ทั้งสองคนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หลี่ว์ซู่ใช้ตาโตๆ จ้องไปที่ตาเล็กๆ ของผู้ชายคนนั้น น่ากระอักกระอ่วนอะไรแบบนี้
“อ๋อ! จำได้แล้ว นายเป็นยอดฝีมือด้านศิลปะป้องกันตัวของจีนไง!” ผู้ชายที่ชื่อว่าคอร์รี่ตะโกนขึ้นมาเสียงดังด้วยความประหลาดใจและดีใจ หลี่ว์ซู่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ อย่างที่คิดไว้เลยว่าฝรั่งทางตะวันตกจะเห็นคนเอเชียหน้าเหมือนๆ กันไปหมด
แต่ทันใดนั้นก็มีแสงเย็นๆ สาดเข้ามาตรงหน้าของหลี่ว์ซู่ เขาเอี้ยวหลบการโจมตีไปได้ทันท่วงที ที่จริงแล้วผู้ชายคนนั้นจำหน้าหลี่ว์ซู่ได้ตั้งแต่ตอนแรกที่เขาเดินเข้ามาแล้ว! เจ้าของร้านตะโกนขึ้นมา
“ออกไป! อย่ามาสู้กันในร้านฉัน ถ้าโต๊ะเก้าอี้พังล่ะจ่ายค่าเสียหายมาด้วยนะ!”
แต่ไม่มีใครฟังเขาสักคน พวกสมาชิกของเพลดจ์เข้ามาประชิดหลี่ว์ซู่อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาติดกับจนมุม แต่หลี่ว์ซู่ก็พังกำแพงหนีออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ! เจ้าของร้านอึ้งไปเลย เขาพูดไปแค่โต๊ะกับเก้าอี้ แต่ไอ้หมอนี่มันพังกำแพงร้านเลยเรอะ! หลี่ว์ซู่ว่าตัวเขาก็โชคไม่ดีเหมือนกัน ทำไมจะต้องมาเจอพวกเพลดจ์ด้วยนะ ถ้าเจอพวกกลุ่มแก่นความเชื่อหรือพวกดังเคอร์ก็คงไม่มีใครจำได้หรอก!
พอมีศัตรูแล้วโลกนี้มันแคบลงจริงๆ!
พวกเพลดจ์วิ่งตามหลี่ว์ซู่มาทันที พวกคนที่ยืนกันตามถนนก็กำลังรอดูการแข่งม้าอยู่ แต่พวกเขามาเห็นการไล่ล่านี้ก่อนเสียอย่างนั้น
ตอนแรกพวกคนที่ยืนอยู่บนถนนก็คิดว่าพวกเพลดจ์เป็นพวกที่มาแสดงเพราะเดาจากชุดเครื่องแบบที่พวกเขาใส่ แต่พวกเขาก็วิ่งหายไปแล้วก็ไม่มีการแสดงอะไรทั้งนั้น น่าแปลกใจที่พวกคนธรรมดาจะดูการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเท่านั้น และพวกเขาไม่กลัวกันเลย หลี่ว์ซู่อยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว ถึงเขาอยากจะฆ่าศัตรูพวกนี้ แต่ถ้าเขาเริ่มเคลื่อนไหวก่อนก็จะทำให้ตัวเองเป็นอันตรายบนเกาะนี้แน่ๆ
อย่างตอนที่มีการต่อสู้ตอนเที่ยงคืนที่ผ่านมาสิ การต่อสู้นั้นอยู่ในพื้นที่ของตำแหน่งการเฝ้าระวังที่สำคัญเลย แต่หลังที่สู้ไปได้ครึ่งทางก็มีพวกองค์กรใหญ่ๆ มาร่วมด้วย และตอนเช้านี้โยวหมิงอวี่ก็มารายงานหลี่ว์ซู่ว่าองค์กรขนาดกลางทั้งสององค์กรที่ต่อสู้กันโดนล้างบางไปหมดแล้ว…
เดี๋ยวนี้มีองค์กรที่รอเฝ้าดูความขัดแย้งของคนอื่นและจ้องจะหาประโยชน์ให้ตัวเองเยอะเกินไปจริงๆ! ในระหว่างนั้นเองหลี่ว์ซู่ก็เห็นกลุ่มนักแสดงเดินมาทางเขา มีตัวตลกค้อมหัวขอบคุณคนดูกันใหญ่ เขาขว้างลูกบอลเจ็ดลูกขึ้นไปบนท้องฟ้าและรับลูกบอลพวกนั้นทีละลูกต่อๆ กัน
หลี่ว์ซู่เห็นแล้วก็ประหลาดใจและดีใจมาก! พวกนี้เป็นพวกนักกายกรรมจากคาร์เทลนี่นา! เขาเข้าไปแทรกในกลุ่มนั้นอย่างไม่ลังเลและโผล่ไปอีกด้านหนึ่งในเวลาต่อมา พอพวกเพลดจ์เข้ามาใกล้แล้วพวกเขาก็ต้องผ่านพวกนักกายกรรมไป วุ่นวายน่าดูเลยล่ะ แต่พวกเพลดจ์ก็โดนบังไว้เสียหมด ตัวตลกจ้องมาที่พวกเขาแล้วพูดออกมาเสียงเรียบ
“หยาบคายมากเลยนะพวก”
“ไม่เห็นเหรอว่าเราเป็นพวกผู้บำเพ็ญน่ะ” สมาชิกของเพลดจ์ดูอารมณ์เสียและสับสนสุดๆ
“งั้นพวกนายไม่เห็นเหรอว่าเราเป็นผู้มีพลัง” สิบวินาทีหลังจากนั้นตัวตลกก็พูดตอบ
พวกเพลดจ์ตะลึงไปเลย อะไรนะ! ผู้มีพลังแสดงกายกรรมบนถนนเนี่ยนะ! บ้ากันไปหมดแล้วเหรอ! ตัวตลกเห็นแบบนั้นก็ขู่ออกไปเสียงดัง
“อัดพวกมันเลย!”
“เดี๋ยวก่อน! เรากำลังตามหาใครบางคนอยู่ เราไม่ใช่ศัตรูนะ!” หัวหน้าของกลุ่มเพลดจ์ร้องออกมา ในขณะนั้นเองพวกคาร์เทลที่อยู่ข้างนอกวงก็เริ่มอพยพคนออกไปจากสถานที่นั้นอย่างสุภาพเรียบร้อยแล้ว
“ขอโทษด้วยนะครับ ขอพื้นที่สู้กันหน่อย เราไม่อยากให้พวกคุณบาดเจ็บกันนะครับ…”
หลี่ว์ซู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งค่อยๆ ลดความเร็วลงและเดินออกไปจากกลุ่มคนพวกนั้น แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าฟรานเชสโก้กำลังยืนอยู่หลังชายแก่ผมขาวที่น่าเกรงขามแต่ก็ทำตัวอ่อนน้อมไปในที
คลื่นพลังงานที่ปล่อยออกมาจากชายแก่คนนั้นน่ากลัวมากอย่างกับเป็นทะเลที่มีลมพัดโหมกระหน่ำ แต่อย่างไรก็ตามพลังงานนั้นมีอะไรแปลก และแตกต่างจากพลังของเนี่ยถิงที่บริสุทธิ์กว่า พลังงานของชายแก่ที่แผ่ออกมานั้นดูตีกันมั่วไปหมด
เขาเป็นผู้ชายที่หลี่ว์ซู่อยากเจอน้อยที่สุดในตอนนี้เลย หัวหน้าบาทหลวงนั่นเอง…
หลี่ว์ซู่เดาไว้ว่าเขาอาจจะไม่มาซาร์ดิเนียเพราะยังบาดเจ็บจากการต่อสู้กับนักบุญ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเขากับคอรัลสองคนก็คงจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นบนเกาะนี้ได้ด้วยตัวเอง
แต่ในเมื่อเขามาแล้วหลี่ว์ซู่จึงเข้าใจว่าต้นไม้แห่งโลกนั้นมีความสำคัญมากขนาดไหนสำหรับกลุ่มแก่นความเชื่อ
โชคดีที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ไปต่อสู้กับพวกเพลดจ์มา ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะโดนซุ่มโจมตีถ้าไม่ระวังมากพอก็ได้
แล้วจะเอายังไงต่อดีล่ะ หลี่ว์ซู่เริ่มลังเล หรือเขาควรจะหาเรื่องศัตรูระดับ A เพื่อคอรัลไปเลย
หลี่ว์ซู่นึกไปถึงตอนที่เขาเห็นนักบุญและหัวหน้าบาทหลวงสู้กัน เขาเทียบไม่ติดพวกระดับ A เลย ถึงแม้จะเลื่อนระดับมาเป็นระดับ B แล้ว เขาคงโดนอัดแบนไปกับพื้นแน่ๆ
ในตอนนั้นเองหลี่ว์ซู่ก็หันกลับไปและวิ่งหนี นี่มันอาจฟังดูบ้าไปหน่อย แต่หลี่ว์ซู่คิดว่าเขาคงจะบ้าไปแล้วเพราะคอรัลพูดแบบนั้นกับเขา
‘หลี่ว์ซู่ ได้โปรดอยู่กับฉันไปตลอดชีวิตเถอะ ถ้านายปฏิเสธฉันก็จะรอจนกว่านายจะตอบตกลง ถ้านายไม่พูดอะไร ฉันก็จะคิดเอาเองว่านายตกลงแล้วนะ’
ตอนนั้นเขาเงียบไปไม่ใช่เพราะเขาผล็อยหลับไปหรอกนะ แต่ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดีต่างหาก
หลี่ว์ซู่รีบวิ่งกลับไปที่ร้านสปาเกตตี้และเจ้าของร้านกำลังมองหน้าเขากลับมาผ่านรูบนผนังด้วยความไม่สบอารมณ์ หลี่ว์ซู่หยิบเอาธนบัตรดอลลาร์สหรัฐใส่เอาไว้ในมือของเจ้าของร้านและพูดว่า “ขอโทษจริงๆ ครับ ครั้งหน้ามันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก!”
แล้วเขาก็วิ่งออกไปอีกครั้ง ปล่อยให้เจ้าของร้านสับสนกับคำพูดของเขา “นี่มันคิดว่าจะมีครั้งที่สองอีกเหรอเนี่ย…”
ที่จริงแล้วเจ้าของร้านไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะกลับมาด้วยซ้ำ เขาต้องยอมรับชะตาของตัวเองว่าวันนี้เขาซวยเหลือเกินเพราะเขาไม่ได้ขอให้คนพวกนั้นจ่ายค่าอื่นๆ นอกจากค่าโต๊ะและเก้าอี้อยู่แล้วนี่…
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไปหยุดอยู่หน้าโรงแรมของคอรัล เขามองขึ้นไปที่หน้าต่างชั้นสามของโรงแรม เป็นที่ที่กระดาษถูกเอามาเสียบไว้ตอนนั้น
ตอนนี้คอรัลกำลังพูดคุยเรื่องภายในกับสมาชิกกลุ่มเทวาคนอื่นๆ อยู่ ทว่าในตอนนั้นเองเธอก็ทำหน้าเหมือนสติหลุดลอยไป
คอรัลยิ้มออกมาและมันก็ลามไปถึงตาด้วย เธอดูราวกับว่าเป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดในโลกซึ่งเบ่งบานใต้แสงอาทิตย์
คอรัลยืนขึ้นแล้วรุดไปที่หน้าต่างส่งยิ้มลงมาให้เขา ผู้ชายคนนี้เอาความสุขที่สุดในโลกมาให้เธอได้ และเขาก็กลับมาตามที่สัญญาจริงๆ
สมาชิกกลุ่มเทวาคนหนึ่งมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนกัน เขาเห็นหลี่ว์ซู่ยิ้มตอบกลับมาและยืนอยู่ที่สวนของโรงแรม เขาจำหลี่ว์ซู่ได้เพราะเขาไปที่โบราณสถานเกาะช้างเหมือนกัน
ทีนี้เขาก็มองสลับไปมาระหว่างหลี่ว์ซู่และคอรัล
“อะไรกันเนี่ย!”