ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 714 ฤดูแห่งการเรียนจบ

เดี๋ยวนี้สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับสองของคนจีนก็คงจะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติหรือที่เรียกกันว่า NCEE

 

 

หลายคนไม่เห็นด้วย และอ้างว่ามีนักศึกษาที่เรียนไม่จบหลายคนก็มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้

 

 

แต่ความจริงแล้วที่พวกเขาออกจากมหาวิทยาลัยไปก็เพราะพวกเขาไม่พอใจในเนื้อหาที่สอนในมหาวิทยาลัยต่างหาก

 

 

หลายปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการมีเกรดดีๆ จากมหาวิทยาลัยก็จะเป็นบันไดในการไต่ระดับชั้นในสังคมได้ การเรียนจบมหาวิทยาลัยนั้นเป็นการกำหนดสถานะทางสังคมของคนๆ หนึ่งในอนาคตได้อย่างแท้จริง

 

 

นี่มันก็เป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าของโลกนี้ล่ะนะ

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดูสับสนเมื่อหลี่ว์ซู่บอกกับเธอ “ทำไมมันถึงเป็นเรื่องสำคัญลำดับสองล่ะ ในเมื่อมันสำคัญมากขนาดนั้นทำไมถึงไม่ได้เป็นลำดับแรก”

 

 

“ก็เรื่องสำคัญลำดับแรกคือการเกิดมาในครอบครัวดีๆ ยังไงล่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถอนใจ

 

 

กว่าหลี่ว์ซู่จะกลับมาจากยุโรป การสอบ NCEE ก็จบลงไปแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่ต้องมองกลับไปด้วยอารมณ์ที่เต็มอก เมื่อก่อนเขาต้องอ่านหนังสือแทบตายเพื่อเข้าไปในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและจะได้ให้เขามีงานดีๆ เพื่อชีวิตดีกว่าของทั้งเขาแหละหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เมื่อเวลาเปลี่ยน เป้าหมายของเขาก็เปลี่ยนตาม

 

 

การสอบ NCEE นั้นไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป เขาเป็นคนที่เป็นอิสระจากการเตรียมตัวสอบเข้าแล้ว

 

 

การพักผ่อนเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับหลี่ว์ซู่ อยู่ๆ ก็ฝนตกลงมา หลี่ว์ซู่ก็เลยออกไปดูฝนจากทางเดินนอกห้องเรียน พื้นข้างนอกกับราวบันไดเปียกไปหมด แต่ในทางเดินกลับแห้งสนิท

 

 

หลี่ว์ซู่ยื่นมือออกไปแล้วเม็ดฝนก็มีชีวิตขึ้นมมือของเขาจากนั้นก็เต้นรำอย่างเริงร่า

 

 

บางเม็ดฝนพวกนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นขนนกบ้าง หรือมีลูกสุนัขน่ารักๆ บ้าง ข้างหลังห้องเรียนมีการพูดคุยกันในประเด็นที่เผ็ดร้อนอย่างคะแนนสอบและมหาวิทยาลัยที่ทุกคนอยากจะสอบเข้า

 

 

ตอนนี้ในเมืองอวี้โจวนักเรียนจะต้องสมัครเข้ามหาวิทยาลัยก่อนตามคะแนนโดยประมาณของพวกเขา ก่อนที่จะมีการประกาศผลคะแนนและการตัดคะแนนทีหลัง หลี่ว์ซู่ไม่มีความอยากหรือความจำเป็นที่จะต้องไปเลือกเรียนขนาดนั้น ใครๆ ก็อยากอ่านข้อมูลส่วนตัวของเขาเพราะมีการจัดเก็บเป็นความลับขั้นสูงสุด ไม่มีใครเข้าถึงข้อมูลนี้ได้เลย ขนาดวิทยาลัยลั่วเสินก็ยังดูไม่ได้ รู้เพียงแต่ชื่อเท่านั้น

 

 

เจียงซู่อีไม่ได้กลับมาเรียนอีกเหมือนกับว่าเขาได้หายไปจากโลกนี้หลังจากที่ไปฝึกมา หลี่ว์ซู่พยายามจะโทรหาเขาหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครรับสาย

 

 

ช่องว่างระหว่างตัวเขาเองและประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตเริ่มจะห่างไปเรื่อยๆ จนวันสุดท้ายของการสอบ NCEE เมื่อเขาไม่มีเพื่อน เขาก็จะไม่มีใครติดต่อได้ และจะไม่ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงของห้องด้วย

 

 

ทุกคนมีชีวิตใหม่รออยู่ข้างหน้า มีการเรียนเอกใหม่ๆ อยู่เมืองใหม่ๆ และมีแฟนที่ต้องแยกห่างกันไปอยู่คนละที่

 

 

สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วการที่เขาเข้าไปเรียนที่วิทยาลัยผู้บำเพ็ญที่ใหม่ก็จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั่นแหละ

 

 

ไม่มีการถอยหลังกลับอีกแล้ว ใบจบจากวิทยาลัยผู้บำเพ็ญก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะได้งานดีๆ แบบที่คนธรรมดามีหรอก

 

 

จริงอยู่ที่องค์กรต่างๆ กำลังหาผู้มีพลังที่เก่งๆ ไปร่วมงาน แต่มันก็คงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ถ้าจะให้ผู้มีพลังธาตุไฟฟ้าไปเป็นช่างไฟหรอกใช่ไหม

 

 

ที่จริงแล้วตอนนี้คงพอพูดได้ว่าหลี่ว์ซู่เพิ่งจะเสียคนรักไป

 

 

เขาไม่เคยยอมรับกับคนอื่นเลยว่าความรู้สึกที่คอรัลมีให้เข้านั้นเข้าขั้นรุนแรงมาก คอรัลรู้ว่าหลี่ว์ซู่ต้องการจะมาปกป้องเธอ และนั่นไม่ใช่ความรักที่เขามีให้

 

 

แต่หลี่ว์ซู่จะไม่มีใจให้คอรัลได้อย่างไรกันล่ะ เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ

 

 

เมื่อพวกเขาได้หนีไปด้วยกันแล้วเขาก็แอบคิดไม่ได้ว่าเขากำลังตกหลุมรักอยู่ อีกอยากอย่างเขาก็อยากจะคิดเรื่องการคบกับคนอื่นอย่างจริงจัง และกำลังจะเตรียมใจให้พร้อมในเรื่องนี้ แต่แล้วเขาก็กลับเสียเธอไปอย่างนั้น

 

 

โชคชะตาเล่นงานกับความรู้สึกคนเสียแล้ว

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ก็ถูกกระจายข่าวลงไปในกระทู้ของมูลนิธิ หลี่ว์ซู่เป็นที่รู้จักในชื่อของคนระดับ B คนใหม่ที่เก่งกาจในโลกของการบำเพ็ญ หลายๆ คนคิดว่าเขาเป็นรองระดับ A ไม่กี่คนเท่านั้น และใครบางคนก็บอกว่าเขาอาจจะเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าก็ได้ และมีบางเสียงที่พูดไม่ดีเกี่ยวกับเขาเหมือนกัน

 

 

เขาถูกด่าว่าไปพังกำแพงร้านและไปทำลายอาวุธของผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ

 

 

เดี๋ยวนี้อินเทอร์เน็ตก็เป็นแบบนี้แหละ ใครจะวิจารณ์ใครก็ได้แบบไม่ต้องคิด คนใจบุญจะถูกเรียกว่าคนหน้าซื่อใจคด และถ้าทำดีมาตลอดแล้วเกิดวันหนึ่งไม่ได้ทำตามที่ผู้คนคาดหวังไว้ พวกเขาก็ไม่สนใจหรอกทำลงไปทำไมแต่แรก และพวกเขาก็จะพูดว่า ‘เป็นคนเลวมาก เมื่อก่อนคงแสดงมาเก่งล่ะสิ’

 

 

แต่หากสถานการณ์กลับกัน และคนเลวอยู่ๆ ก็มาทำสิ่งดีๆ คนก็จะพูดกันทันทีว่า ‘ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีนะ แค่เขาไม่เคยแสดงด้านดีๆ ออกมาเท่านั้นเอง’

 

 

นี่แหละคือโลกที่แท้จริงที่แสนน่ารำคาญของเรา

 

 

เพราะฉะนั้นทุกคนก็รู้ว่างานแต่งไม่ได้จบสวยเลย และเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็กลายเป็นคนไม่รู้จักกันนับตั้งแต่นั้น

 

 

หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงเท้าใกล้เข้ามาก็หันไปดู หลิวหลี่นั่นเอง หลี่ว์ซู่ไม่หวังให้เขาก็มาพูดกับหลี่ว์ซู่ก่อนหรอก หลี่ว์ซู่ก็เลยถามไปยิ้มๆ “นายให้อภัยฉันเรื่องลูกพี่ลูกน้องของนายแล้วเหรอ”

 

 

[ได้รับแต้มจากหลิวหลี่! +666!]

 

 

หลังจากเงียบกันไปนานหลิวหลี่ก็เลยตอบกลับ “ที่จริงแล้วเดี๋ยวเวลาก็รักษาทุกอย่างเองล่ะ เรื่องที่เลิกกันไปฉันเข้าใจความรู้สึกนายนะ ถึงแม้นายจะเป็นคนไม่ดีมากก็ตาม”

 

 

“นายจะไปเข้าใจอะไร ก็ไม่มีใครมาชอบนายอยู่แล้วนี่” หลี่ว์ซู่ตอกกลับ

 

 

[ได้รับแต้มจากหลิวหลี่! +666!]

 

 

หลี่ว์ซู่กำลังคิดหาความเชื่อมโยงระหว่าง ‘เข้าใจความรู้สึก’ และ ‘เขาเป็นคนไม่ดี’ อยู่ คนคนนี้จะมาเยาะเย้ยเขางั้นเหรอ

 

 

แล้วหลังจากที่เงียบกันไปนานหลิวหลี่ก็ถามหลี่ว์ซู่

 

 

“ตอนนี้นายเป็นระดับ B แล้วเหรอ”

 

 

“ใช่” หลี่ว์ซู่ยอมรับ เขาใช้หน้าตาตัวเองมาตลอดในการต่อสู้ในยุโรป เขาเลยไม่ต้องปิดบังความจริงอีกแล้ว

 

 

อีกอย่างการต่อสู้บนรถไฟนั้นยังเข้มข้นกว่าการต่อสู้ครั้งล่าสุดเสียอีก คนสองคนต่อคนเป็นร้อยๆ จำนวนคนมีความแตกต่างกันมากจนไม่เห็นว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ได้เปรียบได้อย่างไร

 

 

“ฉันจะเก่งให้เท่านายให้ได้” พูดจบหลิวหลี่ก็จากไป เขาเอาหลี่ว์ซู่เป็นต้นแบบในการเปรียบเทียบตัวเองแล้ว

 

 

ตอนนี้ทุกอย่างก็ชัดเจน หลี่ว์ซู่มีความไม่เหมือนใครและความไม่เหมือนใครนั้นก็ทรงพลังมากๆ ด้วย เขาไม่ใช่คนขี้แพ้อีกต่อไปแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่ตะโกนไล่หลังหลิวหลี่ไป “หลิวหลี่!”

 

 

หลิวหลี่หยุดเดินในทางเดินนอกห้องเรียน แต่เขาก็ไม่ได้หันมา ฝนยังตกนอกโถงทางเดินอย่างต่อเนื่องและไหลลงมาจากหลังคา “ว่าไง”

 

 

“ขอบคุณนะ” หลี่ว์ซู่พูดกลับไปหลังจากคิดดีแล้ว

 

 

“ไม่เป็นไร”

 

 

จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็หันกลับไปแล้วเดินกลับบ้าน

 

 

ตอนนั้นนักเรียนทุกคนในตึกก็ได้ประเมินคะแนนเสร็จแล้ว พวกเขาล้อมเพื่อนๆ ห้องเต้าหยวนไว้ด้วยกัน และผลัดกันชื่นชมการยกเว้นจาก NCEE และโอกาสที่จะได้บำเพ็ญในอนาคต พวกเขาหวังว่าจะได้ติดต่อกันต่อไป

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่เดินผ่านห้องเรียนต่างๆ ไปแล้ว นักเรียนห้องเต้าหยวนก็หันมามองเขาเงียบๆ แต่นักเรียนธรรมดาๆ กลับไม่เข้าใจว่าจะมองทำไม

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset