพจากเพื่อนๆ และยกให้เป็นหัวหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เห็นนักเรียนคนอื่นๆ ที่รู้จักเลย

 

 

เป็นเรื่องธรรมดาแหละเพราะว่าบนเกาะที่ปลอดภัยนี้มีจำนวนนักเรียนตั้งเยอะ คนที่หลี่ว์ซู่จะรู้จักน่าจะราวๆ พันคนได้ เพราะฉะนั้นการหวังว่าจะมาเจอคนรู้จักในนี้นั้นค่อนข้างต่ำทีเดียว

 

 

แต่หลี่ว์ซู่อยู่นานไม่ได้ เขาต้องหาเสี่ยวอวี๋ให้เจอ ในสถานการณ์แบบนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปกป้องเสี่ยวอวี๋อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

 

“งั้นต้องขอโทษด้วยนะหัวหน้ามั่ว ฉันเข้าร่วมด้วยไม่ได้หรอก ต้องรีบไปที่อื่นน่ะ” หลี่ว์ซู่เตรียมตัวจากไปหลังจากพูดจบ แต่เขากลับขยับตัวไม่ได้

 

 

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นมั่วเฉิงคงกอดขาเขาไว้แน่น “ขอไปหน่อยได้ไหมหัวหน้ามั่ว…”

 

 

ดูจากท่าทีนักเรียนรอบๆ แล้ว พวกเขาไม่มีใครตกใจเลย หมอนี่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมได้ด้วยวิธีนี้งั้นเหรอ หน้าไม่อายจริงๆ!

 

 

มั่วเฉิงคงมองขึ้นมาขณะน้ำตาปริ่มเกือบจะไหลปรี่ออกมา “ฉันจะปล่อยก็ต่อเมื่อนายยอมอยู่ที่นี่”

 

 

“นายน่าจะลองไปเป็นดาราดูนะ ไม่งั้นเสียดายความสามารถแย่…”

 

 

แล้วเขาจะเตะสหายคนนี้ออกไปยังไงดีล่ะ นี่ไง เขาถึงบอกว่าไปต่างประเทศแล้วมีข้อจำกัดน้อยกว่านี้…

 

 

มั่วเฉิงคงขอร้อง “แต่ทีม 42 ของเราเล็กมากเลยนะ ถึงเราจะโชคดีจากการโจมตีรอบที่แล้ว แต่ถ้าครั้งนี้เราพลาดท่าละก็แย่แน่ ยิ่งคนในทีมแข็งแกร่งเท่าไหร่ ทีมก็จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ฉันเดาจากหน้าหล่อๆ และบุคลิกท่าทางของนายแล้ว นายน่าจะเป็นพวกยอดฝีมือแน่เลยใช่มั้ยล่ะ อยู่ช่วยพวกเราสู้เถอะนะ”

 

 

หลี่ว์ซู่หันไปถามคนในทีมอื่นๆ อีกร้อยคนที่เหลือ “นี่เขาพูดกับพวกนายอย่างนี้ด้วยรึเปล่า”

 

 

คนในทีมพยักหน้า หลี่ว์ซู่เลยถอนหายใจแล้วพูดว่า “นายมียอดฝีมือเก่งๆ เยอะออกจะตาย ฉันคนเดียวคงเปลี่ยนอะไรมากไม่ได้หรอก อีกอย่างนายเอาเจ้าตุ้ยนุ้ยนี่ไปก็ได้…”

 

 

เฉินจู่อานที่กำลังหัวเราะคลอไปกับที่หลี่ว์ซู่ พอได้ยินแบบนั้น เขาก็รีบขึ้นเสียงตอบกลับทันที “หัวหน้ามั่ว กอดขาเขาเข้าไปอีก ผมไปที่ที่เขาไปเท่านั้น”

 

 

“ปล่อยฉันเถอะหัวหน้ามั่ว ฉันไม่ไปไหนแล้ว” หลี่ว์ซู่ยิ้ม แล้วเขาก็รีบดึงเท้าออกตอนที่มั่วเฉิงคงคลายแรงกอดทันที แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ…

 

 

เจ้ามั่วเฉิงคงนี่ก็กอดขาเขาหมับอีกแล้ว!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset