ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 643 จุดประกายดวงดาวดวงที่เจ็ด!

“ศัตรูโจมตี!”  

 

 

“อย่าเข้าไป! มันอาจมีพิษ!”  

 

 

กลิ่นนี้ช่างพิเศษไม่เหมือนใคร ไม่มีใครในฝ่ายศรัทธาเคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อน พวกเขาระแวดระวังแผนการจู่โจมขององค์กรอื่นมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่พวกเขาตกใจกับกลิ่นแปลกๆ แบบนั้น  

 

 

ทันใดนั้นพวกเขาก็ชักดาบออกมาจากใต้ผ้าคลุมเพื่อเตรียมโจมตี กระนั้นกลับไม่มีศัตรูหน้าไหนปรากฏตัวเลย มีแต่กล่องเต้าหู้เหม็นที่อยู่หลังประตูเท่านั้น…  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่ได้พักผ่อนเลยหลังจากเหตุการณ์เต้าหู้เหม็นเมื่อคืน เนื่องจากองค์กรต่างๆ เข้าพักในวิลล่าเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าเขาจะเอาเต้าหูเหม็นไปวางที่ไหนก็คงกวนประสาทคนได้เหมือนๆ กัน เขาเลยเอากล่องเต้าหู้เหม็นไปวางในวิลล่าที่ยังไม่มีใครอยู่แทน…  

 

 

[ได้แต้มอารม์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +666!]  

 

 

[ได้แต้มอารม์จาก…]  

 

 

พวกเขาติดกับแบบเดียวกันกับที่กลุ่มฟีนิกซ์เจอ ทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งเยาะเย้ยไปแท้ๆ … ใครเป็นคนทำกันละเนี่ย น่ารังเกียจจริงๆ!  

 

 

กลุ่มของฮาเวิร์ดที่ยังเดินออกไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่หัวเราะเยาะเย้ยเมื่อได้เห็นฉากนั้น ถึงพวกเขาจะโดนแผนนี้ไปแต่ก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าคนอื่นโดนแบบเดียวกัน  

 

 

จากนั้นฮาเวิร์ดก็หมุนตัวกลับไป ใบหน้าดำทะมึน “ไปหาตัวคนทำมา”  

 

 

ที่จริงแล้วกลุ่มฟีนิกซ์นั้นสนใจอยากร่วมงานกับ EO มาก เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาสามารถแทรกซึมเข้าไปใน EO ได้ช้าๆ และควบคุมองค์กรนี้เสมือนหุ่นเชิดในท้ายที่สุด พวกเขาเคยทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว  

 

 

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ชอบใจนักเมื่อใครที่ไหนไม่รู้มาทำให้แผนยุ่งเหยิงไปหมด  

 

 

กระนั้นก็ไม่มีใครสังเกตเลยว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่บนดาดฟ้าและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่แรก ตอนนี้หลี่ว์ซู่อารมณ์ดีมากๆ การโจมตีด้วยเต้าหู้เหม็นครั้งนี้ช่วยให้เขารวบรวมแต้มอารมณ์สำหรับกลุ่มดาวกลุ่มที่สามสำเร็จจนได้ เยี่ยมไปเลย!  

 

 

หลี่ว์ซู่เดินกลับห้องตัวเองแล้วแลกผลดวงดาวมา เขารออย่างใจเย็นขณะที่ดวงดาวดวงที่เจ็ดค่อยๆ ส่องประกาย อยากรู้จังว่ากระบี่บินเล่มที่สามจะเป็นอย่างไร หลี่ว์ซู่คาดหวังด้วยความตื่นเต้น  

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่มีกระบี่บินเพียงแค่เล่มเดียวกันเพราะพวกเขาไม่ได้มีพลังมากขนาดนั้น แถมกระบี่บินก็ยังหายากอีกด้วย สำหรับพวกที่อยู่ในหอเกียรติกระบี่ พวกเขาไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักเพราะพวกเขาสามารถใช้สายกระบี่มุ่งมั่นได้ ถึงจะสร้างกระบี่แบบนั้นออกมาได้ก็ไม่มีใครไปเอาขุมทรัพย์แห่งฟ้าดินมาเป็นที่ใส่กระบี่นั้นได้หรอก และนั่นก็เป็นต้นกำเนิดของกระบี่บินหยกขาวของหลี่เสียนอี  

 

 

อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่เองก็ไม่ต้องใช้ความพยายามหรือต้องใช้ทรัพยากรใดๆ ในการบำรุงรักษากระบี่ของเขา  

 

 

นอกจากนี้กระบี่ของเขายังใช้ได้ตามปกติอีกด้วย เพราะฉะนั้นยิ่งมีกระบี่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น  

 

 

ผลดวงดาวได้เปลี่ยนเป็นพลังดวงดาวเรียบร้อยแล้ว มันวิ่งเข้าไปในตัวหลี่ว์ซู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมุนวนเหมือนกับกาแล็กซีที่กวาดเอาดวงดาวที่ถูกจุดประกายเข้าไป แต่แล้วก็ดูจะมีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นตอนจุดประกายกลุ่มดาวที่สองสำเร็จ ดวงดาวดวงที่เจ็ดของกลุ่มดาวที่สามไม่หมุน แล้วก็ไม่ได้ส่องประกายสว่างที่สุดด้วย  

 

 

งั้นก็แปลว่าหลี่ว์ซู่ยังเลื่อนระดับไม่สำเร็จ!  

 

 

กระบี่เจ็ดเล่มที่ชื่อว่า กระบี่ซือโก่ว กระบี่ฝูฉื่อ กระบี่เชวี่ยอิน กระบี่ทุนเจ๋ย กระบี่เฟยตู๋ กระบี่ฉูซุ่ย และกระบี่โช่วเฟ่ย เป็นกระบี่ที่จะตอบสนองกับสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ทั้งความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรัก ความเกลียดชัง และความปรารถนาตามลำดับ งั้นครั้งนี้เขาคงต้องประสบกับอารมณ์เศร้าแน่ๆ  

 

 

จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็หยิบเอาอาวุธสามง่ามออกมาจากตราแผ่นดินและหักมันออกเป็นสองท่อนอย่างเด็ดขาด…  

 

 

ทว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่ว์ซู่เม้มปากด้วยความสับสน “อะไรเนี่ย ฉันก็เศร้าแล้วนะ…”  

 

 

หลี่ว์ซู่คิดอย่างหนักว่าจะผ่านการเพิ่มพลังนี้ไปได้อย่างไร สำหรับเขาแล้วการสูญเสียของของตัวเองไปนั้นเศร้าที่สุดแล้ว  

 

 

ไม่มีอะไรถเทียบการเลื่อนระดับได้เลย เขาต้องผ่านไปให้ได้ด้วยตัวเอง…  

 

 

แต่ทำไมพลังของเขายังไม่เพิ่มขึ้นล่ะ หอกสามง่ามนั่นก็หักไปแล้วนะ! หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด หรือเป็นเพราะ…เขายังเศร้าไม่พอเหรอ!  

 

 

หลี่ว์ซู่หักหอกสามง่ามอีกสี่เล่มด้วยน้ำตานองหน้า เล่มแรกอุทิศให้ดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้าในยามเช้า อีกเล่มให้ดวงจันทร์ อีกเล่มให้บ้านเกิด และเล่มนี้มอบให้กับความฝันของเขา…  

 

 

นี่มันเจ็บปวดใจมากนะ! แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มดาวที่สามอยู่ดี!  

 

 

เฮอะ! แม้แต่ความสามารถการบำเพ็ญของเขาก็ไว้ใจไม่ได้แล้วเหรอ…  

 

 

หลี่ว์ซู่โยนหอกสามง่ามหักๆ กลับเข้าไปในตราแผ่นดิน หวังว่าโกลาหลลูกชายเขาจะยอมหม่ำหอกหักๆ นะ… แต่ถึงยังไง จะหักหรือไม่หักก็ไม่น่าต่างอะไรกันเท่าไหร่ อย่างบิสกิตแตกๆ หรือช็อกโกแลตแตกๆ หรือต่อให้เป็นข้าวเกรียบกุ้งแตกๆ ก็ยังกินได้อยู่ เพราะงั้นก็คงเหมือนกันนั่นแหละ  

 

 

เหมือนที่สุภาษิตจีนว่าไว้ละนะ ลูกสาวต้องเลี้ยงดูด้วยของมีค่ามีราคา แต่ลูกชายไม่ต้อง เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ควรตามใจโกลาหลมาก มันต้องยอมรับอะไรที่เขามีอยู่ให้ได้  

 

 

พอคิดได้ดังนั้น หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกดีขึ้นมาทันตาเห็น เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีเก่งอยู่แล้ว  

 

 

กลับมาที่คำถามเดิม หลี่ว์ซู่สงสัยว่าเขาอาจจะจำลำดับผิด หรือกระบี่ลำดับที่สามจะไม่ใช่กระบี่เชวี่ยอินแต่เป็นอย่างอื่นกันนะ  

 

 

แต่เขาจะรู้ได้ไงละว่ามันคืออะไร! อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะกระตุ้นอารมณ์อื่นของตัวเองได้ยังไงด้วย!  

 

 

แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยเหรินเซิงร้องเรียกเขาจากด้านนอก “หลี่เถิง มารวมกันชั้นล่าง เดี๋ยวเราต้องไปเจรจาขั้นต้นกับ EO”  

 

 

“ได้ กำลังไปแล้ว!” หลี่ว์ซู่ทำอารมณ์เป็นปกติและรีบลงไปข้างล่าง  

 

 

พอเขาลงมาข้างล่างแล้วก็ได้ยินหลินกานอวี่กำลังพูดกับทุกคน “การเจรจาขั้นต้นนั้นสำคัญเหมือนกัน หวังว่าทุกคนจะช่วยทำให้เราสามคนทำงานอย่างราบรื่นนะ อย่าไปก่อเรื่องเสียล่ะ”  

 

 

เซี่ยเหรินเซิงเอ่ยเสริม “เมื่อคืนมีคนพยายามจะปั่นหัวองค์กรต่างๆ รวมถึงพวกเราด้วย แต่ยังดีที่แผนของเขาถูกเปิดโปงแล้ว อย่าลืมระวังการกระทำและคำพูดก่อนที่กองกำลังเสริมจะมาถึงนะ เราคงพอจะทำอะไรตามใจได้บ้างถ้าพวกเขามาอยู่กับพวกเราแล้ว”  

 

 

ขนาดผู้บำเพ็ญลับยังทำตัวกันดีๆ เลย เอาจริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเพราะมีระดับ C แค่คนเดียวในกลุ่ม แต่กลุ่มอื่นๆ มีหัวหน้าเป็นระดับ B กันทั้งนั้น แล้วก็มีใครคนหนึ่งพูดออกมาเบาๆ “ใครจะมาเป็นกองเสริมกลุ่มเราเหรอครับ”  

 

 

“ราชันฟ้าสักคนหนึ่งนี่แหละ มีระดับ B อยู่ไม่มากนี่นา เดาง่ายออก” ใครคนหนึ่งตอบขึ้นมาอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาจะได้ทำงานกับราชันฟ้า  

 

 

“องค์ท่านจะมาไหมนะ ฉันว่าเขาเหมาะกับงานนี้เลยแหละ”  

 

 

“เครือข่ายฟ้าดินไม่น่าจะส่งระดับ A มานะ ราชันฟ้าระดับ A สำคัญมาก ถ้าส่งมาทำอะไรแบบนี้คงเสียเกียรติแย่ ฉันว่าก็คงเป็นองค์ท่านแหละ เพราะท่านเป็นคนรับผิดชอบเรื่องงานต่างประเทศนี่”  

 

 

“แล้ว…ท่านที่เคารพล่ะ” อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งพูดขี้นมา “ท่านที่เคารพเองก็มาจากเครือข่ายฟ้าดินด้วยไม่ใช่เหรอ คงเจ๋งน่าดูถ้าเขามา ลุงๆ ที่ตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 บอกว่าท่านที่เคารพใจดีกับผู้บำเพ็ญลับมากนะ ถึงจะปากไม่ดีแล้วก็อารมณ์เสียง่ายก็เถอะ ว่ากันว่าท่านที่เคารพน่ะช่วยหาเงินได้เยอะเลย แต่องค์ท่านน่ะทำไม่ได้”  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset