ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 501 ระดับ SSS

ระดับ SSS

 

ปัจจุบันคิตะมุระ คิจิโทริมีบทบาทสำคัญในใจของหลี่ว์ซู่เป็นอย่างยิ่ง ครั้งสุดท้ายที่มีคำสองคำมีความหมายต่อเขามากนั้นคือคำว่า ‘อีกขวด’ ที่เขียนอยู่บนฝาขวดตอนที่เสี่ยวอวี๋กระหายอยากดื่มชามะนาวเย็นเมื่อนานมาแล้ว…

 

ช่วงนั้นเป็นยุคทอง ครั้งนั้นหลี่ว์ซู่โชคดีและได้รางวัลเจ็ดขวดฟรีในคราวเดียวเลย ดังนั้นเสี่ยวอวี๋จึงกรอกชามะนาวเย็นลงท้องไปถึงเจ็ดขวด…

 

ผลที่ตามมาก็คือ การที่เธอทนฟังใครเอ่ยถึง ‘ชามะนาวเย็น’ ไม่ได้เลยในตอนนี้

 

เมื่อไม่มีแหล่งที่มาใหม่ของแต้มอารมณ์ หลี่ว์ซู่จึงพึ่งพาได้เพียงการร้องเพลงดาวดวงน้อยสำหรับการฝึกวิชา ในปัจจุบันพลังที่ได้มาจากการร้องเพลงแปดชั่วโมงนั้นเทียบเท่ากับผลดวงดาวยี่สิบสี่ผล

 

อีกนัยหนึ่ง เขาจะได้แต้มอารมณ์สามพันแต้มต่อชั่วโมงซึ่งห่างไกลจากการหาแต้มอารมณ์ด้วยตัวเอง เพราะเขามีพรสวรรค์ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง..

 

ในช่วงกลางวันหลี่ว์ซู่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องและหมกมุ่นกับข้อมูลใหม่ๆ ที่ส่งมาจากเครือข่ายฟ้าดิน หลี่ว์ซู่ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวในการแสดงเป็นคิริฮาระ ยูสึเกะและตัดสินใจจะพยายามอย่างจริงจังในภารกิจครั้งต่อไปของเขา เขาเล็งไปที่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าเดิม!

 

ฉะนั้นไม่เพียงแต่เขาจะต้องทำตัวเองให้คุ้นเคยกับภูมิหลังของบุคคลคนนั้น แต่เขาก็ยังต้องเลียนแบบท่าเดินของเขา ทำความรู้จักสินค้าในสต๊อกของร้านค้าและแม้กระทั่งขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บและการจัดจำหน่ายสินค้าซ้ำอีกด้วย

 

อย่างน้อยที่สุด มันคงจะไม่ดูไม่เข้าท่าอย่างแน่นอนหากตัวเขาซึ่งอยู่ในฐานะที่เป็นผู้จัดการกลับไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานของตัวเองเลย เมื่อทวยเทพมาเคลื่อนย้ายสินค้า เขาไม่อาจตอบไปเฉยๆ ว่า “โปรดช่วยตัวเองกันไปเลยนะ จะเอาอะไรหรือจะจัดเก็บอะไรก็ตามใจเลย”

 

ไร้สาระจะตาย!

 

ถึงตอนนั้นเองที่หลี่ว์ซู่ได้เข้าใจในที่สุดว่าการเป็นสายลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คนอย่างทานิกุชิ บันไดต้องใช้เวลาอยู่กับภารกิจลับเป็นทศวรรษในขณะที่คอยห่วงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะทนต่อความเครียดทางจิตใจเป็นระยะเวลายาวนานแบบนั้นได้

 

หลี่ว์ซู่ตัดสินใจว่าจะกลับไปเป็นตัวเองให้ช้าลงในครั้งนี้ เพราะอย่างไรเสีย เวลาก็จะทำให้คนเราพัฒนาขึ้นได้อยู่แล้ว…และหากเขาไม่ต้องการเสียอย่าง ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากตัวเขาเองที่จะทำให้ภารกิจของเขาล้มเหลวได้!

 

ในตอนเที่ยง ชิบะเตรียมอาหารกลางวันให้หลี่ว์ซู่ บรรยากาศค่อนข้างจะน่าอึดอัดขณะที่ชิบะดิ้นรนที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับหลี่ว์ซู่แบบใกล้ชิดมากๆ และหลี่ว์ซู่ก็ยังพบว่ามันเป็นการยากในการอธิบายสถานการณ์ให้เธอเข้าใจ แต่ถึงอย่างไร เขาคิดว่าการแจ้งให้ชิบะได้รับทราบนั้นเป็นเรื่องสำคัญในระดับหนึ่งเลย

 

เขาควรจะเปิดเผยทุกอย่างเลยไหม

 

หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดในเรื่องนั้น การสารภาพต่อยาเอโกะเป็นทางเลือกเดียวในตอนนั้น นอกจากนี้การบอกความจริงให้เธอรู้ก็ไม่ได้เป็นการทำร้ายพวกเขาทั้งคู่ แต่ในกรณีของชิบะนั้นมันเป็นคนละแบบกัน ถ้าเธอตัดสินใจเปิดเผยเรื่องของเขาหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คิริฮาระ ยูสึเกะตัวจริงล่ะ

 

ในทางกลับกัน เครือข่ายฟ้าดินได้ยืนยันการเสียชีวิตของโอดะ โทคุมะหลังจากที่เขาโดนคิตะมุระและทาคาชิมะโจมตี พวกอนุรักษนิยมได้มาถึงทางตันของพวกเขาอย่างเป็นทางการแล้ว สมาชิกทั้งหมดของพวกเขาถูกพวกลัทธิคลั่งชาติจับกุมตัวไว้หมด

 

และบทบาทของหลี่ว์ซู่ในเรื่องนี้ก็คือ การพลิกรถบรรทุกทหารที่กำลังขนส่งตัวเชลยให้คว่ำหรืออย่างน้อยก็ทำให้ยางรถแตกเสีย…

 

“คิริฮาระคุง เธอเป็นผู้บำเพ็ญระดับไหนเหรอ” ชิบะถามอย่างสงสัย

 

หลี่ว์ซู่ชะงัก เขาควรบอกความจริงหรือเปล่า อย่าเลย พูดเล่นไปก็พอ แล้วเขาก็ตอบว่า “คือว่า ฉันอยู่ระดับ SSS”

 

หนนี้ถึงคราวชิบะอึ้งไปบ้าง เธอถามว่า “ระดับ SSS เนี่ยนะ! มีด้วยเหรอ!

 

“แน่นอน ก็มีฉันนี่ไง” หลี่ว์ซู่ยิ้ม

 

“ระดับ SSS มันเป็นอย่างไร…” ชิบะรู้ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่จริงจัง แต่ความอยากรู้ของเธอทำให้เธอไม่ยอมแพ้ ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญมือใหม่ซึ่งยังไม่ได้เรียนรู้พื้นฐานของการบำเพ็ญ ชิบะจึงเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้

 

หลี่ว์ซู่ขบคิดถึงคำถามนั้น จริงด้วย เขามักจะเห็นคำว่า ระดับ S SS และ SSS ในนิยาย แต่ความจริงแล้วพวกมันหมายความว่าอะไร

 

หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ เขาก็พูดว่า “ฉันว่ามันหมายถึง หก หก หก”

 

[ได้แต้มจากชิบะ มาฮิโร่ +666…]

 

แต่ ณ ตอนนี้ ชิบะดูเหมือนจะตะลึงงัน เธอพูดว่า “คิริฮาระคุง ฉันเคยอ่านเจอในโพสต์อันหนึ่งที่บอกว่าคนจีนชอบใช้เลขหกหกหกเพื่อแสดงความชื่นชมของเขาแก่คนอื่น…ถ้าอย่างนั้นเธอ…”

 

สมองหลี่ว์ซู่เต้นตุ้บๆ เขาเปิดเผยตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร หรือว่ามันจะเป็นเพราะคำสาปแช่งของเนี่ยถิง

 

ก่อนที่เขาจะคิดข้อแก้ตัวที่เข้าท่าออก ชิบะก็ยิ้มและถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอคงชอบประเทศจีนมากเลยใช่ไหม คิริฮาระคุง”

 

“ใช่! แน่อยู่แล้ว!” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ตอนที่ชิบะกำลังกินข้าว จู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลอาบแก้ม เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คิริฮาระคุง ไม่ว่าฉันจะพยายามบอกตัวเองมากแค่ไหน ฉันก็รู้ว่าตั้งแต่วันที่เธอกลับมาจากการลาป่วย เธออาจจะไม่ใช่คิริฮาระคุงที่ฉันเคยรู้จักก่อนหน้านั้นอีกต่อไป…”

 

หลี่ว์ซู่นิ่งเงียบ ไม่มีคนโง่อยู่ในโลก แม้ว่าเขาจะหลอกคนอื่นๆ ได้ แต่เขาจะหลอกเด็กผู้หญิงอย่างชิบะ มาฮิโร่ที่ให้ความสนใจยูสึเกะมากมายขนาดนั้นมาโดยตลอดได้อย่างไร

 

“คิริฮาระคุงที่ฉันรู้จัก…” ตอนนี้ชิบะแทบจะพูดกระซิบ “เขาไม่กล้าแม้แต่จะเหยียบมด หลังจากที่มีคนผลักเขา เขาก็ไม่กล้าไปเรียนพละอีกเลย…มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลายเป็นคนที่ต่างออกไปขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะมีอาการอารมณ์แปรปรวนรุนแรงก็ตาม ฉะนั้นเธอไม่ใช่คิริฮาระคุงใช่ไหม แต่ฉันไม่ได้โทษเธอนะ ฉันแค่อยากรู้ความจริง”

 

หลี่ว์ซู่ถอนหายใจยาวและบอกว่า “ถูกต้องแล้วล่ะ ฉันไม่ใช่คิริฮาระ ยูสึเกะ ยูสึเกะได้ฆ่าตัวตายไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน”

 

ทันทีที่เขาพูดจบประโยค น้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากตาของชิบะอย่างหยุดไม่อยู่ แต่ทันใดน้ำตาของเธอก็มาระเหยที่คางของเธอด้วยความร้อนสูงที่ผิวหนังของเธอปล่อยออกมา

 

หลี่ว์ซู่ต้องประหลาดใจที่เธอได้ประสบกับการปะทุพลังอีกครั้ง!

 

“เธอ…” ใบหน้าของหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยความงุนงง

 

ชิบะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มทั้งที่น้ำตายังไหลออกมาจากตา เธอพูดเบาๆ ว่า “บางทีเขาอาจพบความสงบสุขได้แล้วในที่สุด”

 

หลี่ว์ซู่ไม่มีคำตอบ ตลอดระยะเวลาที่ชิบะสารภาพความรู้สึกออกมาอย่างจริงใจ เธอไม่ได้ผลิตแต้มอารมณ์หรือมีสัญญาณใดๆ ที่มุ่งร้ายต่อเขาเลย

 

เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ หญิงสาวคนนี้อยู่ฝ่ายยูสึเกะมามากกว่าสองปี แต่เธอไม่เคยเรียบเรียงความรู้สึกของเธอออกมาเป็นคำพูด และตอนนี้คำพูดเหล่านั้นก็ไม่อาจส่งผ่านไปยังตัวคนที่ถูกต้องได้

 

มันเหมือนกับจดหมายที่มีแต่ชื่อจ่าหน้าซอง แต่ว่าไม่มีการจ่าที่อยู่เอาไว้ ผลที่ได้คือมันจะไม่มีวันไปถึงที่หมายหรือส่งคืนกลับมาได้

 

มันลอยลำอยู่ในระลอกคลื่นแห่งกาลเวลาที่ยาวนานอย่างช้าๆ แต่ทว่ามั่นคง ทั้งที่อาจถูกลืมหรือถูกฝังไปแล้ว และมันก็ทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดแห่งความทุกข์ไปชั่วนิจนิรันดร์

 

ณ ตอนนี้ หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงหน้าต่างบนชั้นสองเปิดออกจากห้องที่ยาเอโกะกำลังนอนพักอยู่

 

ด้วยความตกใจสุดขีดเขาจึงวิ่งขึ้นไปในทันทีและพบแค่เตียงเปล่าๆ และหน้าต่างที่เปิดกว้าง ยาเอโกะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

มีข้อความทิ้งเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียงที่เขียนว่า “ขอบคุณ หลี่ว์ซู่คุง แล้วเจอกันใหม่นะ”

 

ลงชื่อโดย ซากุราอิ ยาเอโกะ

 

หลี่ว์ซู่ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหายตกใจ จริงเหรอ เธอจากไปแล้วเหรอ เธอรู้สึกดีขึ้นแล้วเหรอน้องสาว ฉันว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรเลยนะที่จะวิ่งไปมาท่ามกลางคนของทวยเทพเป็นฝูงแบบนี้!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset