ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 672 จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง

“ผมบอกไปแล้วครับ บอกตามที่คุณสั่งตามนั้นเลย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นะครับ”  

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นคนอย่างนี้ล่ะ จะให้พูดแค่สองสามประโยคก็ยังไม่เข้าหัวเขาหรอก แล้วสองวันที่ผ่านมานี่เขามีปฏิกิริยาอะไรบ้างหรือเปล่า” เนี่ยถิงถาม  

 

 

“เขาให้ผมไปหาว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนที่เพิ่งมาในแอฟริกาเป็นใครครับ” จ้าวหย่งเฉินตอบ  

 

 

“งั้นไปทำตามนั้น” เนี่ยถิงพูดเสร็จก็หยิบชามข้าวต้มลูกเดือยที่สือเสวจิ้นเตรียมไว้ขึ้นมาวางข้างหน้าเขา “แล้วเขาพูดอะไรอีกหรือเปล่า”  

 

 

“คืนนี้เขาเพิ่งพูดว่าเนี่ยถิงเป็นตัวการอยู่เบื้องหลังคำพูดที่ผมพูดไว้แน่ๆ วันหลังอย่าไปทำตามใจคนที่ชอบแกล้งคนอื่นแบบนี้อีก” จ้าวหย่งเฉินพูดออกไปอย่างลังเล  

 

 

“เขาเรียกฉันว่าคนชอบแกล้งคนอื่นอย่างนั้นเหรอ!” เนี่ยถิงเลิกคิ้ว  

 

 

[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +599…]  

 

 

“แล้วเขาพูดอะไรอีก” เนี่ยถิงถามและนวดขมับตัวเอง จ้าวหย่งเฉินหยุดไปครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา  

 

 

“มาสู้กันเถอะ! เขาบอกไว้ตามนี้เลยครับ”  

 

 

[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +599…]  

 

 

ทันใดนั้นจ้าวหย่งเฉินก็เห็นผู้ชายมีเคราปรากฏขึ้นมาในจอกล้องวงจรปิดที่เขาซ่อนไว้ใต้เคาน์เตอร์ กล้องถูกติดตั้งไว้ในรังนกบนต้นไม้ห่างออกไปจากซุปเปอร์มาร์เก็ตประมาณห้าร้อยเมตร ตรงนั้นมีเสาไฟสีเหลืองอยู่  

 

 

รังนกที่ว่านั้นเป็นของปลอม แต่บางครั้งก็มีนกมาอยู่ในรังใกล้ๆ และมีขี้นกมาเปื้อนกล้องบ้าง จ้าวหย่งเฉินอารมณ์เสียและคิดเสียใจที่ไปตั้งกล้องวงจรปิดไว้ตรงนั้น อย่างไรก็ตามเขาก็หาที่เหมาะๆ ซ่อนกล้องที่อื่นไม่เจอแล้ว  

 

 

จ้าวหย่งเฉินเบิกตาจ้องมองไปที่ผู้ชายผิวขาวมีเคราคนนั้น เขาเงยหน้าแล้วยิ้มให้กับกล้อง รอยยิ้มนั้นช่างดูมั่นใจราวกับว่าเขากำลังยิ้มให้จ้าวหย่งเฉินเอง รอยยิ้มของเขาดูหยิ่งยโสและเ**้ยมโหด  

 

 

เขาไม่สนใจจ้าวหย่งเฉินที่กำลังมองเขาอยู่หลังกล้องนี้เลย ผู้เชี่ยวชาญระดับ B มีทั้งหมดด้วยกันสามคน และหนึ่งในนั้นมีชื่อว่ากรีเออร์ คุก  

 

 

ทันใดนั้นก็มีเมฆสีเทาก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าและฝนก็เริ่มตกลงมาห่าใหญ่ เนี่ยถิงได้ยินจ้าวหย่งเฉินหายใจเสียงดัง  

 

 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”  

 

 

“ราชันฟ้าเนี่ยครับ ผมโดนจับได้แล้ว” จ้าวหย่งเฉินพูดเบาๆ “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ห้าปีแล้วตั้งแต่กลับจีนไปครั้งนั้น ตอนนี้ที่จีนเข้าฤดูใบไม้ผลิหรือยังครับ ที่แอฟริกานี่ร้อนอย่างกับอยู่ในนรกเลย”  

 

 

“อยู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว กำลังจะเข้าฤดูร้อน จักจั่นเริ่มร้องกันแล้ว” เนี่ยถิงเผลอขยี้ถ้วยข้าวต้มลูกเดือยไปข้างตัว ข้าวต้มถ้วยนั้นหล่นลงไปบนพื้นและข้าวต้มลูกเดือยที่อยู่ข้างในก็หกเลอะเทอะ  

