ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 719 มีหัวการค้า

ตัวอย่างปลวกพิเศษพวกนั้นถูกเก็บไปทำวิจัยต่อ เครือข่ายฟ้าดินจะพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพวกมันให้ได้เร็วที่สุด  

 

 

เมื่อพวกปลวกพวกนี้ไม่จำเป็นจะต้องอยู่เป็นกลุ่มอีกต่อไป พวกมันก็สร้างสังคมใหม่และแพร่พันธุ์ออกมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม ยังมีอีกกี่สายพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการอย่างนี้ หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือพวกมันอาจจะมีวิวัฒนาการที่สมบูรณ์แล้วก็ได้  

 

 

หลี่ว์ซู่ถามจงอวี้ถัง “บอกความจริงกับผมมาว่าคุณกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า”  

 

 

“เปล่านี่” จงอวี้ถังตอบ  

 

 

“ก็โกหกหน้าตายดีนี่ครับ รีบๆ บอกผมมาเลยนะ” หลี่ว์ซู่เร่งอย่างใจร้อน เขารู้สึกว่าเขายังไม่เห็นภาพรวมที่ชัดเจน  

 

 

จงอวี้ถังและหลี่อีเสี้ยวบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าสัตว์กลายพันธุ์พวกนี้เป็นศัตรูที่น่ากลัวมาก แล้วคนระดับ C ขั้นสูงกับคนระดับ B ขั้นสูงจะมากังวลเรื่องสัตว์ระดับ F ทำไมกัน  

 

 

ดูเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างสิ พวกเขาจ้างผู้มีพลังธาตุดินมาอย่างเร่งด่วนเพื่อมาหารังปลวกกลายพันธุ์รังอื่น แน่ล่ะว่ามันจะทำกำจัดปัญหาปลวกได้เป็นอย่างดี แต่วิธีนี้มันทั้งยากเย็นและไม่ฉลาดเอาเสียเลย  

 

 

หลี่อีเสี้ยวและจงอวี้ถังต้องกำลังเจอกับปัญหาอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกว่านั้นแน่ๆ  

 

 

หลังจากที่น่าหลานเชวี่ยคิดอยู่นานก่อนจะพูดออกมา “ที่จริงแล้วเราควรบอกเธอไว้ ข้อมูลพวกนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดมาตลอด ทั้งโยวหมิงอวี่และจงอวี้ถังไม่รู้เรื่องนี้มากเท่าไหร่หรอก แต่ฉันรู้ว่าฉันไว้ใจบอกความลับนี้กับเธอได้”  

 

 

จากนั้นเธอก็มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ซึ่งทำให้หลี่ว์ซู่บ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ” คุณไว้ใจหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้เหมือนกันครับ”  

 

 

หลี่อีเสี้ยวเห็นด้วย “จริงของเขา หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นเด็กดี บอกพวกเขาไปเถอะ”  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้าอย่างอ่อนหวาน เธอดูน่ารักมาก  

 

 

“ที่จริงแล้วครอบครัวของฉันเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เขาจั่งไป๋มานานแล้ว แต่ราชันฟ้าเนี่ยเก็บเป็นความลับมาตลอด จนป่านนี้พื้นที่นั้นก็ยังได้รับการดูแลจากมีดบินทั่วทุกพื้นที่ เมื่อก่อนอาวุธของราชันฟ้าเนี่ยไม่ใช่กระบี่ซินถิงหรอก ว่ากันว่าเขาทิ้งอาวุธเก่าไว้ในพื้นที่นั้นเพื่อคุ้มกันพื้นที่ไว้ ขนาดคนในครอบครัวฉันยังเข้าไปใกล้ไม่ได้เลย จนฉันมาเป็นราชันฟ้านี่แหละถึงได้รู้ว่าการวิวัฒนาการเริ่มต้นมาตั้งแต่สร้างโลกแล้ว และทุกวันนี้มันก็วิวัฒน์มาจนเหนือจินตนาการแล้ว”  

 

 

หลี่ว์ซู่ชะงักไป “เหนือจินตนาการงั้นเหรอครับ คุณหมายความว่าไง”  

 

 

“มันเหนือจินตนาการเสียจนราชันฟ้าไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนั้นได้เลยน่ะสิ” น่าหลานเชวี่ยตอบเสียงเรียบ  

 

 

หลี่ว์ซู่หันไปมองหลี่อีเสี้ยวที่กำลังพยักหน้าด้วยท่าทางตกใจ “จริง พวกเราเข้าถึงข้อมูลไม่ได้เลย มีแต่สือเสวจิ้นและเนี่ยถิงเท่านั้นที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น”  

 

 

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน” จงอวี้ถังพูดขึ้นมาหลังจากหยุดไป “ปัญหาใหญ่ตอนนี้ของเราก็คือแมลง หรือสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีจำนวนเยอะๆ ”  

 

 

“คงจะง่ายกว่านี้ถ้านั่นเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งจำพวกเดียวที่เราต้องรับมือ ไม่มีสัตว์พวกไหนที่จะเป็นศัตรูกับราชันฟ้าอย่างพวกเราหรอก แต่พวกแมลงนี่ต่างออกไป พวกมันมีอยู่ทุกที่และมีกันเยอะด้วย อีกอย่างฤดูร้อนก็กำลังเข้ามาแล้ว ถ้ายุงเป็นไปกับเขาด้วยก็คงจะน่าปวดหัวพอดู”  

 

 

“นอกเหนือจากนั้นเราจะต้องปกป้องพวกคนธรรมดาด้วย” จงอวี้ถังกล่าว  

 

 

หลี่ว์ซู่พยักหน้าเห็นด้วย สัตว์ที่มีสติปัญญาอย่างหมูเจ้าเล่ห์ยังมีอีกแน่นอน แต่พวกมันจะไม่เป็นอันตรายต่อสังคมมนุษย์เนื่องจากถูกกำจัดได้ง่าย แต่พวกแมลงเลวร้ายกว่า พวกมันไม่มีความรู้สึกนึกคิดและมีจำนวนเยอะมาก เป็นไปได้ว่ามดในบ้านอาจจะกลายเป็นมดกินคนในสักวันก็ได้  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นแล้วการกำจัดแมลงออกไปกลุ่มหนึ่งก็ทำอะไรทั้งสายพันธุ์ไม่ได้ เพราะสมาชิกในสายพันธุ์ของพวกมันไม่ได้จะโศกเศร้าหรือเคียดแค้นกับการตายของตัวอื่นๆ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญจะต้องปกป้องคนธรรมดาถึงแม้ว่าพวกปลวกกลายพันธุ์จะไม่สนใจพวกที่มีวิวัฒนาการน้อยกว่าพวกมันก็ตาม  

 

 

แต่การที่ผู้บำเพ็ญจะต้องปกป้องคนอื่นอยู่เสมอก็ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงเหมือนกัน  

 

 

“เหตุการณ์ที่ภูเขาจั่งไป๋เตือนพวกเราอยู่เสมอ” น่าหลานเชวี่ยพูด “ว่าสายพันธุ์อื่นๆ สามารถมีวิวัฒนาการเท่าๆ กับเราได้ เพราะฉะนั้นเราต้องระวังเอาไว้”  

 

 

ในขณะนั้นภารกิจช่วยชีวิตคนก็คลี่คลายลงแล้ว โชคดีที่คืนนั้นไม่มีคนอยู่ที่ตึกออฟฟิศนั้นมากเท่าไหร่ ผู้คนในเมืองลั่วเล็กๆ แห่งนี้ยังสามารถจัดการชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดี  

 

 

เพราะฉะนั้นก็ถือว่าโชคดีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนกลางคืน  

 

 

หลี่ว์ซู่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง นี่เพิ่งเริ่มยุคแห่งพลังจิตวิญญาณเองนะ ดาบสองคมแห่งยุคได้ตัดผ่าเมืองลั่วจนเป็นแผลเหวอะหวะขนาดนี้แล้ว  

 

 

จะเป็นไปได้ไหมนะว่าวันหนึ่งผู้คนจะต้องหยิบอาวุธและสร้างกำแพงขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากสัตว์ร้ายพวกนั้น  

 

 

“นี่เป็นเรื่องที่มนุษยชาติต้องเผชิญหน้าด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” หลี่ว์ซู่ถอนใจ “ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ของเราจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เราจะรอดได้อย่างไรกันเมื่อเราไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในธรรมชาติแล้ว ถึงเราจะมีชีวิตรอดต่อไปก็คงจะเหงาน่าดู”  

 

 

ตอนนี้ความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้วถ้ามนุษย์ชนะในตอนสุดท้ายแล้วการกระทำทุกอย่างของพวกเขาจะไม่ถูกเรียกว่าความยุติธรรมหรอก และเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็จะไม่ถูกขนานนามว่าชั่วร้ายด้วย สงครามนี้เป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเหมือนอย่างที่ผ่านมาในยุคดึกดำบรรพ์ ความยุติธรรมและความชั่วร้ายเป็นแค่นิยายเท่านั้น ไม่ใช่โลกในชีวิตจริง  

 

 

หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับมาบ้าน เขาพูดขณะเปิดประตูเข้ามา “ให้แอนโทนีพาเสี่ยวซยงสวี่ลงไปลาดตระเวนใต้ดินด้วย จัดการพวกสัตว์ที่อาจจะเป็นอันตรายกับชุมชนของเราให้หมด”  

 

 

“เข้าใจแล้ว” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบอย่างไม่ลังเล และแอนโทนีก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที  

 

 

ไม่มีใครกล้าดูถูกความสามารถของผู้มีพลังธาตุดินระดับ B หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คาดการณ์แล้วว่าน่าจะตรวจสอบทั้งเมืองเสร็จภายในเวลาสองวัน  

 

 

หลี่ว์ซู่หันมากำชับเสี่ยวซยงสวี่ “เอาลูกน้องไปช่วยกำจัดหมาแมวจรจัดที่ดุร้ายกับพวกมนุษย์ด้วย และควบคุมหนูทุกตัวในเมืองลั่วให้ฟังแกให้ได้”  

 

 

ในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีการพูดถึงการจัดระเบียบทางธรรมชาติในกระทู้ของมูลนิธิอย่างเผ็ดร้อน ดูเหมือนทุกเมืองจะเจอแบบเดียวกันหมด ผู้มีพลังธาตุดินในต่างประเทศมีการรวมตัวกันเพื่อก่อตั้งองค์กรที่มีไว้จัดการสัตว์รบกวนกลายพันธุ์ใต้ดินโดยเฉพาะ  

 

 

ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าพวกเขามีหัวการค้าดีทีเดียว ธุรกิจกำจัดแมลงสาบได้พัฒนาไปเป็นการกำจัดสัตว์กลายพันธุ์แล้ว  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset