“หลี่ว์ซู่ลักพาตัวคอรัลไป” สือเสวจิ้นพูดขณะที่เขากำลังกินแพนเค้กต้นหอม
แต่เนี่ยถิงไม่ได้ตอบกลับ
“ฉันบอกว่า หลี่ว์ซู่ลักพาตัวคอรัลไป” สือเสวจิ้นพูดซ้ำอีกรอบ
เนี่ยถิงหันมาตอบกลับเขาอย่างไร้อารมณ์ “รู้แล้ว แต่อย่าเพิ่งมาพูดกับฉันตอนนายกำลังกินต้นหอมได้ไหม”
“นายดูถูกต้นหอมจังนะ” สือเสวจิ้นพูด
“ฉันไม่ได้ดูถูกต้นหอม ฉันดูถูกนายที่กำลังกินต้นหอมอยู่เนี่ย” เนี่ยถิงตอบ “คิดว่าหลี่ว์ซู่จะพาคอรัลไปที่ไหน”
แผนตอนแรกของเนี่ยถิงนั้นชัดเจนมาก เมื่อมีองค์กรจากยุโรปมารวมตัวกันมากมายในซาร์ดิเนียเพื่อแข่งขันเอาอะไรบางอย่างแล้วก็ย่อมมีการต่อสู้เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปแน่นอน ซึ่งนี่ก็อาจทำให้พลังของผู้บำเพ็ญในยุโรปที่มีอำนาจกว้างไกลไปจนถึงทวีปอื่นๆ อ่อนแอลงก็ได้
เขาไม่ได้วางแผนนี้ไว้หรอก เขาก็แค่ดูอยู่ห่างๆ เพื่อจะรอให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง และนี่ก็เป็นข้อจำกัดของคนเป็นหัวหน้ากลุ่มเครือข่ายฟ้าดิน
สือเสวจิ้นถอนหายใจออกมา “นี่เป็นความรักที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบสองสามปีนี้ของฉันเลยนะ มันจะทำให้เกิดความขัดแย้งในยุโรป ผู้คนจะถูกตามล่าและหนีกันหัวซุกหัวซุน และต้นเหตุก็มาจากคำง่ายๆ ที่เรียกว่ารักเท่านั้นเอง”
“แน่ใจเหรอว่าสองคนนั้นรู้ว่ารักคืออะไร ไม่ต้องพูดถึงคอรัล แน่ใจเหรอว่าหลี่ว์ซู่จะรู้จักคำว่ารัก ฉันว่าเขาไม่เข้าใจว่าจะรักอย่างไรด้วยซ้ำ” เนี่ยถิงพูดอย่างดูถูก
“แต่ฉันว่ารักคือความโง่เขลานะ” สือเสวจิ้นพูดไปหัวเราะไป “จะมีใครสักกี่คนบนโลกนี้ที่รู้ว่ารักคืออะไร ในความไม่รู้ของพวกนั่นแหละที่จะทำให้พวกเขาทำอย่างดีที่สุดโดยไม่ต้องคิดมาว่าอีกฝ่ายจะให้อะไรตอบแทนมาบ้าง นี่แหละรัก หรือฉันพูดผิดไป”
“นายทำเอาคำว่ารักดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเลย” เนี่ยถิงตอบเสียงเรียบ “เอาเรื่องนี้ไปบอกเฉินไป่หลี่แล้วให้เขาตามไปยุโรป เขาต้องไปเอาหลี่ว์ซู่กลับมาอย่างปลอดภัยแน่ เพราะเจ้านั่นมีประโยชน์กับเครือข่ายฟ้าดินมาก”
“ถ้านายอยากจะปกป้องก็ทำตามนั้นเถอะ” สือเสวจิ้นหัวเราะเสียงดัง “ไม่ต้องหาข้ออ้างหรอก แต่ฉันรู้สึกว่าถ้าเฉินไป่หลี่ไปโจมตีผู้มีพลังทั่วเข้ามันจะออกมาไม่สวยเท่าไหร่นะ ให้เขาไปหยุดหัวหน้าบาทหลวงดีกว่า ถ้าหัวหน้าบาทหลวงยังไม่เคลื่อนไหวอะไรหลี่ว์ซู่ก็จะยังปลอดภัยอยู่แน่”
สือเสวจิ้นและเนี่ยถิงรู้จักกันมามากกว่าสามสิบปีแล้ว พวกเขาเข้าใจกันดี เนี่ยถิงแค่เป็นห่วงหลี่ว์ซู่เท่านั้นเองเพียงแต่เขาไม่อยากจะยอมรับ
“ฉันเนี่ยนะเป็นห่วงเขา ฉันแค่คิดว่าเครือข่ายฟ้าดินยังต้องการคนแบบเขาก็เท่านั้น”
“อืมๆๆ” สือเสวจิ้นหัวเราะ “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน หลี่ว์ซู่ถึงทนหน้าหนาวในรัสเซียได้ตอนอยู่ในสนามรบ โอ้ ว่าแต่เฉินจู่อาน เฉาชิงฉือ และคนอื่นๆ ล่ะ”
“เออ เพิ่งจะนึกถึงพวกเขาออกนี่แหละ” เนี่ยถิงนวดขมับตัวเอง
“อีกอย่างนี่ก็กลายเป็นปัญหาส่วนตัวของหลี่ว์ซู่แล้ว จะส่งเฉินไป่หลี่ไปดีเหรอครับ”
เฉินไป่หลี่ผู้พากเพียรฝึกฝนตัวเองมาโดยตลอดกำลังจะต้องบินไปยุโรปเพื่อให้ความช่วยเหลือภารกิจตามคำสั่ง แต่ตอนนี้กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาปรากฏตัวที่สวนบ้านเขา
เขามองไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและสูทสีดำแลดูบอบบาง ใครจะรู้ว่านี่คือปรมารจารย์หุ่นเชิดที่เขย่าโลกนี้ให้ปั่นป่วนมาแล้ว
เฉินไป่หลี่ถามออกไปอย่างใจเย็น “คุณหนู มาหาฉันเหรอ”
“คุณน่าจะรู้นะว่าฉันคือใคร เอาจริงๆ แล้วฉันไม่ได้คิดเลยว่าพวกคุณจะหาฉันเจอได้เร็วขนาดนี้ บอกเคล็ดลับหน่อยสิว่าทำยังไง” คลาวด์อีหัวเราะตอบ
“จะทำยังไงน่ะไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือผลออกมายังไงต่างหาก นี่มาเพื่อจะหยุดฉันเหรอ” เฉินไป่หลี่ถามด้วยน้ำเสียงสูงส่ง
“ที่ยุโรปก็วุ่นวายพอควรแล้ว ฉันว่าเครือข่ายฟ้าดินไม่ควรเข้าไปยุ่งดีกว่า ถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวโลกนี้จะถูกคุณทำลายเอาได้” คลาวด์อีตอบยิ้มๆ
“การทำลายล้างจะส่งผลต่อแค่มนุษย์เท่านั้นแหละ แล้วไปเกี่ยวอะไรกับปรมาจารย์หุ่นเชิดด้วยล่ะ” เฉินไป่หลี่ไม่ได้อารมณ์ดีนัก ทำไมปรมาจารย์หุ่นเชิดถึงจะมาสนความสงบสุขของโลกเอาล่ะ พวกมูลนิธิไม่อยากจะยุ่งกับปรมาจารย์หุ่นเชิดมาหลายปีแล้ว แล้วพวกเขามาสนใจเรื่องเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“โลกนี้เป็นที่ที่ราชาของฉันจะกลับมา และโลกทั้งโลกนี้เป็นของราชาของฉันเพียงผู้เดียว ฉันจะปล่อยให้คุณทำลายไปไม่ได้หรอก เราเป็นศัตรูกันจนกว่าจะมีใครตายไปนั่นแหละ แต่ถ้าฉันสอดมือเข้ามายุ่งด้วยเมื่อไหร่ ก็เกรงว่าคุณคงไม่มีทางหยุดฉันได้หรอก เลือกเอาเองนะ” คลาวด์อีส่ายหัว
“งั้นก็มาสู้กันก่อนคุยกันดีไหม” เฉินไป่หลี่หัวเราะอย่างเย็นชา
“ไม่จำเป็นหรอก” คลาวด์อีส่ายหน้า “ถึงฉันจะฆ่าคุณไปราชาของฉันก็คงจะเสียประชาชนของเขาไปแค่คนเดียว ยังไงสุดท้ายแล้วราชาของฉันก็จะต้องสูญเสียมากมายอยู่ดี แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะเอาหัว หน้าบาทหลวงเข้ามาร่วมในปัญหานี้ให้ได้ อย่างนั้นถึงค่อยยุติธรรมหน่อย”
พอเธอพูดจบเธอก็รีบรุดขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อเฉินไป่หลี่หยุดนิ่งไปสักพักแล้วเขาก็พุ่งขึ้นฟ้าไปเหมือนกัน เขาไม่เข้าใจว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดคิดอะไรอยู่และไม่เข้าใจตรรกะบิดเบี้ยวของเธอเลย เธอกำลังปกป้องโลกนี้เหมือนกัน แต่ว่าต้องการจะปกป้องโลกนี้ให้กับราชาของเธองั้นเหรอ
เริ่มจะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเสียแล้วสิ
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามศักดิ์ศรีของเครือข่ายฟ้าดินไม่ควรที่จะถูกยั่วยุได้
ในขณะเดียวกันพยัคฆ์จื๋อลอยอยู่ในอากาศเหนือเมืองทางใต้ของซาร์ดิเนีย เขาอยู่ในเสื้อคลุมสีดำ และมีหุ่นเหล็กยืนอยู่ข้างๆ ดูแล้วเหมือนกับเป็นภูเขาลูกใหญ่ หัวหน้าบาทหลวงลอยอยู่ตรงข้ามเขา สีหน้าของหัวหน้าบาทหลวงไม่ค่อยสู้ดีนัก
“นี่เห็นว่ากลุ่มแก่นความเชื่อเป็นศัตรูเหรอ”
“ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ ผมก็แค่ยอมให้คุณพลิกฟื้นเมืองนี้ขึ้นมาเท่านั้นเอง โลกนี้มันอ่อนแอนะ ถ้าพวกคุณอยากสู้กันก่อนที่ราชาของผมจะกลับมาก็ตามสบายเลย” พยัคฆ์จื๋อหัวเราะตอบ
“ทำไมถึงไม่มาเข้าร่วมกับพวกเราล่ะ” หัวหน้าบาทหลวงจากแก่นความเชื่อระเบิดหัวเราะออกมา “ฉันรู้ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก ถ้าร่วมงานกันโลกนี้ก็คงจะควบคุมง่ายขึ้นเยอะ”
“คุณไม่คู่ควรน่ะ” พยัคฆ์จื๋อหยุดคิดไปสักพักก่อนหัวเราะตอบออกมา
มีเสียงดังออกมาจากเงามืดของผ้าคลุม สามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกและความทรงพลังออกมาจากเสียงนั้น เมฆสีเทาลอยเข้ามารวมกันและเข้าจู่โจมซาร์ดิเนียทันที
ทางเหนือของอิตาลีตอนนี้มีแต่ฝนตกหนัก มีมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่สองสามพันล้านคนบนโลกนี้ แต่อาจารย์หุ่นเชิดสองคนนั้นทรงพลังมาก ราวกับว่าถึงทุกองค์กรในโลกรวมกันก็ไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้
เครือข่ายฟ้าดินสามารถหยุดพวกเขาได้ แต่พวกเขาอยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยง อีกอย่างหัวหน้าบาทหลวงจากแก่นความเชื่อก็ไม่มีความกล้าที่จะยุแหย่ยอดฝีมือสองคนหลังจากเผชิญหน้ากับนักบุญมาแล้ว โลกนี้มันวุ่นวายมาเสมอแหละ เมื่อได้เข้ามาในการแข่งนี้แล้วก็ไม่สามารถจะเลือกทางเดินตามใจชอบได้ เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะมีพลังที่อยู่เหนือคนระดับ A จากนั้นแหละถึงจะได้มองลงมาอย่างสบายใจ
แต่ที่แตกต่างก็คือ เมื่อคลาวด์อีบินขึ้นฟ้าไปแล้ว เฉินไป่หลี่ก็จะตามไปเพื่อสู้กับเธอ เมื่อมีคนในเมืองหนานฉางพบเห็นเหตุการณ์นั้นแล้วพวกเขาก็หวาดกลัวอย่างมาก ในฝั่งของหัวหน้าบาทหลวงจากแก่นความเชื่อก็ค่อยๆ ถอยออกมาจากเมืองทางตอนใต้ของซาร์ดิเนีย และไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเพิ่มเติม ความแตกต่างนี้ชัดเจนมากจริงๆ