ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 726 สมัครเข้าวิทยาลัย

ความขัดแย้งที่ไร้ความรุนแรงระหว่างหลี่ว์ซู่และเนี่ยถิงเริ่มมานานมากแล้ว เนี่ยถิงอยากจะให้เขาเป็นราชันฟ้า แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากเป็น ตอนนี้ปัญหาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นราชันฟ้าแล้ว เพราะการที่หลี่ว์ซู่ไม่อยากได้ตำแหน่งไม่ใช่ปัญหาหลักในความความขัดแย้งนี้อีกต่อไป ที่สำคัญก็คือใครจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้ายต่างหาก

หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปสมัครความเชี่ยวชาญด้านวิจัยสายพันธุ์ หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับบ้านกัน ระหว่างทางกลับบ้านหลี่ว์ซู่รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก “ทำไมฉันถึงเป็นได้แค่นักศึกษาที่ไม่ได้หน่วยกิตล่ะ ฉันหลั่งเลือดเพื่อเครือข่ายฟ้าดินมาแล้วนะ!”

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองเขา “ฉันยังเป็นราชันฟ้าไม่ได้เลย อย่าทำตัวไร้เหตุผลเลยน่า”

“ไม่ เธอน่ะยังเด็กเกินไป เธอไม่เข้าใจหรอก ถ้าเธอเป็นแล้วเธอจะต้องมีความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นราชันฟ้า พอเธอก้าวออกไปในโลกข้างนอกนั่นก็จะมีหน่วยข่าวกรองคอยให้ข้อมูล ถ้าฉันอายุเท่าเธอก็คงคิดว่าราชันฟ้าเท่ดีนั่นแหละ และก็คงอยากจะเป็นราชันฟ้าด้วย” หลี่ว์ซู่พึมพำ

[ได้แต้มจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ +99]

“ทำไมเธอถึงเลือกวิจัยสายพันธุ์ล่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามเขาหน้าบูด “แล้วเลือกวิจัยสายพันธุ์ไว้สามลำดับเลยด้วย”

“ยังมีอีกหลายเรื่องในโลกนี้ที่ฉันยังไม่เข้าใจ เธอว่าการที่เราวิจัยสายพันธุ์สัตว์แปลกๆ พวกนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกเหรอ คงน่าเบื่อน่าดูถ้าเธอทำวิจัยว่าสัตว์พวกนี้จะมีวิวัฒนาการอย่างไร ฉันได้ยินมาว่าเธอไม่ต้องต่อสู้ถ้าทำงานเป็นนักวิจัยด้วยนะ” หลี่ว์ซู่อธิบาย

“เธอก็แค่ไม่อยากจะสู้ใช่ไหมล่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูด “เธอก็เลยเลือกความเชี่ยวชาญด้านนี้ซะ คนอื่นๆ เลือกความเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้และสืบสวน หลายๆ คนเลือกสายการบัญชาการด้วยเหมือนกัน ใครอยากจะเลือกทำอาชีพของคนธรรมดาในยุคแห่งพลังจิตวิญญาณกันล่ะ หลี่ว์ซู่เธอไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ”

“เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันอยากจะสู้ตอนที่ต้องสู้เท่านั้น ฉันกำจัดซาตานมาแล้วด้วย แล้วไงล่ะ” หลี่ว์ซู่ปกป้องตัวเอง จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่สู้มาหลายศึกแล้ว เขาเบื่อหน่ายกับสงครามพอดู เขาต้องการมีความสุขกับชีวิตในวิทยาลัยอย่างที่ควรจะเป็น

แล้วการวิจัยสายพันธุ์ก็ฟังดูไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการต่อสู้ด้วย ที่พวกเขาทำดูเหมือนจะมีแค่นั่งในห้องแลปและผ่าสัตว์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ ดูแล้วเป็นงานที่ไม่เครียดเท่าไหร่

นักศึกษามีเวลาเจ็ดวันในการส่งใบสมัครเข้าเรียนวิทยาลัย นักศึกษาจากเมืองอวี้โจว ซย่าโจว ซานโจว จะต้องมาส่งใบสมัครทีละคน หลังจากที่ทุกคนส่งใบสมัครแล้ว วิทยาลัยก็จะประกาศสาขาที่จัดให้อย่างเป็นทางการ ผู้ที่ถูกย้ายสาขาก็จะถูกย้ายไปตามนั้น และคนที่เริ่มเรียนได้ก็จะให้เริ่มเรียนได้เลย

ที่จริงแล้วการสมัครแบบนี้ดูจะเข้มงวดกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติหรือที่เรียกว่า NCEE เสียอีก เพราะถ้าปกติแล้วถูกย้ายไปเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ ก็ยังพอจะสอบใหม่ได้อยู่ แต่ไม่มีเรื่องแบบนั้นในวิทยาลัยบำเพ็ญหรอก ทุกคนจะถูกบังคับให้เรียนตามสาขาที่จัดไว้

หลี่ว์ซู่จำได้ว่าเขาไม่ได้สอบเข้า ถ้าเนี่ยถิงย้ายเขาไปที่การต่อสู้หรือสืบสวนแทนล่ะ การที่จะย้ายไปตามที่ต่างๆ จะต้องใช้คะแนนเทียบ แต่หลี่ว์ซู่ไม่มีคะแนนน่ะสิ!

เฉิงชิวเฉี่ยวถึงกับโทรหาหลี่ว์ซู่ว่าเขาจะเลือกสาขาอะไร เขามาจากเมืองอวี้โจวเหมือนกัน เขาจะเลือกตามที่หลี่ว์ซู่เลือกแน่ๆ แต่พอหลี่ว์ซู่บอกว่าเขาจะเลือกการวิจัยสายพันธุ์ เฉิงชิวเฉี่ยวก็เงียบไปนานเลย…

ทุกคนต่างตื่นเต้นเพราะพวกเขารอมาเจ็ดวันแล้ว ในเจ็ดวันนี้นักเรียนห้องเต้าหยวนได้ทำใจแล้วว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้อย่างที่หวังไว้

ตอนแรกพวกเขาก็เห็นนักเรียนทั่วไปสมัครเรียนมหาวิทยาลัยโดยไม่มีพวกเขาแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ เหมือนกับว่าพวกเขากำลังสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิตไป

แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ทุกคนมานั่งคุยกันว่าตัวเองได้สมัครสาขาไหนไป พวกเขาออกความเห็นกันเรื่องสาขากันด้วย

สำหรับทุกคนแล้ว พวกเขาก็อยากเรียนกลยุทธ์การต่อสู้และวิธีการฆ่าคนในการต่อสู้ นักศึกษายังจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการลอบสังหารและการแทรกซึมเข้าไปในองค์กรด้วย สำหรับด้านความสัมพันธ์และความมั่นคงระหว่างองค์กรผู้บำเพ็ญ พวกเขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับต่างประเทศภายในโลกของการบำเพ็ญเพียร สำหรับการวิจัยสายพันธุ์ทุกคนคิดจะคิดว่ามันคงจะเหมือนการเรียนโบราณคดี ซึ่งไม่ใช่ตัวเลือกยอดนิยมอย่างแน่นอน…

ในยุคแห่งพลังจิตวิญญาณแบบนี้ กลุ่มวัยรุ่นที่หลงตัวเองทั้งหลายจะได้ฝึกความสามารถอย่างกับตัวเอกจากการ์ตูนและแอนิเมชันต่างๆ ใครจะไม่อยากออกไปสู้ข้างนอกแทนที่จะมานั่งวิจัยสายพันธุ์บ้างล่ะ

ผู้คนอดกลั้นความต้องการความสามารถเหล่านี้มานานตั้งแต่ยุคที่ไม่มีพลังจิตวิญญาณ เมื่อคนดูหนังกำลังภายในพวกเขาก็จะจินตนาการว่าตัวเองถือดาบและไต่กำแพงออกไปสู้ได้ ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ความฝันถูกเปลี่ยนมาเป็นความจริงแล้วผู้คนก็ต้องอยากได้ความสามารถพวกนั้นเป็นธรรมดา

เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวเลยว่าจะหางานทำได้ง่ายๆ หรือเปล่า เพราะสุดท้ายก็ต้องมีงานให้พวกเขาทำอยู่แล้ว แค่การจะทำใจให้ชอบการวิจัยสายพันธุ์นี่มันค่อนข้างจะยากนิดหน่อย ก็เลยไม่ค่อยมีใครสมัครเข้าเรียนในสาขานี้

การเรียนด้านนี้ต่างจากการเรียนโบราณคดี เพราะคนเรียนโบราณคดีอย่างน้อยจะถูกมองว่าเป็นนักวิชาการ แต่เดี๋ยวนี้คนมักจะดูถูกงานวิจัยสายพันธุ์ว่าเป็นงานของคนธรรมดา และคนที่เข้ามาเรียนสาขานี้คงจะกลัวการต่อสู้

ก็เหมือนกับหลายๆ บริษัทที่ฝ่ายขายจะดูถูกฝ่ายขนส่งอะไรประมาณนั้น

ขณะที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังเลื่อนดูกระทู้ของมูลนิธิ เธอก็นั่งในสวนที่บ้านอย่างไม่พอใจ “เพราะเธอคนเดียวเลยที่เลือกสาขาแบบนั้นไป!”

หลังจากที่เสี่ยวซยงสวี่ได้ยินว่าพวกเขาสมัครสาขาอะไรไปมันก็ดีใจมาก เมื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เห็นแบบนั้นเธอก็ยิ่งโกรธ

เสี่ยวอวี๋ชอบต่อสู้มาตลอด โดยเฉพาะตอนที่เธอกลับมาจากการฝึกทหารและไปโบราณสถานลบนัวร์มา เธอก็เห็นแล้วว่าตัวเองมีพลังต่อสู้ที่สูงมากแค่ไหน เธอหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนที่ได้เป็นหัวหน้า แต่พอเห็นความเห็นแบบนั้นในกระทู้เธอก็รับความอับอายนี้ไม่ไหว

ใครบางคนหยิบเอาการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เก่าๆ มาเยาะเย้ย มีคนกลุ่มหนึ่งใช้การถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กเพื่อสแกนสมองของสุนัข และเห็นว่าสมองสุนัขสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้

แต่พอมาปีนี้นักวิจัยกลุ่มเดิมก็บอกว่ามนุษย์จะนอนลงเมื่อสุนัขคลาน และสมองก็กลับจากซ้ายเป็นขวาไปหมด…

พอคนอ่านวิจัยแล้วก็ต้องถอนใจออกมาเพราะเรื่องพวกนี้มันฟังไม่ขึ้น และคนเหล่านี้ก็เตือนให้นักศึกษาในสาขาวิจัยสายพันธุ์ว่าอย่าได้ทำผิดเหมือนกันเชียว

“อย่าไปสนสิว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร” หลี่ว์ซู่พูด “เราต้องเรียนว่าเราจะทำ…”

“ซุปไก่เสียแล้ว อย่ากินนะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ยอมจะเข้าข้างหลี่ว์ซู่ด้วย “เรากินบะหมี่มะเขือเทศกันมาอาทิตย์หนึ่งแล้วนะ พูดเรื่องอื่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”

เสี่ยวซยงสวี่มองความขัดแย้งตรงหน้าระหว่างทั้งสองคน มันจึงสะพายกระเป๋าเล็กๆ ของมันและพยายามจะหนีออกไป หลี่ว์ซู่จ้องมันเขม็ง “ไปทำการบ้านไป”

[ได้แต้มจากกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ +166]

“ออกไปเล่นซะ แกจะไม่ออกไปไหนถ้าเขาไม่อนุญาตแกก่อนหรือยังไง” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถาม

หลี่ว์ซู่งงมาก

เสี่ยวซยงสวี่เอาสมุดเล็กๆ ของมันออกมาเขียน [เอ้า! ตีกันไปเลย!]

“กล้าจะขึ้นเสียงแต่ไม่กล้าออกไปเล่นงั้นเหรอ แกพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!” หลี่ว์ซู่ทำหน้าน่ากลัว

แต่เมื่อผลการสมัครออกมา ไม่มีใครคิดเลยว่าจะมีคนแอบสมัครสาขาวิจัยเคล็ดวิชา และสาขากลายนี้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset