“สิบแปดปีแล้ว ฉันจำได้ว่าเคยอ่านข้อมูลของเขา น่าจะเพิ่งผ่านวันเกิดปีที่สิบแปดไปไม่นาน ส่วนเวลาที่ส่งไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันจะตรวจสอบให้” สือเสวจิ้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อดึงข้อมูลของหลี่ว์ซู่แต่เขาก็ทำหน้าเคร่งขรึม “ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าดู นายตั้งค่าให้เข้าดูข้อมูลของเขาได้คนเดียวเหรอ! “
เนี่ยถิงเงียบไม่พูดไม่จาแล้วใช้โทรศัพท์มือถือของเขาแก้ไขสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลของหลี่ว์ซู่เป็นเขาและ สือเสวจิ้น สามารถเข้าดูได้ เขาเทียบเวลาที่หลี่ว์ซู่ถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็โล่งใจ “ไม่ได้ถูกส่งไปคืนวันนั้น ทิ้งช่วงไปสามเดือนกว่าแล้วอายุก็ต่างกัน”
“นายคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นราชาปีศาจเหรอ” สือเสวจิ้นหยุดหัวเราะไม่ได้เหมือนกับว่าเขาได้ฟังเรื่องที่ตลกมากอยู่ “เด็กนั่นน่ะเหรอ ถ้าราชาปีศาจเป็นอย่างเขาจริงๆ ปานนี้โลกคงสงบสุขแล้ว แล้วเขามีอะไรบอกว่าสามารถกลืนกินความกลัวเพื่อเพิ่มพูนแข็งแกร่งเหรอ ยากจนน่ะใช่ แต่นายเคยได้ยินราชาปีศาจยาจกหรือเปล่า สมองนายนี่นะ”
เนี่ยถิงมองสือเสวจิ้นด้วยใบหน้านิ่งเฉยจนกระทั่งรอยยิ้มของสือเสวจิ้น ค่อยๆ หายไป “อะแฮ่มๆ นายกินเปาะเปี๊ยะไหม ฉันไปทำอาหารก่อน…”
สือเสวจิ้นเดินเข้าครัวไป เนี่ยถิงยังตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเนื้อหาตามลำพังต่อไป
…
“ความแข็งแรงของมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น”
“การทำงานของเซลล์เพิ่มขึ้น”
เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวกำลังยุ่งอยู่ในห้องทดลองของวิทยาลัยลั่วเสินเพื่อวิจัยสายพันธุ์ หลี่ว์ซู่นั่งข้างๆ เขาได้ยินและนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เขาจ้องมองหมาป่าที่อยู่บนโต๊ะตาเขม็ง “หมาป่าพวกนี้ตายมานานแล้ว ทำไมเซลล์ยังมีชีวิตอยู่!”
เฉินจู่อานวางมีดผ่าตัดลง ถอดเสื้อคลุมและหน้ากากสีขาวออกแล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า “พี่ซู่ พวกเรามีอาจารย์ประจำสาขาบ้างไหม”
เมื่อครู่เฉินจู่อานแค่พูดมั่วซั่วไปเล่นๆ เรื่องมวลกล้ามเนื้อและการทำงานของเซลล์เขาไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร
ตอนนี้สาขาวิจัยสายพันธุ์มีห้องปฏิบัติการเฉพาะทางแต่ไม่มีอาจารย์
ต่อให้หลี่ว์ซู่จะเรียนเก่งยังไงก็ไม่มีทางรู้ว่าสาขาวิชาที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาเอาตัวอย่างกลับมาแล้วแต่คำถามคือจะวิจัยยังไงดี
อาจารย์ล่ะ อาจารย์ถูกเนี่ยถิงพาตัวไปแล้ว …
หลี่ว์ซู่รู้สึกเศร้าใจนิดๆ “ช่างเป็นสาขาที่ถูกเนี่ยถิงสาปจริงๆ “
เฉินจู่อานหัวเราะก๊าก “ตอนนี้พวกเราเป็นกึ่งนักวิทยาศาสตร์แล้ว ตอนเด็กๆ ฉันใฝ่ฝันที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เคยอ่านเจอบทความว่ามักจะมีนักเรียนที่แย่มากๆ ในห้องทดลอง ที่มีนักเรียนแบบนั้นอยู่ก็เป็นกำลังใจให้นักศึกษาคนอื่นๆ ยิ่งล้มเหลวมากขึ้นก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้พวกเขาเวลาเจออุปสรรค น่าตลกนะ สาขาวิจัยสายพันธุ์ของพวกเราแข็งแกร่งมาก แต่ห้องแล็บเราไม่มีคนแบบนั้นเลยนะ”
แต่พอเพิ่งพูดจบ เขาก็เห็นเฉาซิงฉือ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ หลี่ว์ซู่และเฉิงชิวเฉี่ยวต่างมองเขาเงียบ ๆ
[ได้รับแต้มจากเฉินจู่อาน +555!]
หลี่ว์ซู่คิดในใจว่าไม่มีออาจารย์ก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร จะให้วันๆ เอาแต่มานั่งผ่าตัวอย่างเล่นทุกวันแบบนี้ก็ไม่ใช่นะ
“พวกนายเล่นไปนะ ฉันจะไปหาจงอวี้ถัง” หลี่ว์ซู่แล้วก็เดินไปที่อาคารสำนักงานของจงอวี้ถัง
ขณะที่เขากำลังเดินไป ก็ไปเห็นชายร่างกายกำยำ สวมแว่นกันแดดและหมวกเดินพรวดพราดออกจากอาคารสำนักงาน หลี่ว์ซู่ถึงกับผงะและตะโกนว่า “หลี่อีเสี้ยว หลี่อีเสี้ยว! “
ชายร่างกำยำที่ก้มหน้าอยู่ไม่มีทีท่าจะหยุดเดินเลย แต่ยิ่งก้าวเร็วขึ้น
[ได้รับแต้มจากหลี่อีเสี้ยว +99!]
หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดปกติ คนคนนั้นคงทำอะไรผิดต่อเขาล่ะสิไม่อย่างนั้นทำไมถึงมีท่าทีแบบนั้นล่ะ
เขาวิ่งไปหาหลี่อีเสี้ยวและเมื่อหลี่ว์ซู่เห็นหน้าตาของหลี่อีเสี้ยว เขาก็ถอนใจ “ใครทำอะไรท่านถึงได้เป็นแบบนี้”
หลี่อีเสี้ยวดูเศร้าๆ “ยัยน่าหลานเชวี่ย! ฉันคิดว่าแม่ของเธอพูดถูกแล้ว พวกเราไม่เหมาะสมกัน! “
หลี่ว์ซู่ตกใจ “ไม่มั้ง เธอจะต่อยตีท่านทำไม”
“ไม่รู้เธอไปอ่านบทความมาจากไหน มันบอกว่าผู้ชายจะมีชีวิตที่ดีกว่า ผ่อนคลายมากกว่าในวันที่ภรรยาของพวกเขาไม่อยู่แล้วเธอก็ถามฉันว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันไม่เห็นเธอวันหนึ่ง” หลี่อีเสี้ยวพูด
“ท่านตอบว่าไงล่ะ” หลี่ว์ซู่สังหรณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“ฉันบอกว่าก็น่าจะสบายดี จากนั้นวันรุ่งขึ้นฉันก็ไม่เห็นเธอ วันต่อมาก็ไม่เจอ จนเจ็ดวันผ่านไปฉันก็เพิ่งเห็นเธอผ่านตาซ้ายที่เริ่มหายบวมนี่ล่ะ”
หลี่ว์ซู่ “…พวกท่านอยู่กันมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง… “
“ติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆ ไปก็ย่อมผิด” หลี่อีเสี้ยวกล่าวอย่างขมขื่น
“ไม่ ผมหมายความว่าทำไมจนตอนนี้น่าหลานเชวี่ยยังไม่ฆ่าท่านซะที… ” หลี่ว์ซู่ถอนใจ
[ได้รับแต้มจาก หลี่อีเสี้ยว +666!]
“หลี่ว์ซู่ เร็วๆ นี้นายมีแผนจะไปต่างประเทศไหม” หลี่อี้เซียวพูดขึ้นมากะทันหัน “ถ้านายจะไปละก็พาพี่ใหญ่คนนี้ไปด้วย ฉันอยากห่างยายแก่นั่นซักพัก! “
“ท่านไปเองก็ได้นี่” หลี่ว์ซู่มองแปลกๆ “ทำไมต้องลากผมไปด้วย”
หลี่อีเสี้ยวไปคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่ ถ้าเขาพาหลี่อีเสี้ยวไปด้วย น่าหลานเชวี่ยจะไม่เกลียดเขาเหรอ หลี่ว์ซู่ทำแบบนี้ไม่ได้…
หลี่อีเสี้ยวเกือบจะร้องไห้แล้ว “ฉันได้เงินติดกระเป๋าวันละยี่สิบหยวน ฉันจะไปไหนได้ล่ะ หา ฉันจะไปไหนได้! มันไม่ใช่เพราะนายก่อเรื่องมาแล้วยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกนะ”
[ได้รับแต้มจากหลี่อีเสี้ยว, +788!]
“อ๋อ! ” จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็หันหลังกลับเดินไป “ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องต้องไปหาจงอวี้ถัง”
ตอนนี้ลองคิดดูถึงแม้ว่าตอนนั้นหลี่อีเสี้ยวอยากจะแกล้งทำเป็นเมาไม่จ่ายเงิน แต่ที่เขาทำให้เงินติดกระเป๋ารายวันจากห้าสิบเหลือยี่สิบหยวนก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อย
หากหลี่ว์ซู่มีโอกาสอีกครั้ง หลี่ว์ซู่จะ…หัวเราะเสียงดังๆ แน่นอน …
“เฮ้ ลืมไปเลยว่ามีเรื่องจะคุยกับนาย” หลี่อี้เซียวตะโกน “ช่วงนี้ระวังตัวหน่อยนะ”
หลี่ว์ซู่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้เขาก็คิดออกเลยว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดพบเบาะแสและเตรียมที่จะมาฆ่าเขาแล้ว แต่หลี่อี้เซียวก็หัวเราะว่า “พืชที่ต่างประเทศเมืองหนึ่งเกิดการกลายพันธุ์ พวกมันขาดสติงาบเอาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นอาหาร เมืองถูกทำลายไปทั้งเมือง ดังนั้นพวกเราต้องระวังเรื่องนี้นะ! “
หลี่ว์ซู่ถึงกับบางอ้อ มิน่าทำไมช่วงนี้คนงานตัดแต่งกิ่งไม้ในเมืองลั่วเฉิงถึงได้ทำงานหนักนัก แล้วเขายังเห็นว่ามีคนของเครือข่ายฟ้าดินตามประกบด้วย ที่แท้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นนี่เอง!
แล้วเขาก็ตระหนักถึงปัญหาเรื่องหนึ่ง เมื่อตอนที่เขาได้ตราประทับ เขาก็เคยตั้งตัวเป็นศาลหลักเมืองลั่วเฉิง แล้วสาเหตุที่สิ่งมีชีวิตและพืชกลายพันธุ์เหล่านี้ปรากฏตัวออกมาไม่ใช่เพราะความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณหรอกเหรอ เขาเองสามารถควบคุมความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณได้นี่!
พอนึกได้เขาจึงยังไม่ไปหาจงอวี้ถังแต่กลับบ้านไปก่อน เขานั่งอยู่บนโซฟาแล้วหยิบตราแผ่นดินออกจากร่าง และใช้สัญชาตญาณจิตหยั่งรู้เป็นสะพาน ก้าวเหยียบขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและก้มลงมองเมืองลั่วเฉิง!