ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 736 ใบหน้าของสิ่งมีชีวิต

เหตุการณ์วิกฤตที่ทุกคนเพิ่งเจอมาทำให้ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไป จางเยี่ยนเฟิงอยู่เงียบๆ ในขณะที่หวังเยี่ยนและสามีของเธอกำลังทะเลาะกันหนัก เพราะเขาวิ่งหนีทิ้งเธอไป มีแต่หลี่ว์ซู่เท่านั้นที่ยังใจเย็นอยู่

 

 

ก่อนหน้าการแต่งงานของพวกเขาดูจะเป็นการแต่งงานที่สมบูรณ์แบบ แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าผู้ชายที่ดูห่วงใย ยอมถือถุงข้าวเพื่อเอาไปต้มข้าวต้มให้ภรรยาแม้แต่ตอนปีนเขาจะทิ้งภรรยาของเขาไว้เมื่อมีอันตราย หวังเยี่ยนรับไม่ได้กับความแตกต่างที่เธอเจอ เธอเลยตะโกนออกไปว่า “ผู้ชายทุกคนมันเป็นปิศาจกันหมด!”

 

 

ขณะเดียวกันหวังเจ๋อก็ยังคงจมอยู่กับความภาคภูมิใจในตัวเองที่สูงเกินไปอยู่…

 

 

ทั้งกลุ่มตัดสินใจหยุดตรงที่พวกเขาอยู่กัน ตรงนี้เป็นบริเวณที่ปลอดภัย เพราะฝูงหมาป่าจะไม่เข้ามาในอาณาเขตของหมียักษ์ระดับ E แน่นอน กลิ่นของมูลหมีตัวนี้ก็พอที่จะกันพวกมันออกไปได้แล้ว

 

 

ในขณะที่จางเยี่ยนเฟิงตั้งเต็นท์อยู่ เขาก็พูดกับหลี่ว์ซู่เบาๆ “ขอบคุณนะ เดี๋ยวฉันจะตอบแทนบุญคุณให้”

 

 

เป็นไปอย่างที่พูดกันจริงๆ ว่านิสัยที่แท้จริงของคุณจะถูกเปิดเผยก็ต่อเมื่อชีวิตตกอยู่ในสภาพวิกฤต จางเยี่ยนเฟิงไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่ไม่มีตัวตนจะปกป้องเขาในเหตุการณ์อันตรายแบบนั้น อีกอย่างชายหนุ่มคนนี้ก็แข็งแกร่งมากด้วย เขายังใจเย็นในขณะที่คนอื่นสติแตกเอาตัวรอดกันหมด จางเยี่ยนเฟิงก็เลยสรุปเอาเองว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งที่ปลอมตัวมา

 

 

ที่จริงแล้วเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เขาเห็นหลี่ว์ซู่ขัดขาหวังเจ๋อแบบไม่ตั้งใจ และดึงเขาลงเขามาด้วย

 

 

หวังเจ๋อเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ค่อยจะใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ ถึงเขาจะมีความสามารถระดับ D แต่เขาก็แสดงความขี้ขลาดออกมาอย่างเปิดเผยและพยายามจะทิ้งคนทั้งกลุ่มไปด้วย

 

 

ในยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนนี้มีหลายคนที่แข็งแกร่งขึ้นมา แต่ก็มีคนที่ความแข็งแกร่งดับไปเช่นกัน จางเยี่ยนเฟิงน่าจะเป็นอย่างหลัง

 

 

เขาเคยฆ่าหมาป่ามาก่อน แต่เมื่อสัตว์ป่าได้รับพลังจากคลื่นพลังจิตวิญญาณ จึงทำให้พวกมันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก เขาที่เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มมาก่อนเลยต้องหาคนที่แข็งแกร่งกว่ามานำกลุ่มแทนอย่างผู้บำเพ็ญนั่นเอง

 

 

หลี่ว์ซู่มองเขายิ้มๆ “ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ”

 

 

จางเยี่ยนเฟิงก้มมองต่ำ “ฉันต้องขอบคุณสิ…”

 

 

หลี่ว์ซู่ขัดจังหวะเขาก่อน “ผมหมายถึงว่าที่คุณพูดมามันก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ ทองแท่งผมอยู่ไหนล่ะ…”

 

 

[ได้รับแต้มจากจางเยี่ยนเฟิง +666!]

 

 

จางเยี่ยนเฟิงหยิบทองแท่งออกมาจากเข็มขัดหนังของเขา แล้วยัดมันใส่มือหลี่ว์ซู่ที่แบรออยู่แล้ว หลี่ว์ซู่ฉีกยิ้ม “ในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมหรอกครับ คุณเป็นคนเดียวที่ตัวเองจะพึ่งพาได้”

 

 

พอตกดึกแคมป์ก็ถูกตั้งเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้จางเยี่ยนเฟิงไม่ได้เอาอวนหาปลาไปขึงอีกแล้ว เพราะก็เพิ่งเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์

 

 

หวังเยี่ยนกำลังทะเลาะกับสามีของเธอไม่หยุดเรื่องขอหย่า แต่หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นเรื่องที่ฉลาดเท่าไหร่เพราะทั้งอาหารทั้งน้ำยังอยู่ที่สามีเธอทั้งนั้น เธอน่าจะเอาของพวกนั้นมาก่อนที่จะหย่าสิ!

 

 

ในวันนั้นจางเยี่ยนเฟิงไม่ได้พูดกับหวังเจ๋อเลย แต่เขากลับมานั่งข้างหลี่ว์ซู่แทน ตอนนี้หวังเยี่ยนก็เดินมาทางพวกเขาอย่างเขินอาย “ขออาหารให้ฉันสักหน่อยได้ไหม เดี๋ยวจ่ายคืน”

 

 

หลี่ว์ซู่ส่ายหัวแล้วตอบกลับ “อาหารเสียไปหมดแล้วครับ”

 

 

“ขอผลไม้แทนแล้วกัน” หวังเยี่ยนพูด “ฉันมีเงินนะ”

 

 

หลี่ว์ซู่ส่ายหัวอีกรอบ “ผลไม้ก็ด้วยครับ”

 

 

“ทำไมทุกอย่างถึงเสียไปหมดล่ะ” หวังเยี่ยนเกือบร้องไห้ขณะถาม

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปนานก่อนจะตอบ “ก็เพราะผู้ชายทุกคนเป็นปิศาจมั้งครับ”

 

 

[ได้รับแต้มจากหวังเยี่ยน +666!]

 

 

จางเยี่ยนเฟิงอ้าปากค้างด้วยความอึ้ง ตอนนี้เขาจำได้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ร้ายกาจขนาดไหน!

 

 

ทันใดนั้นที่ปลายเนินทรายก็มีแสงส่องสว่างมาจากขอบฟ้ามืดของเทือกเขาคุนหลุน มันเป็นแสงสีน้ำเงิน เหมือนกับเปลวไฟสีน้ำเงิน

 

 

ทุกคนลุกยืนขึ้นมองไปทางหุบเขามรณะอย่างตกตะลึง จางเยี่ยนเฟิงพึมพำออกมา “หุบเขามรณะนั่นเอง ประตูสู่นรกถูกเปิดขึ้นแล้ว!”

 

 

หลี่ว์ซู่ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที อย่างที่เขาคิดไว้เลยว่ามีอะไรแปลกๆ ที่หุบเขามรณะแห่งนี้ ซึ่งก็อธิบายได้ว่าทำไมเครือข่ายฟ้าดินถึงออกคำสั่งให้ถอนกำลัง

 

 

แต่หวังเจ๋อกลับตะโกนอย่างตื่นเต้น “ไปนรกด้วยประตูสู่นรก! ทำไมเราไม่ไปดูปิศาจร้ายกันหน่อยล่ะ มันเป็นจุดกำเนิดของขุมทรัพย์แห่งฟ้าดินเลยนะ!”

 

 

เขามั่นใจตัวเองขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยมเมื่อได้ฆ่าหมีตัวนั้นไป เขาก็เลยเลือกเส้นทางมาภูเขาคุนหลุนเพื่อที่จะลองเสี่ยงโชคดูสักหน่อย ในฐานะที่ที่นี่เป็นเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกตามตำนานโบราณ มันก็ได้เก็บงำความลึกลับนับไม่ถ้วน

 

 

ถ้าสมบัติแห่งทวยเทพมีอยู่จริงก็น่าจะอยู่ในภูเขาคุนหลุนนี่แหละ!

 

 

หวังเจ๋อกำลังเก็บเต็นท์และเก็บของใส่กระเป๋าสะพายหลัง หวังเยี่ยนเข้าไปถามเขาอย่างประหม่า “ทำอะไรอยู่เหรอคะ”

 

 

“ผมจะเข้าไปในภูเขาก่อนรุ่งสาง!” หวังเจ๋อตอบกลับอย่างไม่คิดจะปกปิดความตื่นเต้นของตัวเอง

 

 

“แล้วพวกเราล่ะครับ” ใครบางคนถามขึ้นมา พวกเขาคงจะเอาชนะฝูงหมาป่าในพื้นที่ที่มีแต่สัตว์ป่ากลายพันธุ์ได้หรอก

 

 

หวังเจ๋อหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ผมไม่สนใจหรอก ฝูงหมาป่าจะเข้าโจมตีพวกคุณ ไม่ใช่ผมนี่”

 

 

จากนั้นเขาก็เดินมุ่งหน้าไปที่หุบเขามรณะ เขามั่นใจว่าเขาคงจะเอาชนะหมียักษ์ตัวนั้นได้แน่ถ้าเขาไม่สะดุดล้มไปเสียก่อน อีกอย่างเขาทิ้งคนพวกนี้ไว้ที่นี่เพราะเขาไม่อยากให้ใครมาแย่งสมบัติแห่งทวยเทพในอนาคตไปหรอก

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่ได้จะห้ามเขาด้วยซ้ำ เพราะเขาได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้จากเครือข่ายฟ้าดินว่ากลุ่มผู้บำเพ็ญระดับ C ยังหายตัวไปได้อย่างลึกลับ แล้วผู้บำเพ็ญลับระดับ D จะเหลือเหรอ

 

 

จางเยี่ยนเฟิงถามหลี่ว์ซู่ขณะที่มองไปยังร่างของหวังเจ๋อ “แล้วจะเอาอย่างไรต่อไปล่ะ”

 

 

“ผมจะเดินต่อไปข้างใน คุณเลือกกันเลยว่าจะอยู่หรือจะไป” หลี่ว์ซู่ตัดสินใจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวผมก็กลับมาหลังจากไปเห็นหุบเขามรณะกับตาก่อน งั้นพวกคุณก็รอกันอยู่นี่ก่อนผมกลับมาก็ได้”

 

 

ทุกคนก็เห็นเหมือนกันว่าจางเยี่ยนเฟิงกำลังขอความเห็นจากเด็กหนุ่มที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบคนนี้ และคำพูดที่มาจากปากของเขาก็เหมือนจะมีพลังอะไรบางอย่าง

 

 

“ฉันไปด้วย” จางเยี่ยนเฟิงพูดอย่างหนักแน่น “ฉันจะไปช่วยให้ได้มากที่สุด ถึงฉันจะไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญก็ตามเถอะ”

 

 

“มีค่าใช้จ่ายไหมครับ” หลี่ว์ซู่ถาม

 

 

จางเยี่ยนเฟิงตอบอย่างลังเล “…ไม่มีหรอก”

 

 

เขาไม่อยากปล่อยเด็กหนุ่มคนนี้ให้งมหาทางเอาเองแถมยังไม่คิดเงินค่านำทางด้วยเนี่ยนะ อะไรกันเนี่ย…

 

 

หวังเยี่ยนจึงถามขึ้นมา “คุณบอกว่าคุณไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญ เขาไม่เหมือนคุณเหรอ หรือว่าเป็นแบบเดียวกัน”

 

 

ทั้งหลี่ว์ซู่และจางเยี่ยนเฟิงไม่ได้ตอบ พวกเขาเก็บของแล้วเดินออกไป ซึ่งทำให้ทั้งกลุ่มกังวลใจมาก เมื่อไม่มีจางเยี่ยนเฟิงแล้วใครจะกล้าตั้งแคมป์กันล่ะ แล้วอีกอย่างหลี่ว์ซู่สัญญาว่าจะกลับมาก็จริง แต่ถ้าเขาไม่กลับมาจะทำอย่างไร

 

 

เมื่อเดินไปได้ 20 กิโลเมตรหลี่ว์ซู่ก็เจอว่ามีฐานทดลองของเครือข่ายฟ้าดินที่ถูกทิ้งร้างไว้ มันตั้งอยู่ที่ปากทางเข้าภูเขา ซึ่งใกล้กับหุบเขามรณะที่สุดแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่เปิดประตูฐานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นเข้าไป ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ เว้นเสียแต่ว่ามีรอยขีดข่วนอยู่ที่ผนังข้างนอก เหมือนจะเป็นรอยเล็บของสัตว์ป่า

 

 

จากนั้นเขาก็เห็นรูปภาพของเจ้าหน้าที่ประจำฐาน มีหลัวหนาน อาจารย์ของเขาอยู่ในนั้นด้วย ป้ายทำงานของทุกคนก็ถูกแขวนไว้ที่เดียวกันเช่นกัน

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ชะงักไป หลัวหนานบอกว่าเขามาตรวจดูสถานที่นี้หลังจากติดต่อกับฐานไม่ได้ แต่พอดูจากสถานการณ์แล้วไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะหลัวหนานก็ทำงานประจำอยู่ที่นี่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ที่เขาจะเป็นคนระดับ C คนเดียวที่เฝ้าฐานนี้ไว้

 

 

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset