นานเท่าไหร่แล้วนะตั้งแต่เขาเจอคอรัลครั้งสุดท้าย คงจะเป็นตอนที่อยู่ในญี่ปุ่นสินะ ตอนเขาหมดสติไปหลังจากต่อสู้กับกลุ่มทวยเทพ หลังจากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาที่บ้านบนถนนหลิวไห่และไม่ได้เจอเธออีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น
บางครั้งหลี่ว์ซู่ก็อดชื่นชมคอรัลไม่ได้ในความกล้าของเธอที่มาบุกกลุ่มทวยเทพด้วยหุ่นอัศวินสองตัวเพื่อแก้แค้นให้เขา ตอนนั้นเขาไม่เห็นแววกลัวตายในตาของเธอด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนเขาล้อเรื่องโรแมนติกน้ำเน่าไว้เยอะ หลี่ว์ซู่ไม่เชื่อเลยว่าเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหรือพวกความรู้สึกที่สุดจะลึกล้ำเหนือการมีชีวิตอยู่จะมีอยู่จริง แต่เมื่อหลี่ว์ซู่ได้เข้ามาสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้วเขาก็เข้าใจว่าคนที่ตั้งใจจะรออีกคนหนึ่งไปตลอดกาลในแม่น้ำแห่งเวลาและโชคชะตานั้นมีอยู่จริง ๆ
เขาเห็นแก่ตัวเอง เขาไม่เชื่อเรื่องความรู้สึกและอารมณ์เพราะเขาคิดว่าคนพวกนั้นคงจะหายไปเองตามกาลเวลา
บางคนก็เปิดใจรับคนอื่นเข้ามาง่ายๆ เวลาที่มีคนแสดงความรักให้เพียงเล็กน้อย เรื่องแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับความจริงใจหรอก ก็แค่ความเหงาเท่านั้นเอง
แล้วหลี่ว์ซู่เหงาหรือเปล่าน่ะเหรอ ก็ไม่หรอก เพราะเขามีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋แล้ว ไม่ว่าโลกนี้จะโหดร้ายมากแค่ไหนแต่เขาไม่เคยบอกเธอเลยว่ามีคนบ่นเรื่องรสชาติของไข่ต้มที่เขาเอาไปขาย ว่าเขาใส่น้ำส้มสายชูมากเกินไปในซอสที่เขาเสิร์ฟลูกค้า หรือจะเป็นตอนที่เขารู้ตัวทีหลังว่าลูกค้าจ่ายเงินปลอมมาให้เขา
แต่เสี่ยวอวี๋รู้ทั้งหมดนั่นแหละ
หลี่ว์ซู่อยากจะลืมอดีตไปให้หมด เขายังไม่แน่ใจเลยว่าคอรัลจะยิ้มให้เขาอย่างที่เคยยิ้มให้มาก่อนหรือเปล่า แต่งานของเขาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความรู้สึกอยู่แล้ว เขาอยากจะตอบแทนบุญคุณของเธอที่เธอเคยปกป้องชีวิตเขามาก่อน และแบกเขาในป้อมปราการของกลุ่มทวยเทพเพื่อไปเอาศพหลิวซิ่วถึงตอนนั้นเธอจะบาดเจ็บไปทั้งร่างก็ตาม
หลี่ว์ซู่รอต้อนรับกลุ่มของคอรัลอยู่ไกลๆ แต่แล้วเขาก็เห็นว่าพวกลูกน้องของฟรานเชสโก้ก็เริ่มเคลื่อนไหวเหมือนกัน พวกมันแยกย้ายกันออกไปตามหลังกลุ่มเทวาแบบห่าง ๆ
หลี่ว์ซู่ทำตัวเหมือนว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาและมองหาแผงขายอาหารตามถนน แต่เขาไม่ได้หยุดเดินเลย
อาหารของซาร์ดิเนียนั้นแตกต่างจากที่อื่นๆ พวกเขามีอาหารทะเลอยู่มากมายเพราะเมืองอยู่ใกล้ทะเล แต่อาหารจานเด็ดที่สุดก็คือหมูหันเสียบแท่งเหล็ก แต่ถึงวิธีการทำอาหารของทางยุโรปจะโด่งดังขนาดไหน พวกคนจีนส่วนใหญ่ก็ยังคิดถึงอาหารจากบ้านเกินอยู่ดีหลังจากลองอาหารพื้นเมืองที่นี่แล้ว…
รอบข้างนั้นไม่มีตึกสูงๆ อยู่เลย ตึกที่สูงที่สุดในเมืองนี้เห็นจะสูงได้แค่สี่ชั้นเท่านั้น เมื่อหลี่ว์ซู่เดินตามกลุ่มเทวาไปเรื่อยๆ เขาก็เห็นว่าคอรัลหันมามองทางเขา
แต่เธอก็มองไม่เห็นใครเลย คอรัลสับสน เธอรู้สึกได้ถึงบางอย่าง เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่อบอุ่นตามเธอมา…
แล้วผู้ชายข้างหลังคอรัลก็เห็นเธอมีท่าทางแปลกๆ เลยถามขึ้นมา “มีอะไรเหรอ” เขาถาม
“ไม่มีอะไรหรอก คิดว่าเจอคนรู้จักน่ะ” คอรัลตอบ เธอส่ายหัวอย่างช้าๆ สีหน้าของเธอดูไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนว่าเธอจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่
ชายคนนั้นดูจะคุ้นเคยกับคำพูดของเธอดี เขาตอบกลับมาอย่างสบายๆ ว่า
“เธอบาดเจ็บสาหัสตอนที่อยู่ในกลุ่มทวยเทพเพื่อเขาคนนั้น จนป่านนี้แล้วรอยแตกบนกุงเนียร์ยังไม่สมานได้เลย แล้วเขาคนนั้นล่ะ ผ่านมาตั้งนานแล้ว เขาได้แสดงความเป็นห่วงบ้างหรือเปล่า ไม่เลยสักครั้งเดียว! ฉันรู้ว่าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวเธอไม่ได้เพราะเธอเป็นหัวหน้ากลุ่มเทวา แต่พวกเรารู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับเธอเลยสักนิด”
คอรัลพูดอย่างใจเย็นขณะก้าวเดินไปข้างหน้า “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการไปเอาตัวอย่างของต้นไม้แห่งโลกมา พวกเราหาวิธีสกัดพลังออกมาจากต้นไม้แห่งโลกแล้ว และเราก็มีผลปะทุพลังด้วย อีกอย่างฉันไม่เป็นไรหรอก ก็ฉันไม่เคยติดต่อเขากลับไปเลยสักครั้งนี่นา ฉันทำดีแล้วในครั้งนั้นน่ะ คุณปู่บอกพวกเราเสมอไม่ใช่เหรอว่าให้ทำดีอยู่เสมอ”
“ทำดีเหรอ แค่นั้นน่ะนะ หลอกตัวเองเก่งนะเนี่ย ทำดีไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกถ้าไม่ได้อะไรดีๆ กลับมา” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของคอรัลนี่เอง
แล้วทันใดนั้นคอรัลก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “เราทำอะไรลงไปไม่ใช่เพื่อหวังผลตอบแทน แต่เราต้องเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่ทำไปมันถูกต้องแล้ว”
แล้วจากนั้นทุกคนก็เงียบไป นิสัยของคอรัลเปลี่ยนไปหลังจากที่เธอได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม เธอต้องเผชิญหน้ากับส่วนที่มืดมิดที่สุดของโลกและต้องยืนเด่นอยู่ในวังศักดิ์สิทธิ์เหนือทุก ๆ คนในฐานะของหัวหน้ากลุ่มเทวา
เธออาจจะยังไม่ได้เก่งมาก แต่เธอก็กำลังพยายาม ความเชื่อมั่นในคุณธรรมของเธอจะส่องทางสว่างให้กับอนาคตของกลุ่มเทวาได้
หลี่ว์ซู่ยืนนิ่งอยู่หลังตึกห่างออกไปจากกลุ่มของคอรัล เขาไม่รู้เลยว่าคอรัลจะรู้สึกถึงเขาได้จากที่ไกลๆ แบบนี้ เธอยังไม่ได้เลื่อนเป็นระดับ A และเธอก็ยังไม่รู้ว่ามีกลุ่มแก่นความเชื่อตามหลังเธออยู่
แต่เขารู้ดีเลยว่ากลุ่มแก่นความเชื่อจะต้องมีแผนอะไรปกปิดไว้อยู่แน่ พวกเขาตามกลุ่มเทวาไปอย่างใกล้ชิดในขณะที่กลุ่มอื่นๆ ดูจะไม่ได้สนใจอะไร
หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าคอรัลดูซีดเซียวไป ถึงเขาจะไม่ค่อยมั่นใจเพราะเห็นเธอจากที่ไกลๆ ก็ตาม
ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่เขาก็ตัดสินใจแล้ว เขาจะไม่หนีพวกกลุ่มแก่นความเชื่อแน่ๆ เขาไม่อยากยอมรับความอับอายที่โดนฟรานเชสโก้ไล่ตามถึงสามชั่วโมง แถมถูกไฟฟ้าช็อตเข้าในทะเลอีก!
ไม่ว่าหัวหน้าบาทหลวงจะมาปรากฏตัวที่นี่หรือไม่ หรือเขาบาดเจ็บจากการต่อสู้กับนักบุญหรือเปล่าก็ยังไม่มีใครรู้ หลี่ว์ซู่คงจะได้เปรียบมากถ้าสองคนนั้นไม่มาปรากฏตัวที่เกาะนี้
บนเกาะซาร์ดิเนียนั้นประกอบไปด้วยเมืองทั้งหมดแปดเมืองด้วยกันซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเกาะนี้ใหญ่ขนาดไหน เมืองที่หลี่ว์ซู่อยู่นั้นอยู่ตรงสุดทางใต้ของเกาะ เมืองนี้มีชื่อว่าวิลลาซิมิอุสและที่นี่มีโบสถ์อยู่มากมาย
คอรัลและกลุ่มคนทั้งสิบเอ็ดคนเลือกที่จะอยู่ในที่พักเงียบๆ มากกว่าจะไปอยู่ที่โรงแรมหรู ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็ประหลาดใจที่เห็นคอรัลเลือกใช้ชีวิตสมถะถึงแม้ว่าจะมีอิทธิพลและอำนาจมากก็ตาม แต่เขามารู้ภายหลังว่าพวกเขาได้จองตึกสี่ชั้นทั้งตึกแถมยังมีสวนส่วนตัวด้วย…
หลี่ว์ซู่เองก็ต้องหาที่ทางของตัวเองเหมือนกัน เขาจะต้องหาโรงแรมและกินอาหารอร่อย ๆ
เขาเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนในต่างแดนนี้แล้วไปเจอผู้มีพลังสองประจันหน้ากัน ทั้งสองคนนั้นกำลังถูกไฟแผดเผา…
ทันใดนั้นหน้าต่างจากชั้นสองในบ้านเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ก็ถูกเปิดออก หญิงแก่ผมสีเทาคนหนึ่งปาแท่งไม้ใส่ศีรษะของผู้มีพลังคนนั้น เธอตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดเป็นภาษาอังกฤษ “อยากจะต่อสู้กันก็ไปที่อื่นโน่น!”
หลี่ว์ซู่ตกใจมาก
เดี๋ยวก่อนนะ นี่เป็นวิธีที่คนธรรมดากระทำต่อผู้มีพลังงั้นเหรอ!
แต่ผู้มีพลังคนหนึ่งก็มองขึ้นไปและตอบกลับไปว่า “เข้าใจแล้วครับ คุณยาย”
หลี่ว์ซู่อึ้งยิ่งกว่าเดิม