ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 667 ตัวจริงเปิดเผยง่ายๆ เลยซะงั้น!

ในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังมองนกฟีนิกซ์ไฟนอนสงบอยู่ในไม้อู่ถงอยู่นั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่านกฟีนิกซ์นี้เหมือนเจ้าโกลาหลเลยเพราะเขาสามารถสื่อสารกับมันผ่านจิตได้

 

 

และยังมีอีกอย่างที่เหมือนกับเจ้าโกลาหลก็คือหลี่ว์ซู่ไม่สามารถปลุกมันได้ถ้ามันกำลังหลับอยู่

 

 

ในเมื่อเขามีทั้งนกฟีนิกซ์ไฟและเจ้าโกลาหลแต่ทำไมเขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดีนะ! แถมไฟสีขาวของเขาก็หลับแน่นิ่งไปแล้วด้วย หลี่ว์ซู่ก็ไม่เห็นว่ามันจะกระทบพลังต่อสู้ของเขาเท่าไหร่นัก ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เป็นเจ้าของอาวุธพวกนี้มาก่อนอยู่แล้วนี่ แต่ทำไมเขายังรู้สึกว่ามันมีอะไรหายไปอยู่ดีนะ

 

 

ถึงเปลวไฟสีขาวของเขาจะไม่ได้แสดงตนโจ่งแจ้งว่าตัวเองมีตัวตนอยู่ แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่มีมันอยู่เหมือนกัน มันไม่เคยจะทำให้เขาเสียใจเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาปะทุพลังขณะโดนรถชน ตอนที่เหลียงเช่อพยายามจะฆ่าเขา หรือครั้งล่าสุดที่เขาเผชิญหน้ากับฮาเวิร์ดก็ตาม มันช่วยให้เขายับยั้งความสามารถของไฟอื่นๆ ได้ตลอด

 

 

แล้วตอนนี้ในตราแผ่นดินของเขาก็มีแต่เหตุการณ์ยุ่งๆ เต็มไปหมด หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าจะมีอัจฉริยะคนไหนที่ใช้ประโยชน์จากพวกมันได้

 

 

หลี่ว์ซู่เก็บไม้อู่ถงลงไปในตราแผ่นดิน ตอนนี้นกฟีนิกซ์ไฟก็กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาแล้ว เขาตัดสินใจว่าจะไม่ตั้งชื่อของมันเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเกิดวันหนึ่งเขาปลอมตัวเป็นเฉินไป่หลี่แล้วตะโกนออกมาว่า ‘ฟีนิกซ์’ จบแล้วเกิดตายขึ้นมาล่ะ

 

 

แล้วเขาจะเรียกมันว่าอะไรดีนะ หลี่ว์ซู่ใช้เวลาคิดประมาณสองวินาทีแล้วก็ตั้งชื่อให้มันว่าเยี่ยนหั่ว ชื่อเยี่ยนหั่วที่แปลว่าพลุไฟและกับฮุ่นตุ้นที่แปลว่าโกลาหลนี่ช่างดูเข้ากันจริงๆ แหม อย่างกับเป็นฝาแฝดแน่ะ

 

 

แล้วในขณะที่เขาเก็บไม้อู่ถงลงไปอยู่นั้น กระบี่เฉิงอิ่งและน้ำเต้าบิดคอก็เข้าไปใกล้กับไม้อู่ถงอย่างน่าพิศวง เหมือนกับว่าพวกมันเป็นญาติที่มาเฝ้าเด็กเกิดใหม่อย่างนั้นแหละ

 

 

น้ำเต้าบิดคอนั้นถึงกับพ่นไฟออกไปที่ไม้อู่ถงด้วย แต่ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ กลับมา…

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่ก็ทำหน้าอารมณ์เสียขึ้นมา ปกติแกก็ไว้ใจอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้วนะ แค่มองเฉยๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมจะต้องขี้สงสัยมากขนาดนี้ด้วย! น้ำเต้าบิดคอนี่เริ่มจะทำตัวไม่สนใจหลี่ว์ซู่เข้าไปทุกวันแล้ว ตั้งแต่ที่หลี่ว์ซู่เอามันมาเป็นกำบังจากการลงโทษของสวรรค์แล้วหลี่ว์ซู่ก็เพิ่งเห็นมันจะกระตือรือร้นขึ้นมานี่แหละ

 

 

จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ปลอมตัวเป็นหลี่เถิงอีกรอบแล้วมุ่งหน้ากลับไป ถึงเวลาจะเที่ยงคืนแล้วแต่ไฟในวิลล่าก็ยังคงสว่างอยู่ ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีคนเข้านอนเลย

 

 

หลี่ว์ซู่เก็บรวบรวมของที่ได้จากแหวนมิติของฮาเวิร์ด และเขาก็นึกได้ว่าฮาเวิร์ดเก็บธนบัตรใบละยี่สิบดอลลาร์ไว้หมดเลยนี่นา!

 

 

ใบละยี่สิบดอลลาร์เนี่ยนะ เป็นถึงผู้รับผิดชอบองค์การต่างประเทศขององค์กรใหญ่แต่มีธนบัตรแค่นี้ บ้าไปแล้วหรือเปล่า

 

 

จะโทษหลี่ว์ซู่ที่เขาตกใจมากขนาดนี้ไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่เคยไปประเทศอเมริกามาก่อน เขาก็เลยเข้าใจว่าธนบัตรยี่สิบดอลลาร์นั้นมันก็แค่เงินพกติดตัวนิดหน่อย แต่แท้ที่จริงแล้วมันมีค่าเท่ากับร้อยหยวนเลยทีเดียว และพวกคนในท้องถิ่นก็ใช้ธนบัตรยี่สิบดอลลาร์กันทั้งนั้น

 

 

ถ้ากดเงินจากตู้เอทีเอ็มมาเป็นจำนวนห้าร้อยดอลลาร์แล้ว จะได้รับธนบัตรมาเป็นใบละยี่สิบดอลลาร์จำนวนยี่สิบห้าใบแทนที่จะได้มาเป็นธนบัตรใบละร้อยดอลลาร์จำนวนห้าใบ

 

 

แล้วถ้าจ่ายเงินสดด้วยธนบัตรใบละร้อยดอลลาร์ที่ร้านอาหารล่ะก็ คนรับเงินก็คงจะตกใจมากๆ เพราะมันเป็นธนบัตรที่ไม่ค่อยใช้กันทั่วไป

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ไม่รู้เรื่องนี้เขาก็เลยดูถูกฮาเวิร์ดไป ขนาดจะหาคนที่ให้ธนบัตรใบละยี่สิบดอลลาร์ในวันปีใหม่ยังหายากเลย! องค์กรนี้มันอะไรกันเนี่ย!

 

 

แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็ได้กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเตะจมูกเข้าอย่างจังมาจากในวิลล่า แต่ดูเหมือนบะหมี่นี้จะมีรสชาติแปลกๆ น่ะสิ

 

 

เมื่อสองปีก่อนตอนที่พวกเขายังจนอยู่หลี่ว์ซู่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อยมาก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ชอบกินบะหมี่สำเร็จรูปเหมือนกันเพราะมันอร่อย

 

 

หลี่ว์ซู่จำได้ว่าคืนที่เขาปะทุพลังนั้นเขาได้ออกไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ตอนนั้นการได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับพวกเขาก็เหมือนการได้ฉลองปีใหม่

 

 

พูดถึงอดีตแบบนั้นแล้วหลี่ว์ซู่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะร้องไห้หรือหัวเราะกับมันดี เขาไม่รู้เลยว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปไหนแล้ว เขาพยายามจะเสกร่างแยกของเขาออกมาแต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับไม่รับคำขอนั้น

 

 

วิธีนี้เป็นวิธีที่แปลกทีเดียว ทั้งหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะต้องยินยอมทั้งคู่เพื่อที่จะให้ร่างแยกมันทำงานได้ ถ้ามีใครคนหนึ่งปฏิเสธก็จะเสกมันขึ้นมาไม่ได้

 

 

หลี่ว์ซู่เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดี เพราะตอนนี้เริ่มมีชื่อแปลกๆ ปรากฏขึ้นมาในบันทึกแต้มอารมณ์ของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เป็นชื่อภาษาอังกฤษซึ่งไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ หลี่ว์ซู่อ่านชื่อไม่ค่อยออกด้วยซ้ำ เขาเอาชื่อไปเสิร์ชหาออนไลน์แต่ก็ไม่เจอ

 

 

มีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หายไปไหน

 

 

จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เดินมาในห้องโถงและเห็นกลุ่มคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ทุกๆ คนมีถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ในมือ หลิวฟ่านยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพวกนี้จะรสชาติแปลกๆ แถมยังน่าจะเป็นของปลอมอีก แต่พวกเราก็โชคดีมากที่ได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันในแอฟริกาแบบนี้นะ ถือว่าฉันเลี้ยงแล้วกันนะ ถ้าอยากกินกันอีกเดี๋ยวซื้ออีกได้ แต่พรุ่งนี้จะซื้อไม่ได้แล้ว เจ้าของร้านบอกว่าฉันซื้อไปเกลี้ยงเลย แล้วพวกเขาก็ต้องเติมของกันใหม่ด้วยล่ะ!”

 

 

หลี่ว์ซู่มองดูตัวหนังสือที่อยู่บนซองบะหมี่ ฮ่าๆๆ ของปลอมแน่เลยล่ะ

 

 

แต่เขาไปเดินรอบเมืองนี้มาแล้วและรู้ว่ามีแต่ร้านของจ้าวหย่งเฉินเท่านั้นที่ขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

 

 

งั้นอย่าบอกนะว่าหน่วยข่าวกรองในแอฟริกาขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปลอมน่ะ! นี่มันเหมาะสมแล้วเหรอ เครือข่ายฟ้าช่วยส่งคนดีๆ ไปต่างประเทศหน่อยได้หรือเปล่าเนี่ย!

 

 

แล้วพอหลิวฟ่านเห็นหลี่ว์ซู่เดินออกไปจากห้องเขาก็ยิ้มและพูดออกมา “ขอโทษทีนะหลี่เถิง บะหมี่มีพอสำหรับคนที่อยู่ที่นี่เท่านั้นน่ะ มีไม่พอสำหรับนายหรอก”

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินกลับไปที่ห้องตัวเองแล้วเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาสองถ้วย ถ้วยแรกเป็นรสผักกาดขาวดอง และอีกถ้วยมีเนื้อวัวผสมอยู่ สุดท้ายแล้วพวกนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าของเขากันแน่

 

 

เมื่อกลิ่นของผักกาดขาวดองส่งกลิ่นไปทั่วห้อง หลี่ว์ซู่ก็เริ่มได้รับแต้มอารมณ์มาเรื่อยๆ แล้ว หลีอีเสี้ยวมองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปลอมในมือตัวเองแล้วเม้มปาก

 

 

“นี่น้องชาย ขอถ้วยหนึ่งได้ไหมล่ะ”

 

 

“ไม่ล่ะครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริงและปฏิเสธเขาออกไปอย่างเนียนๆ

 

 

[ได้แต้มจากหลีอีเสี้ยว +166…]

 

 

หลีอีเสี้ยวอารมณ์เสียขึ้นมาทันที เขาเป็นถึงราชันฟ้า แล้วเขาจะทำอย่างไรเมื่อเขาอยากกินบะหม่สำเร็จรูปสักถ้วยล่ะ

 

 

“น้องชาย นายมีบะหมี่ตั้งสองถ้วยนะ”

 

 

“ก็ผมชอบกินแบบหม้อไฟนี่ครับ มีปัญหาอะไรไหมครับ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างเริงร่า

 

 

หลิวฟ่านมองดูบะหมี่สองถ้วยในมือหลี่ว์ซู่ เขาพูดเรื่องหม้อไฟอะไรของเขากันนะ แต่ที่สำคัญก็คือเขาถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของจริงที่ไม่ใช่ของปลอมที่พวกเขากินกัน รสชาติมันก็ต้องแตกต่างกันสุดๆ อยู่แล้ว

 

 

ซุปบะหมี่แถบนี้มันก็อร่อยดีอยู่หรอก แต่บะหมี่น่ะไร้รสชาติ

 

 

ขณะที่หลี่ว์ซู่พูดอยู่นั้นหลี่อีเสี้ยวก็ลากหลี่ว์ซู่เข้าไปในห้องทันที เขาล็อกประตูแล้วถามออกมา “หลี่ว์ซู่ นั่นนายใช่ไหม ช่วยฉันหาเงินหน่อย ตอนนี้จนไม่ไหวแล้วเนี่ย! รู้ไหมว่าน่าหลานเชวี่ยเขี้ยวมากขนาดไหน เงินเก็บที่ซ่อนไว้ของฉันถูกนายแล้วก็เสี่ยวอวี๋เจอจนหมด รับผิดชอบเลยนะ!”

 

 

ขณะที่หลี่อีเสี้ยวพูดออกไปนั้น เขาก็รู้ว่าเขาทายถูกแน่ๆ แล้ว เขาแน่ใจว่านี่ต้องใช่หลี่ว์ซู่มาตั้งแต่แรกแล้ว และเมื่อหลี่ว์ซู่ได้ยินก็เงียบไป

 

 

“นี่รู้ตัวจริงผมง่ายๆ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ!”

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset