หลี่ว์ซู่ก้มมองดูเมืองลั่วเฉิง พลังจิตวิญญาณบนพื้นต่างพวยพุ่งเหมือนหมอกเมฆขึ้นจากพื้น และหมอกพลังจิตวิญญาณนั้นล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เมื่อเห็นภาพนี้ หลี่ว์ซู่ก็เริ่มใช้ความคิด
เมื่อเขาได้ตราแผ่นดินมาใหม่ๆ เขาก็เดาว่าวันหลังน่าจะมีโบราณสถานปรากฏขึ้นมาอีกมากมาย และโบราณสถานแต่ละที่ก็มีตราแผ่นดินของแต่ละเมือง แต่ต่อมามันไม่เป็นไปตามที่คิด จนถึงวันนี้เขาเจอตราแผ่นดินเพียงอันเดียว
ในเวลานั้นด้านขวาของตราแผ่นดินเขียนคำว่า ‘ลั่วเฉิง’ ดังนั้นหลี่ว์ซู่ถึงมีความคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่นึกขึ้นว่าถ้ามีตราแผ่นดินเพียงอันเดียวในโลกแล้วชื่อเมืองลั่วเฉิงตัวเล็กที่เขียนอยู่ด้านขวาคงไม่ใช่ชื่อถาวร แต่เป็นการบอกขอบเขตที่ควบคุม
ต้องรู้ก่อนว่าพื้นที่ควบคุมจริงๆ ของหลี่ว์ซู่นั้นใหญ่กว่าเมืองลั่วเฉิงมาก น่าจะเกือบสามเท่าของพื้นที่ตอนนี้ หลี่ว์ซู่เคยสงสัยว่าพื้นที่ของเมืองลั่วเฉิงในยุคโบราณน่าจะมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ปัจจุบัน ทั้งสองยุคถึงได้มีพื้นที่ต่างกันแบบนี้
แต่ตอนนี้ หลี่ว์ซู่กลับมีความคิดที่กล้าหาญขนาดนี้!
สัญชาตญาณจิตหยั่งรู้ของหลี่ว์ซู่ล่องลอยอยู่เหนือเมืองลั่วเฉิง เขาโบกมือลองผลักเขตแดนของตราแผ่นดินออกไป ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ รู้สึกถึงพลังดวงดาวในร่างกายของเขาที่พลุ่งพล่านไปในตราแผ่นดินราวกับกำลังถ่ายพลังลงไป
ตราแผ่นดินสว่างขึ้น หลี่ว์ซู่รู้สึกได้จริงๆ ว่าหลังจากที่พลังดวงดาวหลั่งไหลเข้าสู่ตราแผ่นดิน สัญชาตญาณจิตหยั่งรู้ของเขาก็ทรงพลังมากจนผลักเขตแดนสีเทาไกลออกไปมากขึ้น!
เดิมทีภาพมุมบนจากสัญชาตญาณจิตหยั่งรู้จะเห็นเขตแดนนอกพื้นที่ควบคุมของตราแผ่นดินเป็นสีเทา แต่ตอนนี้ขอบแดนนั้นเปลี่ยนไป พื้นที่สีเทาเปลี่ยนไปเป็นสีสันของโลกแห่งความจริง และหลี่ว์ซู่ยังมองเห็นหมอกพลังจิตวิญญาณบนพื้นดินตามเดิม
หลี่ว์ซู่หายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งเขาเคยแอบขำที่ว่าควบคุมพลังจิตวิญญาณของเมืองหนึ่งเมืองก็คงได้แค่ศาลหลักเมืองเท่านั้น ตราแผ่นดินเหมือนจะยิ่งใหญ่แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น
แต่พอผลที่เห็นเป็นเช่นนี้ก็รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด เขตแดนของตราแผ่นดินนี้สามารถขยายออกไปได้เรื่อยๆ นี่ซิ…ถึงจะเป็นตราแผ่นดินที่แท้จริง!
หลี่ว์ซู่กล่าวขอโทษตราแผ่นดินที่เข้าใจผิดมานาน
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ถ่ายพลังดวงดาวในร่างทั้งหมดใส่ตราแผ่นดินและยกมือขึ้นผลักเขตแดนให้ขยายออกไป เขาใช้พลังไปทั้งหมดก็ขยายพื้นที่ออกไปได้ราวห้าถึงหกกิโลเมตร!
ถ้าเทียบกับพื้นที่ของทั้งเมืองจีนก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ถ้าเทียบกับพื้นที่เดิมของตราแผ่นดินแล้วก็กว้างขึ้นมากทีเดียว ถ้าใส่พลังลงไปจนหมดอีกครั้ง เขตแดนน่าจะขยายออกไปสิบกว่ากิโลเมตรถึงจะหมดแรง
ตอนนี้หลี่ว์ซู่ต้องใช้เวลาประมาณแปดชั่วโมงในการฟื้นพลังดวงดาวในร่างซึ่งหมายความว่าเขาสามารถผลักดันขอบเขตของตราแผ่นดินได้มากกว่าสิบกิโลเมตรทุกๆ แปดชั่วโมง ตอนนี้เขาอยู่ที่ดวงดาวดวงแรกของแผนที่ดวงดาวชั้นที่สี่ ถ้าจุดม่านเมฆประกายดาวทั้งเจ็ดได้ ความเร็วจะเป็นอย่างไรไม่รู้
ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่าพลังจิตวิญญาณทั่วโลกนี้จะตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาน่ะสิ
ในจังหวะนั้น หลี่ว์ซู่คิดขึ้นมาได้ว่า คนที่เขาขายศิลาวิญญาณหาเงินกัน แต่เขาสามารถควบคุมพลังจิตวิญญาณทั้งโลกได้แบบนี้เขาขายพลังจิตวิญญาณเลยก็ได้น่ะสิ
ขายแค่ศิลาวิญญาณมันธรรมดาไป ขายพลังจิตวิญญาณซะเลย! ไม่จ่ายใช่ไหม งดส่งพลัง! กล้าขัดท่านหลี่ว์เสี่ยวซู่คนนี้เหรอ!
ในพริบตานั้น หลี่ว์ซู่ก็จมดิ่งอยู่ในความคิดแฟนตาซีของตัวเองจนถอนตัวไม่ขึ้น
หลี่ว์ซู่ใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมงเต็มกว่าจะดึงสติกลับมาได้ พลังดวงดาวของตนที่โคจรอยู่ในแผนที่ดวงดาวก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว เขาจึงจัดการอะไรซักหน่อย
ทันใดนั้น เหล่าผู้บำเพ็ญอิสระในตลาดมืดเมืองลั่วเฉิงก็เริ่มฝึกฝนพลัง แต่แล้วพวกเขากลับพบว่า…พลังจิตวิญญาณหายไป
หาย…อยู่ๆ ก็หายไปจนหมด!
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว พลังจิตวิญญาณก็กลับมาเหมือนเดิม!
ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ข้างตลาดมืด คนกลุ่มหนึ่งจึงเดินออกจากบ้านและต่างมองหน้ากัน “มันเรื่องอะไรกัน”
“ประสาทหลอนเหรอ เมื่อครู่อยู่ๆ พลังจิตวิญญาณก็หายไป! “
ตอนนี้จำนวนผู้บำเพ็ญอิสระในเมืองลั่วเฉิงมีจำนวนเป็นหลักพันแล้ว ในช่วงที่มากที่สุดมีมากถึงเจ็ดพันกว่าคน ในจำนวนนี้ย่อมมีผู้มีกายสัมผัสรู้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญอิสระจึงค่อยๆ มั่นใจว่าพลังจิตวิญญาณเมื่อครู่อยู่ๆ ก็หายไปเองจริงๆ …
[ได้รับแต้มจากของหลี่ซวิน +48 …]
[ได้แต้ม…]
ตอนนี้เหล่าผู้บำเพ็ญอิสระที่อยู่ข้างตลาดมืดเมืองลั่วเฉิงได้มอบแต้มจำนวนมากมายให้กับหลี่ว์ซู่ แต้มน้อยสุดให้ที่หนึ่งแต้ม มากที่สุดก็เป็นร้อยแต้ม แค่ช่วงนี้หลี่ว์ซู่ก็ได้แต้มสองแสนกว่าแต้มมาไว้ในมือ!
นี่…นี่…นี่มันเป็นวิธีได้ได้รับแต้มจากที่รวดเร็วจริงๆ!
ทุกวันนี้หากเขาจะต้องจุดประกายดวงดาวหนึ่งดวงต้องใช้ได้รับแต้มจากนับล้านแต้ม ดวงดาวดวงที่หนึ่งของแผนที่ดวงดาวชั้นที่สี่ต้องใช้หนึ่งล้านแต้ม ดวงที่สองใช้หนึ่งล้านเช่นกัน ดวงที่สามต้องใช้สองล้านแต้ม เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงดาวดวงที่เจ็ดต้องใช้ได้รับแต้มจากมากถึงสามสิบสองล้านแต้ม!
หลี่ว์ซู่เห็นจำนวนมากขนาดนี้ก็ปวดเศียรเวียนเกล้า ตอนนี้เขาต้องแลกผลชี่มาสามผลมาสร้างภูเขาหิมะเพื่อให้ได้กระบี่วิญญาณเล่มที่สาม
พูดตามตรง หลี่ว์ซู่สงสัยว่าวิญญาณกระบี่เล่มที่สามจะเป็นแบบไหน …
หลี่ว์ซู่เจอสัตว์เลี้ยงเพี้ยนๆ ในบ้านตัวเอง ของวิเศษน่าปวดหัว เขาก็ไม่ค่อยอยากคาดหวังว่ามันจะมีพลังมากมายนัก แต่หันมาสนใจว่ามันจะสร้างเรื่องกวนประสาทได้มากแค่ไหน…
หลี่ว์ซู่กำลังจะลองแผนเดิมอีกครั้งหนึ่งแต่พบว่าพลังดวงดาวของตัวเองกลับมีไม่พอ เดิมทีการย้ายพลังจิตวิญญาณต้องใช้พลังจากตัวเขา แต่ไม่เป็นไร หลี่ว์ซู่ใช้เวลาฟื้นพลังไม่นานนัก…
ในตอนนี้เอง มือถือของหลี่ว์ซู่ดังขึ้น เขาดึงสัญชาตญาณจิตหยั่งรู้กลับเข้าร่างมาดูมือถือและปรากฏว่าเนี่ยถิงโทรมา…
หลี่ว์ซู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรับโทรศัพท์ “ไม่ใช่ผมนะ”
[ได้รับแต้มจากเนี่ยถิง +188!]
เนี่ยถิงในสายพูดด้วย้ำเสียง “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
ทั้งเนี่ยถิงและสือเสวจิ้นต่างรู้เรื่องตราแผ่นดินในมือของหลี่ว์ซู่และเรื่องพลังจิตวิญญาณสะสมผิดปกติที่ตลาดมืด โยวหมิงอวี่จะต้องรายงานให้เบื้องบนทราบในทันที แล้วเนี่ยถิงจึงโทรมา…
“ไม่ใช่ผม” หลี่ว์ซู่หัวเราะชอบใจ “ไม่ใช่จริงๆ “
“อย่าใช้ตราแผ่นดินในทางที่ผิด” เนี่ยถิงพูด “ในเมื่อนายรู้วิธีใช้ตราแผ่นดินแล้วก็ลองศึกษาดูว่าจะจัดการกับสัตว์กลายพันธุ์ได้ยังไง เรื่องที่ให้ประโยชน์อะไรนายไม่ได้แล้วยังก่อกวนชาวบ้านก็อย่าทำอีกเลย”
หลี่ว์ซู่หัวเราะแห้งๆ ใครบอกว่าเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่แบบนี้ก็ไม่ค่อยดีหรอก ไปก่อกวนการบำเพ็ญของคนอื่นมันก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ผู้บำเพ็ญอิสระพวกนั้นก็ไม่เคยสร้างเรื่องให้เขา
แต่หลี่ว์ซู่ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะเปิดเขตแดนตราแผ่นดินไปให้กว้างขึ้นให้เร็วที่สุด…
แม้โครงการนี้จะใหญ่มากแต่เขาก็ไม่ท้อ จิตวิญญาณของอวี๋กงย้ายภูเขา [1] นั้นสำคัญ แค่แต้มเยอะแยะที่ได้มาวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่ามันคุ้มค่า
——
[1] อวี๋กงย้ายภูเขา เป็นสุภาษิตหมายถึง หากเรามีจิตใจแน่วแน่ ยืนหยัดมั่นคง เราก็จะชนะอุปสรรคได้ในที่สุด