 

 

“แล้วต้นวอลนัทในหลิวไห่ก็กำลังมีดอกไม้บานแล้วใช่ไหมครับ ผมไม่ได้ไปที่นั่นมานานเลย”  

 

 

จ้าวหย่งเฉินออกมาจากที่เครือข่ายฟ้าดินได้ห้าปีแล้ว ตอนที่ถนนหลิวไห่ยังเต็มไปด้วยอันตราย จากนั้นเขาก็อยู่แอฟริกาคนเดียวมาห้าปี ตอนที่เขาจากมานั้นเมืองหลวงยังเป็นฤดูใบไม้ร่วงอยู่  

 

 

ตอนที่เขาออกมาจากเมืองหลวงนั้นเขาได้หันมามองเมืองนี้อีกครั้ง มันรู้สึกเหมือนว่านี่จะเป็นการจากลาตลอดไป เหมือนกับว่าเขาจะต้องล่องเรือไปในทะเลคนเดียวโดยไม่มีวันกำหนดกลับ  

 

 

เขานึกถึงว่ามีม้าที่กำลังวิ่งช้าๆ บนถนนเก่าแก่ของฉางอัน มีเสียงจักจั่นร้องเรไรมาจากต้นหลิว มีลมเย็นๆ ของฤดูใบไม้ร่วงพัดมาใต้แสงตะวันยามเย็น เขามองออกไปจนสุดขอบฟ้าและเห็นพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไป  

 

 

เนี่ยถิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองดูต้นวอลนัทข้างบนศีรษะของเขา ดอกของต้นวอลนัทนั้นสวยงามกว่าของต้นไหนๆ  

 

 

“วิ่งหนีออกมาซะ นายได้รับอนุญาตให้เปิดเผยตัวตนของนายแล้ว”  

 

 

“หนีไม่ได้แล้วล่ะครับ ดูแลตัวเองดีๆ นะครับราชันฟ้าเนี่ย” หลังจากเขาพูดจบแล้วก็วางหูโทรศัพท์ไปทันที  

 

 

จากนั้นฝั่งจ้าวหย่งเฉินก็มีแต่ความเงียบ เขาเอาห่อบุหรี่ของปลอมออกมาสูบแล้วสำลักไป “สมควรโดนแล้วสินะฉัน ก็หลอกขายของปลอมมาได้ตั้งนานนี่”  

 

 

จ้าวหย่งเฉินกดปุ่มหนึ่งบนโทรศพท์มือถือของเขา แล้วก็มีหน้าต่างใหม่ปรากฏขึ้นมาบนจอ มันเป็นนาฬิกาจับเวลาถอยหลังเป็นเวลาหนึ่งนาที เขากดส่งข้อความออกไปอย่างรวดเร็ว  

 

 

[ระบบการส่งข้อความถูกเปิดใช้งานแล้ว ขอให้ทุกคนรายงานสถานะของตัวเอง]  

 

 

[ปลอดภัย]  

 

 

[ปลอดภัย]  

 

 

[ปลอดภัย]  

 

 

ทุกคนที่ได้รับข้อความนี้รู้ว่าเมื่อระบบการส่งข้อความถูกเปิดใช้งานแล้วแปลว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ทันใดนั้นทุกคนก็เงียบกันหมด มีเวลาเหลือเพียงหนึ่งนาทีเพื่อให้สื่อสารกันเท่านั้น จ้าวหย่งเฉินส่งข้อความไปอีกหนึ่งข้อความ  

 

 

[อีกหนึ่งเดือนให้หลังจะมีคนมาทำงานแทนฉัน ขอให้ทุกคนอยู่ประจำที่ด้วยความสงบ]  

 

 

[รับทราบ]  

 

 

[รับทราบ]  

 

 

[รับทราบ]  

 

 

[ขอบคุณทุกคนสำหรับการร่วมงานด้วยใจจริงเป็นเวลาผ่านมาหลายปี แล้วเจอกันจนกว่าจะพบกันอีกครั้ง]  

 

 

[จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง]  

 

 

[จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง]  

 

 

[จนกว่าจะพบกันอีกครั้ง]  

 

 

เวลาหนึ่งนาทีได้หมดลงแล้ว มีควันสีเขียวพวยพุ่งออกมาโทรศัพท์ของจ้าวหย่งเฉิน ระบบทำลายตัวเองได้สำเร็จแล้ว  

 

 

เขาทิ้งบุหรี่ของปลอมลงบนพื้นแล้วใช้เท้าขยี้มัน เขาไม่มีไฟล์ให้ทำลายทิ้ง อะไรที่ควรจะลบออกไปก็ได้ถูกกำจัดหมดเรียบร้อย เขาเรียนรู้ที่จะจำข้อมูลไว้ในหัวเอาหลังจากมีประสบการณ์ทำงานมาหลายปี  

 

 

หน้าของจ้าวหย่งเฉินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงและพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างคงที่ ในเครือข่ายฟ้าดินชอบพูดกันเล่นๆ ว่าการเพิ่มพลังของตัวเองเพื่อเลื่อนขั้นระดับนั้นเป็นสิ่งประเสริฐมากในโลกแห่งการบำเพ็ญ แต่สำหรับจ้าวหย่งเฉินแล้วการทำแบบนี้ไม่ได้เป็นการเผาชีวิตตัวเองทิ้ง แต่เป็นการเผาศักดิ์ศรีครั้งสุดท้ายของตัวเองต่างหาก  

 

 

และการเลื่อนเป็นระดับ B เป็นปลอมๆ นี่ก็ถือเป็นขีดจำกัดขั้นสูงสุดของจ้าวหย่งเฉินแล้ว  

 

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา แล้วจ้าวหย่งเฉินก็หัวเราะ  

 

 

“ตลกจัง ก็รู้นี่ว่าใครอยู่ข้างในแล้วจะเคาะประตูทำไมกัน”  

 

 

ทันใดนั้นจ้าวหย่งเฉินก็ปล่อยกระบี่บินออกมา กระบี่คมๆ นั้นบินพุ่งไปที่คนที่อยู่ข้างนอกประตู เขาถือหอกยาวแล้วรุดไปข้างนอกด้วยเหมือนกัน  

 

 

กระบี่สีแดงบินออกทะลุออกไปจากกระจกของซุปเปอร์มาร์เก็ต มันบินฝ่าฝนไปราวกับว่าเวลาได้หยุดลงชั่วขณะ กระบี่บินนั้นตัดผ่านฝนไปปรากฏที่กรีเออร์  

 

 

แล้วเม็ดฝนที่ตกลงมาก็ดูเหมือนจะมีชีวิต มันรวมตัวเข้าด้วยกันเป็นเกราะกำบังให้กรีเออร์ และเหมือนกับว่าจิตสังหารนั้นจะถูกส่งออกมาใต้เม็ดฝนพวกนั้น  

 

 

กรีเออร์ยิ้มออกมา เขาก้าวไปข้างหลัง เม็ดฝนยังคงรวมตัวกันเรื่อยๆ เป็นม่านน้ำไม่ให้กระบี่บินสีแดงเข้ามาโจมตีได้  

 

 

แล้วหลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา จ้าวหย่งเฉินชักกระบี่ออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง อุณหภูมิของเขาลดลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายฝน พื้นที่ถูกแดดส่องมาทั้งวันพอโดนฝนตกใส่ก็มีไอน้ำลอยขึ้นมา  

 

 

จ้าวหย่งเฉินฟาดกระบี่ออกไปข้างหน้า เขาทำลายม่านน้ำนั่นได้แล้วเข้าไปประชิดตัวกรีเออร์จนตัดหนวดกรีเออร์ขาดออกไป  

 

 

กรีเออร์ที่ยิ้มมาตลอดกลับมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที “ไม่กลัวตายอย่างนั้นสินะ”  

 

 

“จะกลัวตายหรือไม่กลัวตายก็ไม่สำคัญหรอก ฉันจะตายคืนนี้ก็ไม่สำคัญเหมือนกัน แต่โลกอันกว้างใหญ่นี้จะไม่มีที่เหลือให้นายอยู่ในคืนนี้แน่นอน” จ้าวหย่งเฉินพูดช้าๆ  

 

 

“แกประเมินค่าเครือข่ายฟ้าดินสูงเกินไปแล้ว”  

 

 

“แล้วแกก็ประเมินค่าตัวเองสูงไปด้วย”  

 

 

แล้วกระบี่บินพุ่งออกไปในอากาศราวกับมังกรบิน!  

 

 

ขณะที่กรีเออร์พยายามปกป้องตัวเองอยู่นั้นเขาก็เห็นกระบี่สีแดงแยกออกเป็นสองเล่ม ทั้งสองเล่มบินไปข้างหลังกรีเออร์อย่างเร็ว หลายๆ คนรู้ว่ากระบี่บินของเครือข่ายฟ้าดินนั้นหาใครเทียบได้ยาก กระบี่พวกนี้ฆ่าคนสิบคนได้ในการต่อสู้ที่สูสี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมแอนโธนีได้แอบไปหลบตอนที่เฉินไป่หลี่ใช้กระบี่บินแม้เฉินไป่หลี่จะเหนื่อยมากแล้วก็ตาม ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน กระบี่บินก็จะเอาชนะพวกเขาได้ในที่สุด  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset