ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 727 ประกาศผล

ทุกคนคิดว่าเคล็ดลับวิชาเป็นปัจจัยสำคัญของอัตราความเร็วในการบำเพ็ญ และถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีก็จะไม่ได้รับเคล็ดวิชาที่ดีด้วย

มีแต่เฉาชิงฉือในเครือข่ายฟ้าดินเท่านั้นที่สามารถฝ่าฟันไปจนถึงระดับ B ได้ ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ในระดับ B ขั้นต้นเท่านั้น เธอก็ช่วยเครือข่ายฟ้าดินในการทำให้องค์กรมีพลังต่อสู้อย่างมาก

สำหรับจงอวี้ถังและโยวหมิงอวี่ที่อยู่ระดับ C ขั้นสูงก็สามารถเป็นกำลังสำคัญของผู้บำเพ็ญระดับกลางด้วยความสามารถระดับ C ที่แข็งแกร่งได้เช่นกัน เครือข่ายฟ้าจึงไม่ได้เร่งรีบอะไรมาก เพราะพวกเขามุ่งเน้นไปที่การทำคุณภาพโดยรวมดีมากกว่าจะไปหลับหูหลับตาเร่งกระบวนการแบบนั้น

แต่สุดท้ายแล้วกลยุทธ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในที่สุด เมื่อพวกเขาขาดแคลนกำลังคน พวกเขาก็จะผ่อนปรนเงื่อนไขในการสนับสนุนคนให้ง่ายลงกว่าเดิม เพื่อให้คนอื่นๆ ได้กล้าที่จะพยายามมากเกินกว่าขีดจำกัดของตัวเอง และก้าวหน้ากว่าคนอื่นไปในที่สุด พวกคนพวกนี้เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และพวกเขาก็สมควรได้รับผลประโยชน์ที่จะได้ ส่วนคนที่ไม่กล้าก็จะรู้สึกว่าทุกอย่างยากขึ้น

เพราะฉะนั้นจึงมีคนแอบสมัครเรียนสาขาการวิจัยเคล็ดวิชาเป็นจำนวนมาก พวกเขาอยากเห็นว่าข้อจำกัดของเคล็ดวิชาจะถูกยกเลิกไปหรือไม่เมื่อพวกเขาศึกษาสาขานี้

สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะได้ทำวิจัยเคล็ดวิชา ถ้าพวกเขาไม่รู้จักเคล็ดวิชาแล้วพวกเขาจะไปทำวิจัยเกี่ยวกับมันได้อย่างไร

รายชื่อของสมาชิกที่จะได้เข้าศึกษาถูกประกาศออกมาแล้ว ทุกๆ คนสามารถโทรไปที่วิทยาลัยเพื่อตรวจสอบสถานะของตัวเองได้ หลี่ว์ซู่กังกวลว่าเนี่ยถิงจะไม่ยอมให้เขาเข้าเรียนวิจัยสายพันธุ์ แต่การสมัครของเขากลับได้รับการยืนยันให้เข้าศึกษาได้เรียบร้อย

หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเลย “ไม่ใช่ละ เนี่ยถิงจะใจดียอมให้ฉันไปทำงานในฐานะเป็นฝ่ายบำรุงกองทหารงั้นเหรอ”

หลี่ว์ซู่ทำใจเรื่องที่เขาจะไม่ได้ศิลาวิญญาณแล้ว เขาน่ะเป็นผู้นำในเครือข่ายฟ้าดินเลยนะ เขามีศิลาวิญญาณอยู่ในมือเป็นพันๆ เม็ด เขาไม่ต้องมาจริงจังกับเรื่องนี้หรอก แต่ว่าเขาถูกทำให้อับอายอีกรอบแล้ว หลี่ว์ซู่ต้องสั่งสอนเนี่ยถิงให้รู้จักความอับอายบ้าง….

เขาพาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปทำเรื่องเข้าเรียนให้เรียบร้อย ทุกอย่างดูเรียบง่าย และจากนั้นก็จะเป็นการประชุมของชั้นเรียน

วิทยาลัยลั่วเสินมีขนาดใหญ่มาก หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินไปรอบๆ วิทยาลัยจนพบห้องเรียนของการวิจัยสายพันธุ์ พวกเขาเดินไปตามทางเดินที่มีรูปติดอยู่บนกำแพงมากมาย รูปของหลายคนนั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้เสียสละตัวเอง และบางคนก็ทำคุณประโยชน์อย่างสูงสุดให้องค์กร บางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ด้วย แล้วหลี่ว์ซู่ก็เห็นรูปของหลิวซิว

รอยยิ้มในรูปของเขาช่างสดใส เหมือนกับว่าเขาเพิ่งกินบะหมี่ซอสผัดถั่วดำหมักมาหยกๆ

“ไม่เจอกันนานเลยนะพี่ชาย” หลี่ว์ซู่ยิ้มอย่างสงบ

“คนนี้ใช่ไหมหลิวซิว ที่ช่วยชีวิตเธอไว้น่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถาม

ชื่อของหลิวซิวและเรื่องราวชีวิตของเขาได้ถูกเขียนไว้ข้างล่างรูปภาพ และรูปภาพอื่นๆ ในโถงทางเดินก็ทำเหมือนกันหมด ถ้าได้ดูรูปภาพของคนเหล่านี้แล้ว นักศึกษาของวิทยาลัยลั่วเสินทั้งหมดก็จะรู้สึกเหมือนกันว่ามีสิ่งที่จะต้องแบกรับนั้นหนักหนาแค่ไหน

ทางเดินแห่งสายเลือดและความเชื่อนี้ไม่ได้ง่ายดายเลย มันเต็มไปด้วยหนามแหลมและกระดูกของผู้วายชนม์ หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปที่งานศพของหลิวซิวในตอนนั้น เขาอยากจะเห็นว่าวิญญาณของหลิวซิวยังจะอยู่รอบๆ ตัวพวกเขาหรือเปล่า ถ้าหลิวซิวยังอยู่ เขาก็อยากจะใช้ความสามารถของตัวเองในการควบคุมกระบี่เจ็ดจักระ และอาจจะยังมีความหวังเล็กๆ เหลืออยู่ก็ได้

แต่มันก็เป็นทางที่เสี่ยงเหลือเกิน เพราะถ้าเขาเอาชีวิตของหลิวซิวกลับมาโดยใช้การควบคุมกระบี่เจ็ดจักระไม่ได้ วิญญาณของหลิวซิวก็จะไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีก

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองรูปของหลิวซิวแล้วพูดออกมาว่า “ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งฉันก็จะปกป้องเธอเหมือนกัน”

“พูดเรื่องอะไรของเธอเนี่ย อย่าดูละครในโทรทัศน์ให้มาก สมงสมองไปหมดแล้ว” หลี่ว์ซู่พูด “ไปกันเถอะ”

แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็เหลือบไปเห็นรูปหนึ่งแล้วเขาก็อึ้งไป รูปนั้นทั้งมืดและมัวแต่คำอธิบายใต้รูปภาพทำให้หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ

ราชันฟ้าคนที่เก้า: [เขาได้เอาชนะทาคาชิมะ ทาอิรัตสึขณะกำลังสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิวซิวที่กลุ่มทวยเทพ และรอดชีวิตกลับมาอย่างยากลำบาก]

หลี่ว์ซู่มองรูปภาพนั้นอีกครั้งด้วยวามตกใจ เขาไม่คิดว่าเขาจะมาเจออะไรแบบนี้เลยนะเนี่ย ราชันฟ้าคนที่เก้าก็คือตัวเขางั้นเหรอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าแต่ตำแหน่งนั้นก็ถูกเตรียมไว้ให้เขาแล้ว

ราชันฟ้าคนที่เก้าคงเป็นคนที่ลึกลับน่าดูในเครือข่ายฟ้าดินนี้

นักศึกษาหลายคนที่ต้องมารายงานตัวกำลังเดินไปถามโถงทางเดิน ทันใดนั้นพวกเขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “งั้นเรามีราชันฟ้าคนที่เก้าจริงๆ ด้วยสินะ!”

“ตอนแรกที่ฉันเห็นพวกเขาแต่งตั้งราชันน่าหลานขึ้นก็คิดว่าตัวเองอ่านข้อมูลผิดไป ทำไมถึงมีราชันฟ้าคนที่สิบในเมื่อเรายังไม่มีราชันฟ้าคนที่เก้าเลย”

“ก่อนหน้านี้ในกระทู้ของมูลนิธิก็มีคนพูดถึงคนฆ่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึเหมือนกัน ตอนนั้นมีคนที่อยู่แถวป้อมปราการบอกว่าพวกเขาได้ยินเสียงแห่งเต๋าเมื่อทาคาชิมะ ทาอิรัตสึเลื่อนเป็นระดับ A ด้วย ฉันไม่คิดเลยว่าราชันฟ้าจะเป็นคนฆ่าเขา แต่ฉันไม่รู้ว่าราชันฟ้าคนที่เก้าหน้าตาเป็นยังไงเลยอะ” ใครบางคนอ้าปากค้าง

“เขาก็คงเป็นชายแก่ที่เริ่มบำเพ็ญตั้งแต่ก่อนยุคแห่งพลังจิตวิญญาณประมาณนั้นมั้ง ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะเอาชนะทาคาชิมะ ทาอิรัตสึได้ยังไงกัน”

“คงจะดีถ้าเรามีพลังแบบเขา…”

“ฮ่าๆๆ ฝันไปเถอะ ยอดฝีมืออย่างนั้นจะมีอายุเท่าเราได้ยังไงกันล่ะ”

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดขึ้นมาเบาๆ “เราไปหาห้องเรียนเรากันเถอะ”

หลี่ว์ซู่หยุดไปนิดหนึ่ง “ไม่เห็นต้องรีบเลย ฉันยังอยากฟังพวกเขาพูดต่ออีกหน่อย…”

[ได้แต้มจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ +199]

“น่าอายจะตาย! รีบไปกันเถอะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดึงตัวหลี่ว์ซู่ออกไป เธอรู้สึกว่าเจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้คงจะยืนแอบฟังตรงนี้ได้ทั้งวันเลย!

ในวิทยาลัยสั่วเสินนี้เป็นเหมือนกับเขาวงกต พอพวกเขาเดินผ่านสนามฝึกซ้อมไปก็เพิ่งรู้ว่าสนามนี้ใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอล และสิ่งอำนวยความสะดวกในวิทยาลัยต่างๆ ก็ดูเหมือนกับว่าออกมาจากหนังไซไฟ และคนธรรมดาคงจะไม่รู้ว่าใช้สิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้ได้อย่างไร

“เจอแล้ว” หลี่ว์เสี่ยวอวี่พูด “ห้องเรียน A129”

เมื่อหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินเข้าไป พวกเขาก็เห็นว่าพวกคนอยู่ในห้องเรียนหน้าตาคุ้นๆ กันทั้งนั้น! แถมยังมีอยู่แค่ไม่กี่คนด้วย!

“เฉาชิงฉือ เฉิงชิวเฉี่ยว เฉินจู่อาน!” หลี่ว์ซู่ตกใจ เขาไม่คิดว่าคนพวกนี้จะมารวมตัวกันในห้องเรียนเดียวกันแบบนี้ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ “เฉินจู่อาน นายเข้าเรียนที่วิทยาลัยบำเพ็ญในเมืองหลวงไม่ใช่เหรอ ทำไมมาอยู่นี่ได้”

เฉินจู่อานมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ อาจารย์คนที่สองของผมพาผมมาที่นี่ เขาเปลี่ยนสาขาที่ผมสมัครไปด้วย”

“เฉาชิงฉือ เธอเป็นระดับ B นะ ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ” หลี่ว์ซู่สับสน

“ฉันคงเรียนรู้อะไรเพิ่มจากการต่อสู้และการสืบสวนไม่ได้แล้วล่ะ” เฉาชิงฉือตอบอย่างเย็นชา

ทันใดนั้นผู้ชายวัยกลางคนใส่แว่นก็เดินเข้ามาในห้องเรียน เขาใส่เสื้อถักสีแดง หลี่ว์ซู่สับสนมาก เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานจากคนคนนี้ และเขาก็น่าจะอยู่ที่ระดับ C ขั้นกลาง

ชายวัยกลางคนยิ้มให้ “ขอให้ฉันแนะนำตัวหน่อยนะ ฉันจะเป็นอาจารย์ของพวกเธอ และฉันจะทำวิจัยสายพันธุ์ต่างๆ กับพวกเธอตลอดทั้งสี่ปีการศึกษานี้”

เมื่อหลี่ว์ซู่เห็นว่ามีกลุ่มคนพวกนี้อยู่ในห้องด้วยกัน เขาก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดี เขาโพล่งถามขึ้นมา “เราจะเน้นทำวิจัยเกี่ยวกับสายพันธุ์อะไรเหรอครับ เราจะทำการวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่างหรือเปล่า แล้วกลุ่มตัวอย่างเป็นอะไร ใครจะเป็นคนเอากลุ่มตัวอย่างมาให้พวกเราครับ”

หลัวหนานหัวเราะ “พวกเธอจะต้องเอาตัวอย่างมากันเอง เราจะทำวิจัยกับอะไรก็ตามที่พวกเธอเอามาในชั้นเรียน”

หลี่ว์ซู่โกรธมาก มีสาขาแขนงไหนที่จะมีอิสระและง่ายได้เท่านี้อีกไหมเนี่ย!

“แล้วในชั้นเรียนอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเหรอครับ” หลี่ว์ซู่ถาม

“ในวิทยาลัยลั่วเสินก็ทำกันอย่างนี้แหละ” หลัวหนานตอบยิ้มๆ

ฮ่าๆ เนี่ยถิง

นี่จะส่งให้ผมออกไปล่าและฆ่าพวกสัตว์กลายพันธุ์อย่างนั้นเองใช่ไหม!

ถึงว่าแหละว่าทำไมทุกคนในชั้นเรียนนี้ถึงแข็งแกร่งกันเหลือเกิน!

เนี่ยถิงกะจะไม่ให้หลี่ว์ซู่ได้อยู่สบายๆ แต่แรกอยู่แล้วสินะ!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset