ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 716 ภัยธรรมชาติกำลังมา

หลี่อีเสี้ยวโชคไม่ดีนักที่ไปเจอน่าหลานเชวี่ยเข้า เขาเอายาหม่องกลับมากว่าพันกระปุก และคิดว่าคงจะทำเงินจากมันได้บ้าง จะหนึ่งหยวนหรือสองหยวนก็เป็นเงินที่มากสำหรับเขาแล้ว เขาเริ่มจะขายยาหม่องให้คนอื่นๆ แต่ก็ถูกน่าหลานเชวี่ยยึดยาหม่องพวกนั้นไปในตอนสุดท้าย

 

 

เขาหวังว่าน่าหลานเชวี่ยจะหนีเขาไปกับคนอื่น แต่เธอคงไม่ทำแบบนั้นหรอก…

 

 

หลี่อีเสี้ยวนอนเมาหนักอยู่บนโต๊ะ เขาอยากเลี้ยงเหล้าหลี่ว์ซู่แต่พอดูแล้วเขาก็ไม่น่าจะจ่ายเงินค่าอาหารได้ เมื่อหลี่ว์ซู่ตัดสินใจไปจ่ายเงินค่าอาหาร เขาก็เห็นว่าน่าหลานเชวี่ยควักเงินออกไปจ่ายที่แคชเชียร์เรียบร้อยแล้ว

 

 

“เขาระบายความหนักใจออกไปเยอะเลยใช่ไหม” น่าหลานเชวี่ยเดินมาถามด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ที่จริงแล้วคุณก็ไม่เห็นต้องเข้มงวดกับเขาขนาดนั้นเลยนี่ครับ แต่ผมไม่ขอยุ่งในความสัมพันธ์ของพวกคุณหรอก” หลี่ว์ซู่พูด

 

 

“เมื่อก่อนตอนเขาโดนบ้านฉันดูถูก เขาขึ้นรถไฟกลับไปโดยที่ยังไม่ได้บอกลา ฉันไม่รู้ด้วยว่าเขาไปไหน หลังจากนั้นฉันก็เลยสัญญากับตัวเองไว้ว่าฉันจะไม่ให้เงินเขาพอที่จะไปซื้อค่าตั๋วรถไฟอีกแล้ว ทุกวันนี้ฉันให้เงินเขาแค่ห้าสิบหยวนเท่านั้น” น่าหลานเชวี่ยพูด

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้งไป “ตั๋วรถไฟบางที่ราคาแค่ยี่สิบหยวนเองครับ”

 

 

[ได้แต้มจากหลี่อีเสี้ยว +999!]

 

 

หลี่ว์ซู่มองหลี่อีเสี้ยวแล้วหัวเราะ คุณยังไม่หลับไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์สินะ

 

 

หลี่ว์ซู่เอาโทรศัพท์ตัวเองออกมาดู เขาเลยยืนยันไปอีกรอบ “ใช่แล้วครับ ตั๋วยืนจากเมืองลั่วไปเมืองหลวงของจังหวัดมีราคาแค่สิบเก้าหยวนเท่านั้น”

 

 

[ได้แต้มจากหลี่อีเสี้ยว +999!]

 

 

หลี่อีเสี้ยวตื่นขึ้นมาอย่างมึนๆ “อ้าว น่าหลานเชวี่ยมาด้วยเหรอ รักนะจ๊ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่เริ่มจะปวดหัวกับเรื่องนี้แล้ว ทำไมเขาต้องมาเป็นบ้ากับเงินแค่เล็กน้อยพวกนี้ด้วยนะ เขาเห็นว่าหลี่อีเสี้ยวเมาหนักมาก ถึงจะไม่ได้เมาหลับไปแต่ก็ไม่มีสติหรอก หลี่ว์ซู่ถึงได้รู้ว่าหลี่อีเสี้ยวอยากได้เงินมากขนาดไหน

 

 

แต่น่าหลานเชวี่ยดูจะไม่เปลี่ยนใจเลย เธอพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “หลี่อีเสี้ยว เธอชอบให้ฉันเป็นนางฟ้าหรือนางมารกันล่ะ”

 

 

หลี่อีเสี้ยวชะงักไป “เธอนี่ตลกดีนะ”

 

 

หลี่ว์ซู่พูดไม่ออกเลย

 

 

คุณจบแล้วล่ะพี่ชาย

 

 

“ฮ่าๆ เดี๋ยวค่อยไปคุยเรื่องนี้ตอนเรากลับกันดีกว่านะ” น่าหลานเชวี่ยอุ้มหลี่อีเสี้ยวขึ้นหลังแล้วจากไป คนในร้านคงยังจะไม่เคยเห็นผู้หญิงที่แข็งแรงขนาดนี้มาก่อน และพวกเขาก็หลีกทางให้เธอ

 

 

“นี่แหละความรัก” หลี่ว์ซู่ฉีกยิ้ม

 

 

เขาเดินออกไปตามลำพัง ตอนนี้ฝนยังตกอยู่ มีคนคนหนึ่งที่ไม่ได้ถือร่มเดินชนผ่านเขาไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าฝนได้หยุดตก แต่เมื่อเขาเดินต่อไปอีกก้าวหนึ่งฝนก็ยังตกลงมาเหมือนเดิม

 

 

เขาหันหลังกลับด้วยความประหลาดใจและมองชายหนุ่มที่เพิ่งเดินผ่านเขาไป เหมือนกับว่าร่มที่มองไม่เห็นนั่นเป็นกำบังให้เขาเลย และฝนที่ตกลงมาบนร่มล่องหนนั่นก็ทำให้ฝนหยุดตกกะทันหัน

 

 

หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกอยู่ใต้เท้าเมื่อเขาเดินเข้าไปในสวน เขามองดูว่าสิ่งนั้นคืออะไรแล้วก็พบว่าตัวเองเหยียบปลวกตายไป

 

 

แต่ปลวกที่ว่านั่นมีบางอย่างแปลกๆ มันตัวใหญ่เท่าหัวแม่มือ และมีเปลือกที่แข็งกว่าปลวกทั่วไป

 

 

หลี่ว์ซู่ขยับตัวทันที เขาเดินไปทางซ้ายแล้วนั่งยองๆ ลงมาเพื่อหยิบปลวกตัวที่พยายามจะกลับไปในหลุมบนพื้น มันตัวใหญ่เท่าหัวแม่มือเหมือนกัน และมีเปลือกนอกสีขาวแสบตา

 

 

ปากที่ดุร้ายของมันเคลื่อนที่ขึ้นลงเหมือนกับว่ามันกำลังพยายามจะกัดหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่กำลังจับหลังของมันอยู่ มันเลยกัดได้แต่อากาศเท่านั้น

 

 

ปลวกตัวนี้เร็วมาก ถ้ามันเข้าโจมตีคนธรรมดาแล้ว คนคนนั้นคงจะไม่สามารถหนีการโจมตีนั้นได้ หลี่ว์ซู่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากตราแผ่นดินเพื่อโทรหาโยวหมิงอวี่ เขาอยากจะให้คนมาเก็บตัวอย่างไว้

 

 

ถึงแม้ว่าเขาเองจะเจอมันโดยบังเอิญแต่เขาก็ควรแจ้งเครือข่ายฟ้าเกี่ยวกับการค้นพบนี้ด้วย

 

 

ปลวกนี่เรียกว่าเสือไร้เขี้ยวเพราะมันมีพลังทำลายล้างสูง ครืน! หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงป้ายจราจรบนถนนใกล้ๆ พังลงมาเสียงดัง เขาเดินไปดูก็เห็นว่ามีปลวกสองสามตัวเดินกลับเข้าไปในรูบนพื้น ป้ายที่พังลงมาถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของพวกมันเลย

 

 

อย่างที่คิดไว้เลยว่าทุกอย่างมีทั้งข้อดีข้อเสีย ในขณะที่มนุษย์กำลังสนุกสนานกับประโยชน์ที่ได้มาจากยุคพลังจิตวิญญาณ พวกเขาก็ต้องเจอกับผลกระทบอีกอย่างเหมือนดาบสองคม

 

 

แต่หลี่ว์ซู่คิดว่ามนุษย์ยึดเอาโลกเป็นที่อยู่อาศัยมาตลอด และนี่ก็เป็นผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงของมนุษยชาติ ตอนนี้ในเครือข่ายฟ้าดินก็มีการจัดการและสร้างระเบียบวินัยในองค์กรแล้ว มีกลุ่มใหม่ถูกตั้งขึ้นมา และพวกเขาคงจะรับมือกับสิ่งมีชีวิตพวกนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาใช่ไหมล่ะ

 

 

แต่ถ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้กลับมีความสามารถอื่นๆ ที่ได้เปรียบกว่าล่ะ

 

 

โยวหมิงอวี่พากลุ่มหนึ่งมาถึงภายในเวลาน้อยกว่าสิบนาที ผู้มีพลังธาตุดินระดับ C คนหนึ่งยืนอยู่ข้างป้ายสัญญาณบนถนน ทันใดนั้นพื้นดินที่อยู่ข้างใต้เขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศเสียงดัง เขาทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่อยู่บนพื้น

 

 

“ตัวนางพญายังอยู่ข้างล่าง ถ้าฆ่าได้ก็จบ” ผู้มีพลังธาตุดินพูด “ช่วงนี้เรากวาดล้างรังมดไปเยอะมาก ถ้าฆ่านางพญาได้ก็จบเรื่องได้ พวกมันเป็นสิ่งมีชิวิตที่มีความซับซ้อนในเรื่องสังคมมาก หลังจากที่นางพญาถูกฆ่าไปแล้วมันก็อยู่ไม่รอดแล้ว ถึงพวกมันจะมีวิวัฒนาการขึ้นมา แต่พวกมันก็ยังเอาชนะขอบเขตของธรรมชาติไม่ได้หรอก”

 

 

หลี่ว์ลู่ถามโยวหมิงอวี่ “เรื่องแบบนี้เกิดบ่อยไหมครับ”

 

 

“บ่อยเลยล่ะ” โยวหมิงอวี่พยักหน้าแล้วพูดต่อ “ตอนนี้เราต้องมาคิดแล้วว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้กันอย่างไร ไม่ว่าพวกมันจะเป็นปลวก มด แมลง หรือสุนัขจรจัดก็เถอะ พวกมันอาจจะโจมตีขึ้นมากันตอนไหนก็ไม่รู้”

 

 

หลี่ว์ซู่พยักหน้าแล้วเดินกลับไป พวกเขาเคยเจอเรื่องแบบนี้กันมาแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ

 

 

หลี่ว์ซู่เปิดประตูแล้วเจอหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และเสี่ยวซยงสวี่นั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา เสี่ยวซยงสวี่ย้อมสีขนกลับมาเหมือนเดิมแล้ว มันคงกลัวว่าหลี่ว์ซู่จะสักคำหยาบคายบนตัวมันเข้า ถ้าโดนแบบนั้นจริงๆ มันจะเอาหน้าไปเจอลูกน้องได้อย่างไร

 

 

หลี่ว์ซู่ถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในเมืองลั่ว รู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นับนิ้ว “ฉันให้เสี่ยวซยงสวี่สั่งลูกน้องไปขุดรังมดสิบเอ็ดรัง แล้วลูกน้องพวกนั้นก็ดูจะชอบกินมดด้วยนะ พูดอย่างกับว่ากินมันฝรั่งทอดอย่างนั้นแหละ แล้วก็มีสุนัขกับแมวจรจัดมากกว่าสิบตัวโจมตีคนด้วย เหมือนเป็นบ้ากันไปแล้ว แต่ก็โดนพวกลูกน้องของเสี่ยวซยงสวี่จัดการฆ่าไปหมดแล้ว”

 

 

การฆ่าไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อีกแล้ว และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แต่เมื่อเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดูจะป่าเถื่อนแปลกๆ นะ

 

 

หลี่ว์ซู่นึกอะไรออกขึ้นมาบางอย่าง เขาหันไปหาเสี่ยวซยงสวี่แล้วถาม “ตอนนี้แกมีลูกน้องกี่ตัวแล้ว”

 

 

เสี่ยวซยงสวี่เขียนตอบผ่านสมุด [มากกว่าสี่หมื่นตัวแล้ว]

 

 

หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “แล้วแกก็ควบคุมพวกมันทั้งหมดเลยเหรอ”

 

 

[ใช่]

 

 

หลี่ว์ซู่คิดไปพักหนึ่งแล้วหยิบผลล้างไขกระดูกออกมาละลายยื่นให้เสี่ยวซยงสวี่ เขายังหยิบผลล้างไขกระดูกออกมาสองผลให้มันกินเองอีกด้วย หลี่ว์ซู่กำชับ “เอาไปเพิ่มความสามารถนะ บอกพวกมันว่าพวกมันจะอยู่ใต้การควบคุมของแกตลอดไป อีกอย่าง ถ้าไปเจอตัวอะไรแปลกๆ ให้ฆ่าได้เลย”

 

 

เสี่ยวซยงสวี่รู้สึกว่าตัวเองสำคัญมากกว่าเดิม จริงๆ แล้วมันอยากจะพิสูจน์ตัวเองมาก แต่ปิศาจสองตัวที่บ้านนั้นแข็งแกร่งเกินไปที่จะทำอย่างนั้น มันก็เลยไปสูบบุหรี่ กินเหล้า และดัดขนเพื่อที่จะคลายความเศร้า แล้วตอนนี้ก็เป็นเวลาเฉิดฉายของมันแล้ว!

 

 

เสี่ยวซยงสวี่รับผลพวกนั้นมาอย่างดีใจ มันเขียนบนสมุดกลับมา [ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น]

 

 

หลี่ว์ซู่ทำหน้าน่ากลัว “หุบปากแล้วรีบๆ ไปได้แล้ว อย่าสร้างปัญหาอีกล่ะ”

 

 

เสี่ยวซยงสวี่เขียนบนสมุดด้วยท่าทางจริงจัง [เสี่ยวซยงสวี่คนนี้จะยอมสูบบุหรี่ กินเหล้า และดัดขนเพื่อตระกูลหลี่ว์ได้เสมอ!]

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset