ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 637 สถานการณ์เปลี่ยนไป

หลี่ว์ซู่ยุ่งมาก เขาต้องหาผลไม้มาให้เสี่ยวอวี๋แล้วก็ต้องหาผลไม้มาให้ตัวเองด้วยเหมือนกัน  

 

 

อันที่จริงเขาไม่อยากได้แต้มอารมณ์จากเพื่อนๆ ของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าเขาใกล้จะได้จุดประกายกลุ่มดาวที่สามแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกพอใจเลยที่เขาเลื่อนระดับเร็วเกินไปโดยไม่ได้รับค่าประสบการณ์อะไรมาก อย่างน้อยๆ พวกเขาก็เป็นสหายร่วมรบด้วยกัน เขาควรต้องหาแต้มอารมณ์มาอย่างถูกต้องใช่ไหมล่ะ  

 

 

รถไฟไปเมืองหลวงนั้นเคลื่อนตัวไปเร็วมาก พวกเขาไปถึงในไม่กี่ชั่วโมง ทว่าพอพวกเขาลงมาจากรถไฟกลับไม่มีรถอะไรมารอรับเลย ไม่เห็นแม้แต่เงาคนมารับ พวกเขาต้องเดินทางไปสนามบินกันเองเพื่อทำตามแผนต่อไป พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของใคร  

 

 

นับตั้งแต่นี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นที่ต่างประเทศ เครือข่ายฟ้าดินจะไม่เปิดเผยว่าพวกเขาอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าพวกผู้บำเพ็ญลับได้รับเลือกเข้ามาทำงานนี้  

 

 

ไม่ใช่เพราะว่าเครือข่ายฟ้าดินจะใจร้ายใจดำ ไม่อยากปกป้องคนของตัวเองหรอกนะ ที่พวกเขาส่งหลี่ว์ซู่ไปครั้งนี้ด้วยก็เพราะอยากปกป้องนั่นแหละ  

 

 

แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ตอนนี้ด้วย ถึงสิ่งที่เครือข่ายฟ้าดินทำไปจะดูใจร้ายเย็นชา แต่ก็เพื่อปกป้องคนหมู่มากจากการกระทำของคนไม่กี่คนต่างหาก  

 

 

กระนั้นก็เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเดินทางขึ้นมาเสียอย่างนั้น รถอเนกประสงค์ทรงสูงที่จะใช้กันนั้นมีเก้าที่นั่ง แต่มีคนทั้งหมดสิบแปดคนในกลุ่ม นับรวมเซี่ยเหรินเซิงด้วย จริงๆ แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่เซี่ยเหรินเซิงลืมเรื่องกระเป๋าเดินทางที่ต้องขนขึ้นรถไปด้วยเสียสนิท  

 

 

รถสองคันที่นำมาไม่สามารถขนคนจำนวนสิบแปดคนและกระเป๋าเดินทางทั้งหมดได้ คงต้องเสียสละที่นั่งสามที่ด้านหลังเพื่อวางกระเป๋าเดินทาง แต่นั่นก็จะทำให้คนที่เหลือไม่มีที่นั่ง  

 

 

หลิวฝานนั้นเลือกนั่งที่เบาะหลังรถเรียบร้อยแล้ว “ฉันนั่งตรงนี้แหละ พวกนายเลือกกันเลยว่าจะนั่งตรงไหนกัน”  

 

 

เซี่ยเหรินเซิงกำลังคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี แล้วเขาก็ยกที่นั่งให้พวกนักเจรจาก่อน ที่สุดแล้วภารกิจนี้ก็คือการรักษาความปลอดภัยให้กับนักเจรจาสามคนนี้ละนะ งานของพวกเขาสำคัญกว่า และตำแหน่งก็สำคัญกว่าด้วย  

 

 

แต่เมื่อมาถึงหลี่ว์ซู่ เขาพบว่าไม่มีที่นั่งเหลือให้เขาแล้ว หลิวฝานเยาะเย้ย “หลี่เถิง หลังคารถว่างแน่ะ ไปนั่งสิ”  

 

 

หลังจากเรื่องเต้าหู้เหม็น พวกผู้บำเพ็ญลับก็รวมกลุ่มกันเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกนักเจรจาแล้วก็หลี่ว์ซู่ พวกเขาไปทำอะไรกับพวกนักเจรจามากไม่ได้เพราะเซี่ยเหรินเซิงหมายมั่นจะปกป้องพวกเขาเหลือเกิน แต่กับหลี่เถิงนั้นไม่เหมือนกัน เขาไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มของผู้บำเพ็ญลับ ก็เลยรังแกได้ง่ายหน่อย  

 

 

หลี่ว์ซู่เลยรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที เขาว่าจะไม่คิดมากเรื่องการปั๊มแต้มอารมณ์ตอนไปต่างประเทศแล้วนะ มีสำนวนจีนกล่าวไว้ว่าถึงหมู่แมกไม้จะปรารถนาความสงบ แต่สายลมไม่อาจหยุดโบกพัด ซึ่งแปลได้ว่าถแม้คนเราจะอยากหยุดนิ่ง ยึดติดกับอะไรเดิมๆ แต่โลกนี้กลับไม่หยุดหมุนเปลี่ยนแปลงหรอก  

 

 

หลี่ว์ซู่เพิ่งมาเข้าใจว่าคำพูดสำนวนนี้ค่อนข้างจะเหมาะกับสถานการณ์ของเขามากเลย เพราะเขาคือซู่  [1]  นี่นา เขาอยากจะอยู่สงบๆ แต่คนอื่นกลับดูจะไม่เข้าใจนะ!  

 

 

เฮอะ! หลี่ว์ซู่เปิดประตูฝั่งผู้โดยสารด้านหลังแล้วดึงตัวหลิวฝานออกมา หลิวฝานอยากจะฝืนแรงนั้นอยู่หรอก แต่เขากลับขยับไม่ได้เลย! เขาเคยคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นพวกรังแกได้ง่ายเสียอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น น่ารำคาญจริง!  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +199!]  

 

 

พลังของพวกผู้บำเพ็ญลับนั้นจะอยู่ราวระดับ E แต่หลิวฝานนั้นอยู่ที่ระดับ E ขั้นกลาง เขาคิดคำนวณไว้แล้วว่าพลังของหลี่ว์ซู่นั้นน่าจะอยู่ประมาณระดับ D ขั้นเริ่มต้น หรือไม่ก็แค่ขั้นกลางเท่านั้น!  

 

 

เขาไม่คิดเลยว่าพลังของหลี่ว์ซู่จะมากแบบนี้ เพราะในความคิดของเขานั้น พวกผู้บำเพ็ญลับไม่ได้มีพลังที่แตกต่างกันมาก แล้วหลี่เถิงก็เป็นผู้บำเพ็ญลับเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็คงไม่ต่างอะไรมากจากคนอื่นหรอก!  

 

 

เรื่องมันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรหากมีคนระดับ C หรือ B ปรากฏขึ้นมาในหมู่ผู้บำเพ็ญลับขึ้นมาจริงๆ ก็เรียกได้ว่าน่ากลัวไม่น้อย…  

 

 

หลิวฝานที่ยืนอยู่ข้างรถหัวเราะออกมาอย่างเยียบเย็น “น้องชาย เก็บอารมณ์ตอนอยู่ข้างนอกหน่อยนะ ถ้ายังไม่หยุด ระวังได้มีเรื่อง”  

 

 

หลี่ว์ซู่ได้ยินแบบนั้นแล้วก็คิดว่าไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด เขาเงียบก่อนตอบกลับ “แล้วทำไมผมต้องเก็บอารมณ์ตัวเองด้วย คุณต่างหากที่ควรเก็บอารมณ์ไม่ให้มาพูดเยาะเย้ยผมน่ะ”  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +666!]  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยจื่อเฉิน +666!]  

 

 

หลินกานอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลังกลับหัวเราะใส่ “คนแบบเดียวกันก็เป็นเหมือนๆ กันนั่นแหละ”  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเลย ทำไมเธอต้องพูดอะไรแบบนี้ด้วย พวกชนชั้นสูงต้องทำแบบนี้เสมอเลยเหรอ แต่ในสายตาของหลินกานอวี่แล้วเธอเห็นว่าการทะเลาะกันครั้งนี้เป็นเหมือนกับสุนัขทะเลาะกันเท่านั้นแหละ  

 

 

แต่คนที่หนักใจที่สุดคือเซี่ยเหรินเซิง เขาไม่เข้าใจเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีม แล้วทำไมต้องโชคร้ายมาเจอเรื่องแย่ๆ ตั้งแต่ก่อนไปต่างประเทศด้วยนะ เหนื่อยใจสุดๆ  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเซี่ยเหรินเซิง +99]  

 

 

พวกเขาจะต้องอยู่ในเมืองหลวงหนึ่งวันก่อนจะนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ เพราะแผนที่วางไว้ว่าจะเดินทางในอีกสามวันให้หลังถูกปรับเปลี่ยนใหม่ พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนตั๋วหลายๆ ที่ในคราวเดียวได้ แล้วทั้งทีมก็ยุ่งเหยิงกันมาก  

 

 

ก่อนหน้านี้ทุกคนคิดว่าแผนของเครือข่ายฟ้าดินนั้นล่มไม่เป็นท่า ดูจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตลอด แต่พวกเขาคิดว่าการเปลี่ยนวันเดินทางค่อนข้างส่งผลต่อแผนโดยรวม เพราะหลี่ว์ซู่อยากจะเป็นคนเปลี่ยนวันเอง  

 

 

พอทุกคนลงมาจากรถและกำลังจะเข้าไปในโรงแรม จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนถือไม้เท้าและสวมแว่นตาเดินเข้ามาหาหลินกานอวี่ เขาพูดว่า “สาวน้อยคนสวย ฉันไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแล้ว มีเงินบริจาคให้บ้างไหม”  

 

 

หลี่ว์ซู่คิดว่าหลินกานอวี่คงไม่ยอมให้เงินไปแน่ๆ แต่แล้วเธอก็ควักเงินสิบหยวนออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา  

 

 

หลี่ว์ซู่งุนงง เขารอจนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินออกไปก่อนพูดขึ้นว่า “เขาไม่ได้ขอเงินจากคนอื่นๆ ในบรรดาพวกเราเลยนะ ทั้งๆ ที่คนก็มีตั้งมากแท้ๆ ที่เขาเลือกขอคุณเพราะคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ดูขี้สงสารมากที่สุด ถ้าผู้ชายคนนั้นตาบอดจริงๆ ทำไมเขาถึงบอกว่าคุณสวยได้ล่ะ”  

 

 

หลินกานอวี่ฟังแบบนั้นก็อึ้งไปด้วยเหมือนกัน “ฉันโดนโกง! เงินสิบหยวนของฉัน!”  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลินกานอวี่ +299!]  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเลย เขาไม่ได้เป็นคนโกงเงินเธอนี่ ทำไมเขายังได้รับค่าอารมณ์อยู่ล่ะ!  

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะ “ผมว่าคุณก็ได้อะไรบางอย่างไปนะ เขาชมคุณว่าสวยด้วยราคาสิบหยวน แต่ผมไม่บอกหรอกว่าคุณน่ะสวย ถึงแม้ว่าผมจะได้หนึ่งร้อยหยวนก็ตาม อ๊ะ! ต่อให้เป็นหนึ่งพันหยวนยังไม่เอาเลย…”  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลินกานอวี่ +499!]  

 

 

พอหลี่ว์ซู่เห็นหลินกานอวี่ทำหน้าน่ากลัวเขาก็พอใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เสียหายที่จะกวนประสาทคนในกลุ่มนี้อยู่แล้วนี่ แต่แล้วหลินกานอวี่ก็ควักเงินหนึ่งพันหยวนออกมายื่นให้หลี่ว์ซู่…  

 

 

หลี่ว์ซู่พูด “คุณสวยมากเลย”  

 

 

“น้องชาย…” หลิวฝานและคนอื่นมองหลี่ว์ซู่ด้วยความดูแคลน หลินกานอวี่ไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ “ถึงจะได้เงินไปก็จริง แต่ไม่คิดจะมีศีลธรรมหน่อยเหรอ ถ้าให้ไปอีกหนึ่งพันหยวน คุณบอกว่าฉันหล่อได้ไหมล่ะ”  

 

 

“ถ้าอยากให้เรียกว่าสุดหล่อก็ต้องเพิ่มเงินอีกหน่อย… สักหมื่นหนึ่งกำลังดี” หลี่ว์ซู่พูดออกไปขณะที่เหลือบมองหลิวฝาน  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +666!]  

 

 

หลี่ว์ซู่กำลังมีความสุขในการได้รับค่าอารมณ์อยู่เลย เขาเข้าใกล้การจุดประกายดวงดาวดวงที่เจ็ดแล้ว จากนั้นเขาก็จะมีความสุขแบบไม่มีขีดจำกัดเลยล่ะ  

 

 

เขาไม่ได้รู้สึกแย่สักนิด เพราะสถานการณ์นั้นดำเนินไปในแบบที่เขาไม่ได้หวังอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างเขาก็ต้องการแต้มอารมณ์พวกนี้เพื่อการฝึกของเขาเอง  

 

 

แล้วในตอนที่พวกเขาเตรียมขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปประเทศรัสเซียเพื่อเจรจากับองค์กรที่ชื่อว่ากลุ่มหมีขาว เซี่ยเหรินเซิงก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนมาว่า [กลุ่มหมีขาวถูกกำจัดแล้ว…]  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  คำว่า ‘ซู่’ ในชื่อหลู่ว์ซู่เขียนแบบเดียวกันกับคำว่า ต้นไม้ ในภาษาจีน  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset