ตอนที่ 611 ระดมทุน
นักเรียนจากห้องเต้าหยวนจากทีม 42 รู้สึกว่าคืนนี้ราบรื่นกว่าที่คิดไว้มาก เพราะกว่ากองทัพทะเลจะเข้าถึงตัวพวกเขาได้ พวกมันก็เสียท่ากันไปแล้ว
ที่จริงแล้วนักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็ร่วมต่อสู้ด้วยกันในคืนแรก และพวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความกดดันถึงแม้จะมีพวกหัวกะทิระดับ A คอยเป็นแนวหน้าในการสู้ก็ตามเพราะกระบี่บินของพวกเขาทำอะไรศัตรูไม่ค่อยได้
ด้วยเหตุนี้ทีม 42 จึงรู้สึกประหลาดใจกันมาก หลี่ว์ซู่ยังไม่ทันจะได้ใช้วิชากระบี่บินเลยนะ!
ในขณะเดียวกันนั้นหลี่ว์ซู่ก็บุกทะลวงเข้าไปในขบวนรบของศัตรูด้วยหอกสามง่ามสองอันในมือ
กระนั้นหลี่ว์ซู่เองก็ประเมินอีกฝ่ายต่ำไปเหมือนกัน เขาตกตะลึงมากที่กองทัพพวกนี้งอกกองกำลังเสริมกองใหม่มาเพิ่มได้เรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทหารจากท้องทะเลเร่งขึ้นฝั่งมาทีละคนพร้อมหอกสามง่ามในมือ พวกมันตรงเข้ามาหาหลี่ว์ซู่ จากนั้นก็ระเหยกลายเป็นหมอกควัน
ห้าชั่วโมงหลังจากนั้นการโจมตีระลอกแรกก็จบลง หลี่ว์ซู่ที่เหนื่อยล้านั่งลงบนกำแพงหินแล้วถามมั่วเฉิงคง “ตอนกลางคืนนี่ยาวนานแค่ไหนน่ะ”
“ตอนเราเข้ามาที่นี่มันก็เกือบรุ่งสางแล้ว คงมีคนล้มตายมากกว่าเดิมถ้าตอนกลางคืนยาวนานกว่านั้น” มั่วเฉิงคงตอบ “ตอนนี้เราคงประเมินความยาวของช่วงกลางคืนได้จากตอนกลางวันนี่แหละ ถ้ากลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน กลางคืนก็น่าจะกินเวลาสักเก้าวันได้”
“ตอนนี้เวลาเพิ่งผ่านมาแค่ห้าชั่วโมงหลังจากเข้าช่วงกลางคืนเองนะ” หลี่ว์ซู่ทำหน้าเครียด “นับจำนวนผู้ที่เสียชีวิตก่อน ที่เหลือแยกย้ายกันไปนอนพักได้”
มั่วเฉิงคงทำตามคำสั่งเขาโดยดี การต่อสู้ห้าชั่วโมงที่ผ่านมาทำให้ทีม 42 ทั้งหมดเห็นแล้วว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นหัวหน้าที่มีฝีมือจริงๆ
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงรอฟังคำสั่งจากหลี่ว์ซู่ว่าจะให้ทำอะไรต่อไป
“บาดเจ็บเล็กน้อยร้อยสามสิบเก้าคน บาดเจ็บสาหัสสิบสองคน เสียชีวิตสามคน” มั่วเฉิงคงรายงาน เสียงของเขาอ่อนลงไปเรื่อยๆ ขณะพูด ถึงแผลบาดเจ็บจะหายเร็วๆ นี้แต่สหายร่วมรบที่จากไปไม่มีทางฟื้นกลับคืนมาได้อีกแล้ว
หลี่ว์ซู่หยุดชะงักไปก่อนพูดต่อ “เอาพวกเขาทั้งสามคนไปฝัง คนเจ็บให้ไปพักก่อน คนที่เหลือแบ่งกลุ่มคอยเฝ้ายามตามแนวป้องกันเป็นกะ จัดการให้ที
“แล้วนายล่ะ” มั่วเฉิงคงถาม
“ฉันจะไปพักที่กำแพงหิน”
พอเขาพูดออกไปอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมแต่ทุกคนต่างก็รู้สึกปลอดภัยกันขึ้นมาทันที
อันที่จริงการที่พวกเขาสร้างกำแพงหินไว้ไม่ใช่เพื่อขัดขวางไม่ให้พวกกองทัพจากทะเลเข้ามาหรอก เพราะถึงอย่างไรกำแพงหินนี่ก็ต้านกำลังศัตรูระดับ C และระดับ D เอาไว้ไม่ได้
กำแพงหินนี้สร้างเอาไว้ให้พวกเขาสบายใจระหว่างที่พักเอาแรงในช่วงสงครามต่างหาก จะได้ไม่ต้องมาคอยระแวงว่าจะมีใครขว้างหอกสามง่ามมาจากทะเลเหรือเปล่า
ในตอนนั้นเอง ผู้รับหน้าที่ดูแลเกาะปลอดภัยแห่งนี้ก็เข้ามาเยี่ยม เขามาถามว่ามีจำนวนคนบาดเจ็บและเสียชีวิตไปเท่าไหร่ในแต่ละทีม และบอกให้นำสมาชิกที่บาดเจ็บทั้งหมดไปยังสถานพยาบาลเพื่อรักษา ถึงพวกเขาจะมีพลังฟื้นฟูบาดแผลได้ แต่ยังไงก็ต้องล้างแผลเพื่อไม่ให้ติดเชื้อ นอกจากนี้บางคนก็ต้องเย็บแผลด้วย
นี่เป็นเรื่องทุกคนเรียนรู้มาขณะฝึกทหาร
หลังจากที่ได้ยินจำนวนคนเจ็บและเสียชีวิต ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทีมนี้มีคนเสียชีวิตน้อยจัง ขอโทษนะ ไม่ได้จะพูดให้ดูไม่ดี แต่แค่ประหลาดใจที่สมาชิกส่วนใหญ่ปลอดภัย เพราะทีมอื่นๆ ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บกันมาเยอะ แต่สำหรับทีมนายที่มีแค่สามร้อยคนกลับตายไปแค่สามคนเอง นั่นเยี่ยมยอดมากเลยนะ ไม่ได้จะบอกว่าให้เจ็บกันมากกว่านี้หรอก แค่จะบอกว่าทีมนายแข็งแกร่งมากน่ะ”
มั่วเฉิงคงได้ยินประโยคแรกก็เดือดขึ้นมา กระนั้นพอได้ฟังคำอธิบายแล้วก็เข้าใจ “พวกเราโชคดีที่มียอดฝีมืออยู่ด้วยน่ะ”
“อ้าว คิดว่าในทีม 42 ไม่มีหัวกะทิระดับ A อยู่ด้วยเสียอีก”
“ฮ่าๆ” มั่วเฉิงคงหัวเราะอย่างมั่นอกมั่นใจและไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เพราะถ้าหลี่ว์ซู่ถูกย้ายไปที่อื่นขึ้นมา เขาจะทำยังไงล่ะ
ตอนนี้ผู้รอดชีวิตทั้งหมดในทีมต่างก็หวังพึ่งหลี่ว์ซู่กัน พวกเขายอมให้คนอื่นเอาตัวหลี่ว์ซู่ไปง่ายๆ ไม่ได้หรอก
มั่วเฉิงคงแอบมองหลี่ว์ซู่จากหางตา เขากำลังนั่งหลับตาพักอยู่บนกำแพงหิน พอมั่วเฉิงคงเห็นหัวหน้าทีม 43 เดินเข้าไปหาหลี่ว์ซู่ เขาก็ตะโกนบอกคนในทีมด้วยกังวลว่าเรื่องที่หลี่ว์ซู่เป็นยอดฝีมือจะถูกเปิดเผย “เข้าไปปกป้องเขา! อย่าให้ทีม 43 เข้าใกล้เขาได้!”
คนในทีม 42 เข้าใจขึ้นมาทันที นี่ราวกับว่าคนทั้งทีมจะต้องช่วยกันปกป้องไม่ให้ทีม 43 ขโมยหัวหอกของทีมไปได้ มากกว่าแค่เข้าไปปกป้องหลี่ว์ซู่…
แล้วทุกคนก็เร่งรี่เข้าไปหาผู้บุกรุกคนนั้น หัวหน้าทีม 43 ชื่อหวังซูพูดไม่ออกเลย “มั่วเฉิงคง เราเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่าเนี่ย ทำไมทำกันแบบนี้ล่ะ มิตรภาพเจ็ดปีของเราไม่มีความหมายเลยเหรอ”
มั่วเฉิงคงยิ้มตอบ “หวังซู ไม่ว่ายังไง นายก็ห้ามเอาตัวเขาไป”
แต่หวังซูกลับตะโกนออกมาในทันใด “มาร่วมกับทีม 43 ของเราเถอะครับท่านยอดฝีมือ! พวกเราระดมทุนให้ได้นะ!” นั่นเป็นความคิดของหวังซูเอง เอาเข้าจริงๆ แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ เงินเทียบความสำคัญกับชีวิตไม่ได้เลย และพวกเขาก็สามารถระดมทุนบริจาคจากทุกคนได้
มั่วเฉิงคงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “หวังซู นายจำได้ไหมว่าใครแบกนายไปที่สถานพยาบาลตอนที่นายข้อเท้าแพลงหลังจากแข่งบาสมาน่ะ!”
เขามีเหตุผลที่จะตื่นตระหนกแบบนี้ เพราะจุดอ่อนของหลี่ว์ซู่นั้นเห็นได้ชัดเจน เขายอมอยู่กับทีมเพื่อเงินห้าร้อยหยวนที่เขาจ่ายไว้เป็นค่ามัดจำไงล่ะ!
หวังซูตอบกลับอย่างใจเย็น “ขอโทษนะ ลืมไปแล้วอะ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเกิดนอกโบราณสถานนี่”
“อย่าหวังเชียวว่าความรวยของนายจะทำให้นายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หวังซู ยอดฝีมือของเราไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก…”
แต่เฉินจู่อานกลับถอนหายใจแล้วตบไหล่มั่วเฉิงคง “เขาเป็นคนแบบนั้นแหละ โอ๊ย! ปล่อยผมนะพี่ซู่!”
ไม่มีใครเห็นเลยว่าหลี่ว์ซู่มาข้างหลังเฉินจู่อานตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาหยิกเนื้อหลังต้นคอของเฉินจู่อานแล้วปล่อยออกจากนั้นก็คลี่ยิ้มแป้น “เรื่องระดมทุนนั่นไม่จำเป็นหรอก เพราะฉันจะไม่ไปจากทีม 42 แต่สัญญาว่าจะไปช่วยพวกนายหลังจากฉันแน่ใจแล้วว่าแนวป้องกันของทีม 42 ปลอดภัยแล้ว”
หวังซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ขอให้ผมได้ขอบคุณแทนทีมด้วยนะครับ ส่วนเรื่องระดมทุนนั่นผมไม่พูดเล่นนะ อยากมาร่วมกับทีม 43 เมื่อไหร่ก็ได้เสมอเลย”
เอาจริงแล้ว หลี่ว์ซู่คงตอบตกลงถ้าในทีม 42 ไม่มีจำนวนผู้เสียชีวิตเลย แต่ตอนนี้คนตายไปแล้วตั้งสามคน แล้วเขาจะมีหน้าทำแบบนั้นได้อย่างไร ที่สุดแล้วข้อสำคัญที่เขาเรียนรู้มาทั้งหมดในการมาหลัวปู้พัวนี่ก็คือ… ในต่างประเทศนั้นมีอิสระกว่าจริงๆ