พระอาทิตย์ตกลับไปแล้ว ราวกับว่าไม่มีเสียงคำรามที่เดินทางผ่านท้องฟ้าใดๆ มา ดูเหมือนว่ายุคใหม่จะมาถึงและทุกคนก็ต้องเผชิญกับความกังวลของตัวเอง
มีพวกชายหนุ่มที่ชอบหญิงสาวมากมาย พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าจดหมายรักที่ถืออยู่ในมือได้เปลี่ยนเป็นจดหมายเปียก ๆ จากเหงื่อของตัวเองแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่มีความกล้าจะส่งมันออกไป
มีคุณลุงวัยกลางคนที่มีภาระหนักหนาอยู่บนบ่าที่คิดว่าตัวเองสูญเสียพละกำลังของตัวเองไปแล้ว
และหลี่ว์ซู่ก็อยากพูดอะไรออกมา แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พูดขัดขึ้นมาก่อน “อย่าเพิ่งพูดขัดอะไรนะ ขอพูดให้จบก่อน หลังจากที่ฉันกลับไปแล้ว ฉันก็บอกพวกเขาว่าอยากจะเป็นราชันฟ้า แต่จงอวี้ถังกลับหัวเราะใส่ฉันเป็นครึ่งชั่วโมงได้”
หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ งั้นคนติดต่อเปลี่ยนไปเป็นโยวหมิงอวี่ก็เพราะแบบนี้สินะ
“หลังจากนั้นฉันก็พูดได้แค่ว่าไม่ให้ฉันเป็นราชันฟ้าก็ไม่เป็นไร แต่ขอไปทำภารกิจด้วยได้ไหม อยากจะไปทำภารกิจที่ต้องเป็นคนให้ข้อมูล แล้วโยวหมิงอวี่ก็หัวเราะใส่ฉันต่ออีกครึ่งชั่วโมง”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูด “ฉันก็ไม่อยากจะทำอะไรมากหรอกนะ แค่อยากไปอยู่ข้างเธอๆ ตอนมีอันตรายก็เท่านั้น” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดเสียงเบา “เมื่อก่อนพอมีคนมาแกล้งฉันตอนอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเธอก็จะมาปกป้องฉันตลอด ฉันคิดว่าถ้าฉันทำแบบเดียวกันให้เธอก็คงจะดี แต่ไม่เคยมีโอกาสเลย”
หลี่ว์ซู่จำได้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เคยพูดไว้ ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่ได้ปะทุพลังเขาก็คงจะอยู่บ้านและทำอาหารไป หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะปกป้องเขาเอง
แต่เธอไม่คิดว่าจะได้มาปกป้องเขาจริงๆ หรอก เธอแค่ไม่อยากจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ต้องหวังพึ่งแค่เขาเท่านั้น เธออยากจะยืนได้ด้วยตัวเองและปกป้องเขาได้
“เมื่อก่อนฉันอยากโตไวๆ เพราะคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วคงมีอิสระและความสุข เมื่อก่อนฉันอยากจะทำผมแบบผู้ใหญ่ด้วย แต่ตอนนี้เพิ่งมารู้ว่าพวกผู้ใหญ่ไม่มีผมกันหรอก” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดอย่างขำๆ
หลี่ว์ซู่ชะงัก
จากนั้นเธอก็หยุดหัวเราะและพูดกับเขาในน้ำเสียงจริงจัง “หลี่ว์ซู่ ถ้ามีใครมาแกล้งเธอในอนาคต ฉันจะเข้าไปปกป้องเธออย่างกล้าหาญแน่ๆ งั้นขอฉันอยู่ข้างๆ เธอได้ไหม”
แล้วหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป เมื่อเขากลับไปยังจุดเริ่มต้นแล้วอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มือเปล่าเลย
เขาเลยหัวเราะแล้วตอบกลับ “งั้นถ้ามีคนอยากจะอัดฉันล่ะ”
“ฉันจะไปอัดมันเอง”
“แล้วถ้ามันอยากจะฆ่าฉันล่ะ”
“ฉันจะฆ่ามันเอง”
“งั้นถ้าคนทั้งโลกอยากจะฆ่าฉันล่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้ยินก็อึ้ง
เหมือนกับว่าความทรงจำในตอนบ่ายวันนั้นได้หวนกลับมาอีกครั้ง “งั้นฉันจะทำลายทั้งโลกไม่ให้เหลือเลย”
กลับมาสู่จุดเริ่มต้นเดิมๆ อีกแล้วสินะ
เมื่อหลี่ว์ซู่กลับมาจากกลุ่มทวยเทพแล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยวที่สุดตอนที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋วางหูโทรศัพท์จากเขาไป แต่เธอกลับนั่งรถไฟข้ามคืนมาที่เมืองหลวง และเปิดประตูร้านเกมให้ลมหิมะตีเข้ามาในร้าน
เมื่อหลี่ว์ซู่กลับมาจากยุโรปแล้วหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เตรียมบะหมี่ร้อนๆ ใส่ไข่ไว้ให้เขา
หลี่ว์ซู่เอาเหล้าเอ่อร์กั่วโถวออกมาสองขวดและอบไก่สองชิ้นในตอนเที่ยงคืน เขาเอาไข่มุกสีดำออกมาดูหลังจากไม่ได้ดูนาน
เขาเข้าไปในหุบเหวแห่งความโกลาหล หมิงเยว่เยี่ยกำลังนั่งปิดตาตัวเองอยู่ เมื่อหลี่ว์ซู่เข้ามาเขาก็พูดว่า “ถ้าคิดไม่ดีกับผมก็อย่ามาทำร้ายกันเลยนะ”
ไก่ย่างที่เขาทิ้งไว้ในหุบเหวได้แห้งไปแล้ว
หลี่ว์ซู่หัวเราะแล้วโยนไก่อบกับเหล้าให้หมิงเยว่เยี่ย เขาคว้ามันมาไว้ได้และอึ้งไปเล็กน้อย “เจ้าเป็นคนใจดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
หลี่ว์ซู่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเข้ามาในนี้ทำไม เพราะว่าหมิงเยว่เยี่ยหนีไปไหนไม่ได้ละมั้ง เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกไหนเลย หลี่ว์ซู่ก็เลยไม่รู้สึกกดดันเมื่ออยู่ใกล้ๆ เขา
หมิงเยว่เยี่ยฉีกไก่ออกแล้วยัดเข้าไปในปาก เขาซึ้งใจจนอยากที่จะร้องไห้ออกมาเลย “อร่อยมาก!”
“คุณติดอยู่ในนี้มานานเท่าไหร่แล้ว” หลี่ว์ซู่นั่งห่างจากเขาออกมา เขาเคยพูดกับหมิงเยว่เยี่ยและไม่คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีอะไร แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง หมิงเยว่เยี่ยเก่งกว่าหลี่ว์ซู่แน่ๆ ถึงแม้ว่าจะจับพลังงานไม่ได้แต่คนธรรมดาก็ไม่น่าจะมาอยู่ในหุบเหวแห่งความโกลาหลได้นานขนาดนี้โดยพึ่งแค่คลื่นพลังจิตวิญญาณอย่างเดียวได้หรอก
“ไม่กี่ปี ไม่กี่สิบปี หรือไม่กี่ร้อยปี เป็นไปได้หมดนั่นแหละ” หมิงเยว่เยี่ยตอบอย่างกว้างๆ “ที่นี่ไม่มีกลางวันกลางคืนหรอก แล้วฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าติดอยู่มานานแค่ไหนแล้ว”
“แล้วใครทำคุณถึงติดอยู่ในนี้ล่ะครับ ทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย” หลี่ว์ซู่ถาม
“ถามตั้งเยอะแต่ว่ามีอาหารมาให้แค่นี้เนี่ยนะ” หมิงเยว่เยี่ยหัวเราะใส่ “แค่นี้ไม่พอหรอกนะ หยุดถามได้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะจัดการได้หรอก เดี๋ยวก็ส่งลงโลงไปเลยนี่”
“เอ้อ ครับ” หลี่ว์ซู่หยุดถามแล้ว เขาวางศีรษะบนมือตัวเองขณะดูหมิงเยว่เยี่ยกิน
“ทำไมหยุดพูดแล้วล่ะ” หมิงเยว่เยี่ยถาม
“ก็แค่อยากจะฟังคุณอวดไปเงียบๆ น่ะครับ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น “คุณคงต้องคิดเยอะเมื่อมาติดอยู่ที่นี่แล้ว ว่าคุณทำอะไรลงไป และถ้าทำอะไรลงไปแย่ขนาดนั้นทำไมคนคนนั้นถึงไม่ฆ่าคุณเสีย”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร” หมิงเยว่เยี่ยเริ่มอารมณ์เสีย “เจ้าอยากจะทรมานข้าให้ตายด้วยหมอกสีดำนี่ แต่ก็คงจะไม่ได้คิดว่าข้าจะอยู่รอดมาถึงป่านนี้หรอกมั้ง อีกอย่างเจ้าก็เอาหมอกสีดำออกไปด้วยวิธีการแปลกๆ แล้ว เจ้ามีเคล็ดลับอะไรกันล่ะ ทำไมถึงเก็บหมอกสีดำนั้นออกไปได้”
“ทำไมเราไม่มาแบ่งปันความลับกันล่ะครับ บอกผมมาก่อนว่าคุณคือใคร เดี๋ยวผมจะบอกคุณกลับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ เขาแค่อยากจะคุยกับใครก็ได้ที่ไม่ปากโป้งบอกความลับเขาไป เขาก็เลยดูสนใจขึ้นมามาก
“ข้าเป็นจอมทัพแห่งสวรรค์ใต้ชื่อเหวินไจ้เฝ่ย” หมิงเยว่เยี่ยตอบ “ตาเจ้าแล้ว”
“ฮ่าๆๆ รอบที่แล้วคุณก็พูดแบบนี้” หลี่ว์ซู่หัวเราะเสียงเย็น
“อย่างนั้นข้าก็เป็นจอมทัพแห่งสวรรค์ตะวันตกชื่อตวนมู่หวงฉี่”
“ตอนนั้นคุณก็บอกแบบนี้เหมือนกันครับ” หลี่ว์ซู่ตอบกลับเสียงเรียบ
หมิงเยว่เยี่ยคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมา “ฉันไม่ได้เป็นใครหรอก ไม่มีค่าจะให้พูดถึงด้วยซ้ำ”
“คุณพูดถึงจอมทัพแห่งสวรรค์ใต้และจอมทัพแห่งสวรรค์ตะวันตก พวกเขามีจริงหรือเปล่าครับ” หลี่ว์ซู่ถาม
เขาสงสัยมาตลอด เหมือนกับว่าหมิงเยว่เยี่ยจะไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาเลย
“แน่นอนว่ามีจริงอยู่แล้ว” หมิงเยว่เยี่ยเริ่มทำตัวน่าสงสัยขึ้นมา “เจ้ามาจากที่ไหนกัน ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อของพวกเขา เจ้าอยู่โลกไหนกันล่ะ”
“ผมเหรอครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ “ผมเป็นผู้ติดตามของจอมทัพแห่งสวรรค์ตะวันตกที่ชื่อว่ากัศยปะผู้น่าเคารพครับ”
“ตอนแรกเจ้าบอกว่าเป็นผู้ติดตามของจอมทัพแห่งสวรรค์ตะวันออกที่ชื่อว่ากัศยปะผู้น่าเคารพไม่ใช่เหรอ” หมิงเยว่เยี่ยพูด
ทั้งสองเงียบไปสักพัก แล้วหลี่ว์ซู่ก็หัวเราะออกมาอย่างกระอักกระอ่วนและสุภาพ “ความจำคุณดีมากเลยนะครับ”
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ไม่ได้มาจากโลกนี้งั้นหรือ ทำไมตอนนั้นถึงถามข้าว่ารู้จักกับปรมาจารย์หุ่นเชิดหรือเปล่า” หมิงเยว่เยี่ยถามต่อ
“ก็ไหนคุณบอกว่าไม่เคยได้ยินปรมาจารย์หุ่นเชิดล่ะครับ” หลี่ว์ซู่งง
“หา ว่าอะไรนะ” หมิงเยว่เยี่ยทำมึน “ไก่นี่อร่อยดีจัง”