เดี๋ยวนี้สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับสองของคนจีนก็คงจะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติหรือที่เรียกกันว่า NCEE
หลายคนไม่เห็นด้วย และอ้างว่ามีนักศึกษาที่เรียนไม่จบหลายคนก็มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้
แต่ความจริงแล้วที่พวกเขาออกจากมหาวิทยาลัยไปก็เพราะพวกเขาไม่พอใจในเนื้อหาที่สอนในมหาวิทยาลัยต่างหาก
หลายปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการมีเกรดดีๆ จากมหาวิทยาลัยก็จะเป็นบันไดในการไต่ระดับชั้นในสังคมได้ การเรียนจบมหาวิทยาลัยนั้นเป็นการกำหนดสถานะทางสังคมของคนๆ หนึ่งในอนาคตได้อย่างแท้จริง
นี่มันก็เป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าของโลกนี้ล่ะนะ
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดูสับสนเมื่อหลี่ว์ซู่บอกกับเธอ “ทำไมมันถึงเป็นเรื่องสำคัญลำดับสองล่ะ ในเมื่อมันสำคัญมากขนาดนั้นทำไมถึงไม่ได้เป็นลำดับแรก”
“ก็เรื่องสำคัญลำดับแรกคือการเกิดมาในครอบครัวดีๆ ยังไงล่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถอนใจ
กว่าหลี่ว์ซู่จะกลับมาจากยุโรป การสอบ NCEE ก็จบลงไปแล้ว
หลี่ว์ซู่ต้องมองกลับไปด้วยอารมณ์ที่เต็มอก เมื่อก่อนเขาต้องอ่านหนังสือแทบตายเพื่อเข้าไปในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและจะได้ให้เขามีงานดีๆ เพื่อชีวิตดีกว่าของทั้งเขาแหละหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เมื่อเวลาเปลี่ยน เป้าหมายของเขาก็เปลี่ยนตาม
การสอบ NCEE นั้นไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป เขาเป็นคนที่เป็นอิสระจากการเตรียมตัวสอบเข้าแล้ว
การพักผ่อนเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับหลี่ว์ซู่ อยู่ๆ ก็ฝนตกลงมา หลี่ว์ซู่ก็เลยออกไปดูฝนจากทางเดินนอกห้องเรียน พื้นข้างนอกกับราวบันไดเปียกไปหมด แต่ในทางเดินกลับแห้งสนิท
หลี่ว์ซู่ยื่นมือออกไปแล้วเม็ดฝนก็มีชีวิตขึ้นมมือของเขาจากนั้นก็เต้นรำอย่างเริงร่า
บางเม็ดฝนพวกนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นขนนกบ้าง หรือมีลูกสุนัขน่ารักๆ บ้าง ข้างหลังห้องเรียนมีการพูดคุยกันในประเด็นที่เผ็ดร้อนอย่างคะแนนสอบและมหาวิทยาลัยที่ทุกคนอยากจะสอบเข้า
ตอนนี้ในเมืองอวี้โจวนักเรียนจะต้องสมัครเข้ามหาวิทยาลัยก่อนตามคะแนนโดยประมาณของพวกเขา ก่อนที่จะมีการประกาศผลคะแนนและการตัดคะแนนทีหลัง หลี่ว์ซู่ไม่มีความอยากหรือความจำเป็นที่จะต้องไปเลือกเรียนขนาดนั้น ใครๆ ก็อยากอ่านข้อมูลส่วนตัวของเขาเพราะมีการจัดเก็บเป็นความลับขั้นสูงสุด ไม่มีใครเข้าถึงข้อมูลนี้ได้เลย ขนาดวิทยาลัยลั่วเสินก็ยังดูไม่ได้ รู้เพียงแต่ชื่อเท่านั้น
เจียงซู่อีไม่ได้กลับมาเรียนอีกเหมือนกับว่าเขาได้หายไปจากโลกนี้หลังจากที่ไปฝึกมา หลี่ว์ซู่พยายามจะโทรหาเขาหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครรับสาย
ช่องว่างระหว่างตัวเขาเองและประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตเริ่มจะห่างไปเรื่อยๆ จนวันสุดท้ายของการสอบ NCEE เมื่อเขาไม่มีเพื่อน เขาก็จะไม่มีใครติดต่อได้ และจะไม่ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงของห้องด้วย
ทุกคนมีชีวิตใหม่รออยู่ข้างหน้า มีการเรียนเอกใหม่ๆ อยู่เมืองใหม่ๆ และมีแฟนที่ต้องแยกห่างกันไปอยู่คนละที่
สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วการที่เขาเข้าไปเรียนที่วิทยาลัยผู้บำเพ็ญที่ใหม่ก็จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั่นแหละ
ไม่มีการถอยหลังกลับอีกแล้ว ใบจบจากวิทยาลัยผู้บำเพ็ญก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะได้งานดีๆ แบบที่คนธรรมดามีหรอก
จริงอยู่ที่องค์กรต่างๆ กำลังหาผู้มีพลังที่เก่งๆ ไปร่วมงาน แต่มันก็คงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ถ้าจะให้ผู้มีพลังธาตุไฟฟ้าไปเป็นช่างไฟหรอกใช่ไหม
ที่จริงแล้วตอนนี้คงพอพูดได้ว่าหลี่ว์ซู่เพิ่งจะเสียคนรักไป
เขาไม่เคยยอมรับกับคนอื่นเลยว่าความรู้สึกที่คอรัลมีให้เข้านั้นเข้าขั้นรุนแรงมาก คอรัลรู้ว่าหลี่ว์ซู่ต้องการจะมาปกป้องเธอ และนั่นไม่ใช่ความรักที่เขามีให้
แต่หลี่ว์ซู่จะไม่มีใจให้คอรัลได้อย่างไรกันล่ะ เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ
เมื่อพวกเขาได้หนีไปด้วยกันแล้วเขาก็แอบคิดไม่ได้ว่าเขากำลังตกหลุมรักอยู่ อีกอยากอย่างเขาก็อยากจะคิดเรื่องการคบกับคนอื่นอย่างจริงจัง และกำลังจะเตรียมใจให้พร้อมในเรื่องนี้ แต่แล้วเขาก็กลับเสียเธอไปอย่างนั้น
โชคชะตาเล่นงานกับความรู้สึกคนเสียแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ก็ถูกกระจายข่าวลงไปในกระทู้ของมูลนิธิ หลี่ว์ซู่เป็นที่รู้จักในชื่อของคนระดับ B คนใหม่ที่เก่งกาจในโลกของการบำเพ็ญ หลายๆ คนคิดว่าเขาเป็นรองระดับ A ไม่กี่คนเท่านั้น และใครบางคนก็บอกว่าเขาอาจจะเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าก็ได้ และมีบางเสียงที่พูดไม่ดีเกี่ยวกับเขาเหมือนกัน
เขาถูกด่าว่าไปพังกำแพงร้านและไปทำลายอาวุธของผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ
เดี๋ยวนี้อินเทอร์เน็ตก็เป็นแบบนี้แหละ ใครจะวิจารณ์ใครก็ได้แบบไม่ต้องคิด คนใจบุญจะถูกเรียกว่าคนหน้าซื่อใจคด และถ้าทำดีมาตลอดแล้วเกิดวันหนึ่งไม่ได้ทำตามที่ผู้คนคาดหวังไว้ พวกเขาก็ไม่สนใจหรอกทำลงไปทำไมแต่แรก และพวกเขาก็จะพูดว่า ‘เป็นคนเลวมาก เมื่อก่อนคงแสดงมาเก่งล่ะสิ’
แต่หากสถานการณ์กลับกัน และคนเลวอยู่ๆ ก็มาทำสิ่งดีๆ คนก็จะพูดกันทันทีว่า ‘ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีนะ แค่เขาไม่เคยแสดงด้านดีๆ ออกมาเท่านั้นเอง’
นี่แหละคือโลกที่แท้จริงที่แสนน่ารำคาญของเรา
เพราะฉะนั้นทุกคนก็รู้ว่างานแต่งไม่ได้จบสวยเลย และเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็กลายเป็นคนไม่รู้จักกันนับตั้งแต่นั้น
หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงเท้าใกล้เข้ามาก็หันไปดู หลิวหลี่นั่นเอง หลี่ว์ซู่ไม่หวังให้เขาก็มาพูดกับหลี่ว์ซู่ก่อนหรอก หลี่ว์ซู่ก็เลยถามไปยิ้มๆ “นายให้อภัยฉันเรื่องลูกพี่ลูกน้องของนายแล้วเหรอ”
[ได้รับแต้มจากหลิวหลี่! +666!]
หลังจากเงียบกันไปนานหลิวหลี่ก็เลยตอบกลับ “ที่จริงแล้วเดี๋ยวเวลาก็รักษาทุกอย่างเองล่ะ เรื่องที่เลิกกันไปฉันเข้าใจความรู้สึกนายนะ ถึงแม้นายจะเป็นคนไม่ดีมากก็ตาม”
“นายจะไปเข้าใจอะไร ก็ไม่มีใครมาชอบนายอยู่แล้วนี่” หลี่ว์ซู่ตอกกลับ
[ได้รับแต้มจากหลิวหลี่! +666!]
หลี่ว์ซู่กำลังคิดหาความเชื่อมโยงระหว่าง ‘เข้าใจความรู้สึก’ และ ‘เขาเป็นคนไม่ดี’ อยู่ คนคนนี้จะมาเยาะเย้ยเขางั้นเหรอ
แล้วหลังจากที่เงียบกันไปนานหลิวหลี่ก็ถามหลี่ว์ซู่
“ตอนนี้นายเป็นระดับ B แล้วเหรอ”
“ใช่” หลี่ว์ซู่ยอมรับ เขาใช้หน้าตาตัวเองมาตลอดในการต่อสู้ในยุโรป เขาเลยไม่ต้องปิดบังความจริงอีกแล้ว
อีกอย่างการต่อสู้บนรถไฟนั้นยังเข้มข้นกว่าการต่อสู้ครั้งล่าสุดเสียอีก คนสองคนต่อคนเป็นร้อยๆ จำนวนคนมีความแตกต่างกันมากจนไม่เห็นว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ได้เปรียบได้อย่างไร
“ฉันจะเก่งให้เท่านายให้ได้” พูดจบหลิวหลี่ก็จากไป เขาเอาหลี่ว์ซู่เป็นต้นแบบในการเปรียบเทียบตัวเองแล้ว
ตอนนี้ทุกอย่างก็ชัดเจน หลี่ว์ซู่มีความไม่เหมือนใครและความไม่เหมือนใครนั้นก็ทรงพลังมากๆ ด้วย เขาไม่ใช่คนขี้แพ้อีกต่อไปแล้ว
หลี่ว์ซู่ตะโกนไล่หลังหลิวหลี่ไป “หลิวหลี่!”
หลิวหลี่หยุดเดินในทางเดินนอกห้องเรียน แต่เขาก็ไม่ได้หันมา ฝนยังตกนอกโถงทางเดินอย่างต่อเนื่องและไหลลงมาจากหลังคา “ว่าไง”
“ขอบคุณนะ” หลี่ว์ซู่พูดกลับไปหลังจากคิดดีแล้ว
“ไม่เป็นไร”
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็หันกลับไปแล้วเดินกลับบ้าน
ตอนนั้นนักเรียนทุกคนในตึกก็ได้ประเมินคะแนนเสร็จแล้ว พวกเขาล้อมเพื่อนๆ ห้องเต้าหยวนไว้ด้วยกัน และผลัดกันชื่นชมการยกเว้นจาก NCEE และโอกาสที่จะได้บำเพ็ญในอนาคต พวกเขาหวังว่าจะได้ติดต่อกันต่อไป
เมื่อหลี่ว์ซู่เดินผ่านห้องเรียนต่างๆ ไปแล้ว นักเรียนห้องเต้าหยวนก็หันมามองเขาเงียบๆ แต่นักเรียนธรรมดาๆ กลับไม่เข้าใจว่าจะมองทำไม