ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 508 การสมคบคิดและเป้าหลอก

การสมคบคิดและเป้าหลอก

 

มีคนกลุ่มหนึ่งเตรียมขนส่งสินค้าอย่างลนลาน ทวยเทพจะพิถีพิถันกับการงานของพวกเขาอย่างมาก พวกเขาส่งคนไปตรวจสอบทะเบียนสินค้าคงคลังก่อนแล้วจึงคำนวณขนาดของมัน พวกเขาจะเริ่มขนส่งสินค้าได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เลือกวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดวางสินค้าแล้ว

 

ด้วยวิธีการแบบนี้ พวกเขาก็จะมั่นใจว่าได้ว่าใช้พื้นที่ภายในรถบรรทุกขนส่งอย่างมีประสิทธิผล

 

หลี่ว์ซู่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ทว่าคาวาโยชิยังคงสั่นเทาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่เลย ตอนนี้ในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกสงสารหลี่ว์ซู่ขึ้นมา “นายรู้ไหมว่ามีคนมากมายขนาดไหนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ช่วยของคุริยามะ”

 

“เหรอ” หลี่ว์ซู่มองคาวาโยชิ

 

“ท่านทาคาชิมะอาจไม่ได้เลื่อนขึ้นสู่ระดับ A ทันที ต้องถึงตอนนั้นเท่านั้นเราจึงจะผูกขาดทวยเทพได้ บางทีท่านคุริยามะอาจขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับท่านคิตะมุระ เพราะเขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านทาคาชิมะนั่นเอง!” คาวาโยชิกล่าวอย่างกังวล “ถ้านายติดตามเขาหรือแม้แต่ยอมตามน้ำไปสักระยะหนึ่ง นายก็จะยังมีสิทธิ์รั้งตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเอาไว้ได้ ถึงตอนนั้นนายก็จะมีทรัพยากร สถานภาพและทักษะขั้นสูงอยู่ในมือ ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงจำนวนมากในองค์กรก็จะดาหน้ากันมาทอดกายให้นาย”

 

หลี่ว์ซู่นิ่งเงียบ เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจเอาตัวออกห่างจากคุริยามะแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่เขาจะต้องอธิบายอีก ยิ่งพูดมากก็ยิ่งจะมากความด้วยข้อผิดพลาดที่เขาอาจสร้างขึ้น

 

ในทางกลับกันนากายะนั้นไม่ยอมหยุดพูดเลย “ฉันรู้ว่าในอดีตที่ผ่านมาโนกิวะ ฮากุชุนและท่านคุริยามะมีข้อขัดแย้งกันอยู่มาก ตอนนี้นายเลยไม่อยากจะไปพึ่งใบบุญของท่านคุริยามะ แต่ตอนนี้โนกิวะ ฮากุชุนตายไปแล้วนะโว้ย!”

 

หลี่ว์ซู่ขำอยู่ในใจ ตามสบายเลยนะพี่…

 

กว่าสินค้าในโกดังจะถูกจัดเรียงเรียบร้อยก็ใช้เวลาไปสามชั่วโมง หลังจากนั้นทุกคนก็ขึ้นไปบนรถบรรทุกขนส่งและย้ายไปที่ฐานใหม่

 

ฐานที่อยู่ชานเมืองมานานเป็นเหมือนป้อมปราการจากเหล็กกล้าที่ถูกปิดตายเอาไว้ ภายนอกของฐานนั้นยังมีกำแพงสูงที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางด้วย

 

ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม กำแพงทั้งหมดเปิดไฟสว่างจนไม่มีจุดใดที่มืดเหลืออยู่เลย ในตำแหน่งที่มีทหารยามจะมีเจ้าหน้าที่ทางทหารติดอาวุธมีดยืนประจำการอยู่ พวกเขาจะเดินลาดตระเวนในพื้นที่อย่างเป็นระบบ

 

หลี่ว์ซู่สงสัยขึ้นมา “เรากำลังจะใช้ฐานแห่งนี้ในทันทีเพราะราชันฟ้าจากจีนคนนั้นจริงๆ เหรอ เขาเป็นผู้มีพลังสายธาตุดินไม่ใช่เหรอ การเข้ามาในนี้มันจะไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากของเขาหรอกเหรอ”

 

“พวกเขาพิถีพิถันมากกับแผนผังใต้ดิน ป้อมปราการใต้ดินทั้งหมดหนาถึงสามเมตร ถึงแม้จะมองไม่เห็นจากภายนอกแต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าราชันฟ้าคนนั้นจะแอบเข้ามาในนี้จากใต้ดินได้”

 

“อ้อ…” หลี่ว์ซู่พยักหน้า โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นผู้มีพลังสายธาตุดินจริงๆ ท้ายที่สุดแล้ว ทวยเทพเองนั่นแหละที่พาเขาเข้ามาถึงที่นี่ อย่างไรเสียมันก็ไม่มีราชันฟ้าที่เป็นผู้มีพลังสายธาตุดินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…

 

แต่ป้อมปราการแห่งนี้ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันเขาเช่นกัน เขาเพิ่งจะปรากฏตัวเท่านั้นเอง ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะสร้างป้อมปราการขนาดมหึมาเท่านี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว องค์กรใหญ่แต่ละแห่งก็กำลังดำเนินการในโครงการที่คล้ายๆ กันนี้อยู่ ว่ากันว่าพื้นดินใต้วิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินเสริมโครงสร้างเหล็กกล้าที่หนาแน่นมาก

 

หลังจากที่ทุกคนได้ตระหนักว่าพวกผู้มีพลังสายธาตุดินได้แอบเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ พวกเขาจึงเตรียมสิ่งนี้เพื่อรับมือผู้มีพลังประเภทนั้นทั้งหมดในโลก

 

ถึงแม้ว่ามันจะมีราคาสูงมาก แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครอยากปล่อยให้ผู้อื่นมาฉกฉวยโอกาสบนทรัพยากรของตัวเองหรอก

 

การรักษาความปลอดภัยของป้อมปราการแห่งนี้เข้มงวดมาก แม้แต่คุริยามะเองยังต้องลงมาจากรถตู้เพื่อรับบัตรผ่านและตรวจลายนิ้วมือ หลี่ว์ซู่เชื่อว่าการรักษาความปลอดภัยนั้นจะยิ่งเข้มงวดหนักขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่บริเวณพื้นที่ด้านในที่ลึกยิ่งขึ้น

 

ขณะที่ขบวนรถแล่นเข้าไป ประตูของป้อมปราการก็เปิดกว้างออก แล้วขบวนรถทั้งหมดก็ขับเข้าไป เนื่องจากหลี่ว์ซู่นั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสาร เขาจึงมองเห็นความอลังการของป้อมปราการนั้นได้ถนัด มันดูราวกับเป็นฐานทัพอากาศในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ผู้คนหลากหลายที่สวมใส่ชุดในการทำงานของพวกเขากำลังทำการทดสอบอุปกรณ์หรือจัดสรรการขนย้ายสินค้าและวัสดุต่างๆ

 

หลี่ว์ซู่ประหลาดใจที่ได้เห็นคนที่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญอยู่หลายคน

 

พวกเขาคงจะเป็นคนธรรมดาสามัญที่ทำงานให้ผู้บำเพ็ญในฐานทัพนี้ หลี่ว์ซู่รู้ว่ามีองค์การมากมายที่ว่าจ้างคนธรรมดาสามัญมารับใช้ในเรื่องพื้นฐานต่างๆ แต่ที่คฤหาสน์ทวยเทพนั้น แม้แต่ตรงประตูรั้วยังมีผู้บำเพ็ญคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้เลย หลี่ว์ซู่นึกไปว่าไม่มีคนธรรมดาสามัญอยู่ในกลุ่มทวยเทพเสียอีก

 

แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว เขาก็ตระหนักว่าคนธรรมดายังคงรับทำงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือการทำความสะอาดและสุขอนามัย ไม่จำเป็นต้องมีค่าพลังการต่อสู้อะไรและมันยังช่วยแสดงให้เห็นความสำคัญของลำดับชั้นในการปกครองด้วย

 

หลี่ว์ซู่มองออกว่าผู้ปกครองของทวยเทพนั้นกำลังปกปักรักษาการปกครองตามลำดับชั้นนี้อยู่ ใครก็ตามที่ต้องการได้รับการปฏิบัติที่ดีจะต้องทำงานหนักและปีนขึ้นไปตามลำดับชั้นทางสังคมนี้โดยมีผู้ที่เชี่ยวชาญตัวจริงห้อมล้อมอยู่

 

พวกเขามาถึงประตูขนาดใหญ่บานหนึ่ง มีผู้ที่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญนับร้อยที่สวมใส่ชุดทำงานรีบวิ่งมาเปิดประตูและช่วยกันขนย้ายสินค้าเข้าไป

 

คาวาโยชิและหลี่ว์ซู่ยืนดูอยู่ข้างๆ คาวาโยชิจุดบุหรี่ของเขาขึ้นมาสูบ “คุริยามะคุงได้ส่งนายต่อมาให้ฉัน จากนี้ไปนายจะต้องติดตามฉัน อีกสักครู่ก็ตามฉันไปที่ฐานใต้ดินด้วยล่ะ แม้ว่าตอนนี้นายจะยังไม่มีพละกำลังมากพอแต่ช่วยเร่งฝึกวิชาหน่อยก็แล้วกันนะ สถานที่แห่งนี้ถูกเลือกขึ้นมาพิเศษก็เพราะความอุดมในพลังจิตวิญญาณของมันซึ่งดีต่อการฝึกวิชา”

 

“ได้” ดูเหมือนว่าคราวนี้หลี่ว์ซู่กำลังแทรกซึมเข้าไปในทวยเทพแล้วจริงๆ แต่เรื่องที่ว่าพละกำลังของเขาจะมากเพียงพอหรือไม่นั้น คงจะต้องรอจนกว่าเขาจะอัดไอ้คนประเภทคาวาโยชิและคุริยามะดูเสียก่อน พวกมันคงจะไม่เอะใจเลยว่าตัวเองกำลังจะเจออะไร…

 

ณ ตอนนั้นเองที่หนึ่งในรถบรรทุกขนส่งได้ประตูเปิดออกมา ด้วยความประหลาดใจหลี่ว์ซู่เห็นทาคาชิมะ ทาอิรัตสึเดินออกมาอย่างใจเย็น!

 

เขาแอบอยู่ในนั้นมาตั้งนานแต่กลับไม่มีใครรู้เลยจนกระทั่งถึงตอนนี้เอง คุริยามะกล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์!” ทาคาชิมะดูเหมือนจะมีความเสียใจบางอย่าง “ดูเหมือนว่าศัตรูของเราจะไม่ได้รับข่าว เขาไม่ยอมลงมือเลยแม้ว่าจะมีการสร้างเป้าหลอกใหญ่โตขนาดนี้และเป็นโอกาสที่ดีจะตายไป น่าเสียดายจริงๆ”

 

กลับกลายเป็นว่าทาคาชิมะต้องการจะใช้รถบรรทุกทรัพยากรการฝึกวิชายี่สิบเก้าคันนี้มาล่อ ‘ราชันฟ้าที่เป็นผู้มีพลังสายธาตุดิน’ คนนั้นให้ออกมานั่นเอง!

 

หวุดหวิดไปแล้วสิ! โชคดีที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ลงมือ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ได้มีแค่เนี่ยถิงแล้วสินะที่ชอบแอบหลอกชาวบ้าน!

 

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ทำให้นึกได้ว่า เนี่ยถิงนั้นใช้หนึ่งในสามของอัจฉริยะที่มีค่าร่างกายระดับ A มาเป็นเหยื่อล่อ เมื่อเทียบดูแล้วเขาเป็นคนใจป้ำที่ยอมจ่ายหนักกว่าทาคาชิมะนัก

 

สินค้าทั้งหมดในรถบรรทุกถูกถ่ายออกจนหมด หลี่ว์ซู่เห็นว่ากล่องแต่ละใบถูกห่ออย่างเรียบร้อยด้วยศิลาวิญญาณ มันใช้ศิลาวิญญาณกี่พันเม็ดกันเชียวนั่น!

 

เนื่องจากรู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินผลิตศิลาวิญญาณได้น้อยกว่าสองแสนเม็ดต่อปีเท่านั้น หลี่ว์ซู่จึงไม่เชื่อว่าทวยเทพจะผลิตศิลาวิญญาณที่นี่ได้มากกว่าในประเทศของเขา ทวยเทพเองก็ค่อนข้างจะใจป้ำอยู่ไม่เบา เพียงแต่พวกเขาไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะเข้ามาข้างในนี้พร้อมกับพวกเขา และแผนการที่เขาตกลงใจจะทำก็คือการจัดการธุระของเขาเสียก่อน ตราบใดที่เขารู้ว่าทรัพยากรอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถจะกลับมาเอาพวกมันไปได้ทุกเมื่อ…

 

ทาคาชิมะเหลือบมามองหลี่ว์ซู่ คาวาโยชิ และคนทั้งหมดที่ร่วมในการขนย้ายนี้ “พวกนายทุกคนทำได้ดีมาก”

 

เขาจากไปหลังจากพูดคุยเสร็จแล้ว คาวาโยชิกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ขนาดทรัพยากรมากมายขนาดนี้ยังล่อราชันฟ้าคนนั้นออกมาไม่ได้เลย แสดงว่าพวกมันไม่ได้รับข้อมูลเลยด้วยซ้ำ! นี่พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าพวกเราไม่ได้เป็นสายลับอย่างแน่นอน ในอนาคตพวกเขาก็จะใช้พวกเราทำแบบนี้อีก”

 

หลี่ว์ซู่อึ้งจนพูดไม่ออก ตรรกะพวกนายมันง่ายขนาดนี้เลยจริงๆ เหรอ…แต่ราชันฟ้าที่พวกนายทั้งหมดกลัวเสียเหลือเกินคนนั้นกำลังยืนอยู่ในฐานทัพของพวกนายอยู่นะ แถมยังลงมือทำอะไรไม่ได้เลยด้วย

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset