ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 622 ลำดับชั้นที่เข้มงวด

แท่นมังกรงั้นเหรอ ชื่อนี้เหมือนบอกใบ้อะไรอยู่เลย หลี่ว์ซู่นึกถึงตอนที่เจ้าโกลาหลกลืนแท่นมังกรลงไปนั้น และเจ้ามังกรที่อยู่ข้างในนั้นก็ดูรอแทบไม่ไหวที่จะโดนกลืนลงไป เหมือนกับว่ามันติดอยู่ข้างในอย่างนั้นแหละ

 

 

งั้นพลังของทหารใต้ทะเลก็ไม่ได้มาจากโบราณสถานอย่างที่เขาคิด แต่มาจากมังกรต่างหาก

 

 

พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว กลุ่มคนจากทะเลนี่เป็นใครกันแน่นะ มาจากไหนกันด้วย หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจอย่างมาก

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เขาทำลายแท่นมังกรไปแล้วนั้นก็น่าจะช่วยให้พวกที่อยู่บนเกาะสบายขึ้นมาได้หน่อย อย่างน้อยๆ พวกนักเรียนก็ไม่ต้องปะทะกับทหารจากทะเลเป็นหมื่นแล้วล่ะ

 

 

สถานการณ์เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ หลังจากการต่อสู้จบลง นักเรียนห้องเต้าหยวนก็กำลังคุยกันอย่างเผ็ดร้อนเลยว่าจะเอาเกราะทองแดงกันมาอย่างไรดี เพราะคนส่วนมากยังไม่ได้เกราะเต็มชุดมาสวมใส่เพื่อป้องกันกันเลย ยกเว้นกลุ่มของระลอกทองแดง

 

 

แต่ท้ายที่สุดแล้วกองทัพจากใต้ทะเลก็ไม่กลับมาอีกเลย…

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร พวกเขาได้พักผ่อนกันอย่างเต็มอิ่มและกลับมารู้สึกกระปรี้กระเปร่ากันอีกครั้ง พวกเขารอที่จะโจมตีระลอกหน้าอย่างใจจดจ่อ แต่กลับไม่มีใครโผล่ออกมาเลย

 

 

เฉินจู่อานและเฉินไป่หลี่รู้กันว่าเป็นฝีมือของหลี่ว์ซู่ เฉินจู่อานที่นั่งอยู่ข้างๆ ตู้เซวี่ยเหมยกำลังมองทะเลอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ ครุ่นคิดสงสัยว่าหลี่ว์ซู่ทำแบบนั้นได้อย่างไรนะ

 

 

ตีเนียนไหลไปกับศัตรูไปใต้ทะเลคนเดียว ฟังดูแล้วเท่ชะมัด แต่เฉินจู่อานทำแบบนั้นไม่ได้หรอก

 

 

ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่ใช้เวลารอหนึ่งนาทีเต็มๆ กว่าจะมีคนใต้ทะเลมาถึง ในเวลานั้นเขาทำสีหน้าตกใจค้างไว้อยู่ตลอด เมื่อคนมา ทุกคนก็ชะงักไป จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นขณะจ้องไปยังแท่นมังกร “เกิดอะไรขึ้นน่ะเค่อเหวินหลี่!”

 

 

หน้ากากนี่เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์จริงๆ ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ หลี่ว์ซู่ไม่มีทางโดนจับได้ภายใต้หน้าของเค่อเหวินหลี่แน่นอน ทุกคนล้วนจ้องไปที่แท่นมังกรกันหมด

 

 

หลี่ว์ซู่เกือบลืมชื่อใหม่ของเขาไปแล้ว เขารีบตอบกลับไปทันทีเมื่อรู้ว่าคนนั้นกำลังพูดกับเขาอยู่ “ไม่รู้เหมือนกัน! มาถึงก็เป็นแบบนี้แล้ว!”

 

 

ทันใดนั้นทหารเกราะสีดำก็เดินเรียงกันมาอย่างใจเย็น ตามมาด้วยทหารเกราะสีดำอีกร้อยตนอย่างพร้อมเพรียง ทหารที่เป็นหัวหน้ามองมาที่ปราสาทแล้วพูดว่า “มีมนุษย์เข้ามาที่นี่ การทำลายแท่นมังกรนั้นถือเป็นความผิดร้ายแรง ทุกคนออกไปตามหาตัวไอ้มนุษย์นั่นมา!”

 

 

ทหารทุกตนในเกราะทองแดงยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์รับคำสั่ง “ครับท่าน!”

 

 

หลี่ว์ซู่หันไปมองกองเกราะทองแดงที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น แต่ไม่มีใครสนใจจะเอาไปเก็บให้เรียบร้อย แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้…

 

 

ที่จริงแล้วเขาก็คงจะหยิบมันขึ้นมาแล้วล่ะถ้าพวกทหารจากทะเลไม่มาถึงไวกันขนาดนี้เสียก่อน คงเป็นภาพที่แปลกน่าดูถ้าเห็นว่าเขากำลังเก็บชุดเกราะทองแดงกว่าพันชุดแบบนี้คนเดียว

 

 

หลี่ว์ซู่ตีเนียนไปกับพวกศัตรูและแอบมองพวกทหารชุดดำ พวกเขาดูจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า จะดีแค่ไหนนะถ้าเขาเอาเกราะสีดำมาด้วยเหมือนกัน

 

 

เขาสงสัยว่าทหารชุดสีดำพวกนี้จะเป็นพวกไม่มีความคิดเป็นของตัวเองหรือเปล่า เขาสะกิดทหารคนหนึ่งที่เดินผ่านหน้าไป ขณะที่เขากำลังแกล้งหามนุษย์คนนั้นหรือก็คือ ‘ตัวเอง’ อยู่

 

 

ทหารชุดดำคนนั้นมองกลับมา “หืม?”

 

 

“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรครับ” หลี่ว์ซู่บังคับตัวเองให้ยิ้มออกไปอย่างแหยๆ เจ้าพวกนี้มีความคิดเป็นของตัวเองนี่นา…

 

 

หากคิดตามหลักการแล้ว ถ้าทหารพวกนี้ไม่มีความคิดของตัวเองก็น่าจะยังมีแท่นมังกรอื่นอีกในปราสาทแห่งนี้ หลี่ว์ซู่เดินตามคนอื่นๆ ที่แยกย้ายกันไปหามนุษย์คนนั้น โชคเข้าข้างเขาจริงๆ เพราะเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเค่อเหวินหลี่ นี่คงยากกว่าตอนไปญี่ปุ่นอีก เพราะตอนนั้นเครือข่ายฟ้าดินให้ข้อมูลเกี่ยวกับคิริฮาระ โยสุเกะมาอย่างแน่นเลย

 

 

ถ้าคนใกล้ชิดเค่อเหวินหลี่เกิดสงสัยขึ้นมาละ หลี่ว์ซู่คิดอะไรอย่างอื่นไม่ออกเลยนอกจากกองเกราะทองคำที่ถูกทิ้งไว้ในปราสาทนั่น!

 

 

“เค่อเหวินหลี่ นายจะไปไหนน่ะ มนุษย์คนนั้นน่าจะแข็งแกร่งน่าดู ตามมา!” คนคนหนึ่งตะโกนมา

 

 

หลี่ว์ซู่ก็หยุดลงทันที “…ได้ครับ”

 

 

เขารู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาเลย หลี่ว์ซู่เดินตามกลุ่มของพวกเขาห้าคนไปแล้วทำทีเป็นค้นหาทุกซอกทุกมุมของปราสาท

 

 

เขาค่อยๆ รวบรวมสติของเขา กลยุทธ์ตอนนี้ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือเขาจะฆ่าทุกคนที่สงสัยในตัวเขา…

 

 

อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีระดับ B โผล่มา และเขาก็ได้เปรียบในน้ำอีกด้วย เขาเลยมั่นใจว่าจะสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้เมื่อทุกอย่างเกิดพังขึ้นมา

 

 

หลี่ว์ซู่พยายามเงียบไว้ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าถ้าพูดอาจจะพูดอะไรผิดไป เขารู้ว่าการค้นหานี้ไร้ประโยชน์ เพราะเป้าหมายของการค้นหาก็คือตัวเขาที่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเจ้าพวกนี้นี่แหละ

 

 

หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าทหารทะเลนั้นพยายามไม่เดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูสวยงามยิ่งใหญ่กว่าปราสาทรอบๆ ราวกับว่ามนุษย์ที่ตามหาอยู่ไม่มีทางเข้าไปซ่อนตัวในที่แบบนั้นได้อย่างนั้นแหละ

 

 

เขาเดินตามทหารพวกนี้ไปค้นหาทุกซอกมุมของปราสาทอีกหลัง หากดวงตาแห่งค่ายกลถูกเก็บไว้ใต้ทะเลละก็ หลี่ว์ซู่ก็เริ่มคิดแล้วว่าดวงตาคงถูกซ่อนอยู่ในปราสาทหลักนั่น

 

 

“เอาละ ไปรายงานกัน” ทหารที่อยู่ในเกราะทองแดงพูดออกมา

 

 

“เดี๋ยวเราก็โดนทำโทษกันอีก” ใครคนหนึ่งบ่นออกมา “ถ้าเจอไอ้มนุษย์นั่นเมื่อไหร่ มันโดนเราสับเป็นชิ้นๆ แน่!”

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ เขาคงได้ช่วงเวลาดีๆ กับคนใต้ทะเลแน่เลยล่ะ ถ้าเขาคิดออกแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป

 

 

เขายังไม่อยากเคลื่อนไหวอะไรตอนนี้เพราะต้องใช้เวลากว่าสองวันทีเดียวกว่าจะฟื้นฟูดาบรัศมีของเขากลับมาได้ ไว้ค่อยจัดการทีหลังยังไม่สาย ตอนนี้เขาต้องทำให้กลืนไปกับทุกอย่างที่นี่ก่อน

 

 

หลี่ว์ซู่ตามกลุ่มคนอื่นๆ ไปด้านข้างปราสาท ทหารตนหนึ่งรวบรวมความกล้าและรายงานออกไป “ท่านครับ เราหามนุษย์คนนั้นไม่เจอครับ”

 

 

ทหารชุดดำกำลังนั่งบนเก้าอี้เบาะในปราสาท เขามองดูทหารกว่ายี่สิบคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชาแล้วขู่ร้องออกมา “ไอ้พวกขยะ ไปทำเองสิไป”

 

 

หลี่ว์ซู่งงไปเลย หมายความว่าไงนะ หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที พวกทหารที่อยู่ข้างๆ เขาก็แยกกันไปเป็นสองแถวและถอดหมวกออก หลี่ว์ซู่เพิ่งเห็นว่าทรงผมของพวกเขานั้นแปลกมาก พวกเขามีเปียที่ขดไว้อยู่ข้างบนหัว จากนั้นก็

 

 

ป๊าบ! แล้วก็ ป๊าบ! อีกที

 

 

หลี่ว์ซู่มองด้วยความตกใจขณะที่ทหารกำลังตบหน้ากันและกันอย่างแรง ทำไมลำดับขั้นที่นี่มันเข้มงวดแบบนี้เนี่ย พวกทหารยศต่ำๆ จะถูกสั่งให้ตบหน้ากันเองถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จเหรอ

 

 

ทหารที่อยู่ตรงข้ามหลี่ว์ซู่ถอดหมวกของเขาออกแล้วมองมาอย่างงงงวย

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset