ตึงๆๆ จงอวี้ถังนั่งอยู่ในห้องทำงานก็ได้ยินเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญเข้ามา” จงอวี้ถังกำลังก้มหัวจัดการเอกสาร เขาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของเครือข่ายดินสาขาอวี้โจวและเป็นอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยลั่วเสิน จงอวี้ถังจึงมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย
ทุกวันนี้ขอบข่ายของวิทยาลัยที่เจ็ดแห่งไม่สามารถเทียบได้กับขอบข่ายของโลกแห่งการบำเพ็ญ องค์กรอื่นๆ อาจจะวิทยาลัยแต่เทียบไม่ได้กับวิทยาลัยทั้งเจ็ดแห่งนี้
จะดำเนินวิทยาลัยให้ดีได้อย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้เป็นหัวข้อพิเศษที่อาจารย์ใหญ่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่มีประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนคอยช่วยและไม่เคยมีมาก่อนว่าคนธรรมดาสอนผู้บำเพ็ญ จงอวี้ถังจึงง่วนอยู่กับการสังเกตการดำเนินงานของวิทยาลัยว่าดีหรือไม่อยู่ทุกวัน มีส่วนไหนต้องปรับปรุงหรือไม่
ในตอนแรกยังไม่มีภาพหลิวซิวประดับอยู่ที่ทางเดิน แต่เป็นภาพของนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ แต่จงอวี้ถัง รู้สึกว่าไม่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงให้คำแนะนำนี้และเนี่ยถิงก็รับฟัง
ผู้ที่เข้ามาไม่ได้พูดอะไร แต่ค่อยๆ เดินไปที่หน้าโต๊ะทำงานจงอวี้ถังจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงเงยหน้าขึ้นและเห็นตรีศูลชี้ไปที่หน้าผากของเขา
[ได้รับแต้มจากจงอวี้ถัง +666 …]
“มีอะไรก็พูดกันดีๆ … ” จงอวี้ถังพูดเตือน “นายมีความต้องการอะไรก็บอกฉัน วางตรีศูลลงก่อน”
“อาจารย์สาขาวิจัยสายพันธุ์ของพวกเราอยู่ที่ไหนครับ หือ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ไม่มีอาจารย์อยู่ในห้องแล็ป ให้พวกเราจับสัตว์ตัวอย่างกลับมา พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หือ จะให้เก็บกลับมาทำไม เอามาปิ้งกินหรือ”
“…อร่อยไหม” จงอวี้ถังนิ่งไปก่อนถาม แต่ก็รู้ตัวทันทีว่าถามไม่ถูกกาลเทศะ “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งใจร้อนไป ตรีศูลจะแทงฉันแล้ว! “
จงอวี้ถังเป็นถึงหัวหน้าผู้ดูแลของอวี้โจวรู้สึกเจ็บใจอยู่ที่ถูกนักศึกษาข่มขู่แบบนี้ แต่เขาทำอะไรไม่ได้ก็รู้สึกเหนื่อยใจเช่นกัน
[ได้รับแต้มจากจงอวี้ถัง +699!]
“อาจารย์จะมาถึงเมื่อไหร่ครับ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างเย็นชา” เนี่ยถิงจงใจไม่ให้อาจารย์พวกเราใช่ไหม!”
“ใกล้แล้วๆ พวกนายเข้าใจเนี่ยถิงผิดแล้ว จริงๆ แล้วสาเหตุที่อาจารย์ท่านนี้ยังไม่มาเป็นเพราะเชิญมายากมากและเขาก็ยุ่งมากด้วยแต่ตอนนี้กำหนดการลงตัวแล้ว อีกครึ่งเดือนถึงจะมา… “
เอ๊ะ หลี่ว์ซู่คิดในใจว่าเขาเข้าใจผิดเนี่ยถิงจริงๆ หรือ เขาหาอาจารย์ที่ดีที่สุดสำหรับสาขารวิจัยสายพันธุ์หรือ
หลี่ว์ซู่รู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อยแต่ในตอนนี้ เขานึกถึงรายได้จากตลาดมืดที่เพิ่งถูกยึดไป ฮึๆ เนี่ยถิงจะใจดีขนาดนั้นหรือ ไม่มีจริงหรอก
หลี่ว์ซู่จึงไม่ค่อยฝากความหวังกับคนนั้นที่เรียกว่า “อาจารย์ชั้นเยี่ยม” มากนัก
หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างใจเย็นว่า “สาขาวิจัยสายพันธุ์จะเข้าร่วมการแข่งขันกับวิทยาลัยทั้งเจ็ด”
“เอ่อ” จงอวี้ถังพูดอย่างลำบากใจ “การแข่งขันครั้งนี้เป็นตัวแทนเกียรติประวัติของแต่ละวิทยาลัย โดยวิทยาลัยแต่ละแห่งจะคัดเลือกผู้แข่งขันยี่สิบคนและวิทยาลัยอื่นๆ ไม่มีสาขาวิจัยสายพันธุ์เข้าร่วมเลย”
หลี่ว์ซู่ยิ้มและพูดว่า “ผมบอกว่าจะไม่ใช้อาวุธหรือคุณคิดไปเอง พวกเราสาขาวิจัยสายพันธุ์มีพลังขนาดไหน คุณไม่รู้หรือ”
[ได้รับแต้มจากจงอวี้ถัง +666!]
“ราชันฟ้าเนี่ยไม่ให้พวกนายเข้าร่วม … ” จงอวี้ถังเริ่มโยนบาป บาปอันนี้เขาเป็นแพะไม่ไหวหรอก ตั้งแต่หลี่ว์ซู่เดินเข้ามาจนถึงตอนนี้ ตรีศูลในมือเขายังไม่วางลงเลย
“ทำไมไม่ให้พวกเราเข้าร่วม!” หลี่ว์ซู่โกรธ เส้นทางลัดกวาดอารมณ์ด้านลบดีๆ แบบถูกปิดอย่างนั้นหรือ! หลี่ว์ซู่หยิบตรีศูลฟาดลงที่โต๊ะ “เอากฏอะไรมาอ้าง”
จงอวี้ถังมองฟาดพังยับเยินจนรู้สึกเสียดาย “พวกนายมีแค่ห้าคน คนอื่นมีถึงยี่สิบคน แบบนี้พวกนายคนไม่พอนะ! “
“ฮึๆๆ สาขาวิจัยสายพันธุ์ของวิทยาลัยนี้ทำไมคนน้อยอย่างนี้ล่ะ พวกคุณไม่รู้หรือว่ามันเพราะอะไร” หลี่ว์ซู่หัวเราะเยาะ “แล้วตอนนี้มาบอกผมว่าคนไม่พอหรือ”
“อะแฮ่มๆ มันก็ไม่พอจริงๆ” จงอวี้ถังฝืนพูดให้ดูว่าสมเหตุสมผล
หลี่ว์ซู่หันหลังเดินออกไปข้างนอก “เดี๋ยวก่อน”
อยู่ๆ จงอวี้ถังก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
…
เนี่ยถิงนั่งอยู่ในลานบ้านและรับรู้ว่าพลังจิตวิญญาณรอบตัวหายไปโดยสิ้นเชิงจึงเคาะนิ้วที่โต๊ะหินเป็นจังหวะเกิดเป็นเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว หลังจากที่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่มีพลังจิตวิญญาณแล้ว ถ้ามาอยู่ในสภาพสุญญากาศของพลังจิตวิญญาณก็รู้สึกอึดอัดมากเหมือนกับอากาศหายใจบางเบาลง
ให้เขายอมประนีประนอมกับหลี่ว์ซู่มันเป็นไปไม่ได้ ชาตินี้ก็ไม่มีทาง ดังนั้นเนี่ยถิงจึงครุ่นคิดเรื่องหนึ่ง พลังจิตวิญญาณของธรรมชาติไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของแล้วตราแผ่นดินมีพลังควบคุมพลังจิตวิญญาณมากำเนิดอย่างนั้นหรือ
เนี่ยถิงคิดว่าไม่ใช่ โลกนี้ต้องมีพลังจิตวิญญาณก่อน ถึงจะมีคน และตราแผ่นดินเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ย่อมมีวิธีทำลายพลังของมัน
เนี่ยถิงหลับตาและนอนเอนลงบนเก้าอี้แล้วครุ่นคิดพร้อมกับเคาะนิ้วบนโต๊ะไปเรื่อยๆ เสียงเคาะก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ควบคุมให้ดังอยู่แค่ในลานบ้านเท่านั้น
ใบไม้เริ่มสั่นไหว กระเบื้องปูพื้นก็เริ่มสั่นไปด้วย ปราณดาบในตัวของเนี่ยถิงพยายามท้าทายอำนาจควบคุมของตราแผ่นดินนับครั้งไม่ถ้วน
เนี่ยถิงขมวดคิ้วขึ้น อาคมของตราแผ่นดินนี้แน่นหนาไร้ที่ติ พลังยุคโบราณช่างทรงพลังเสียจริง เป็นของวิเศษที่สะสมพลังไม่รู้เอาไว้มากแค่ไหนถึงได้มีพลังสูงส่งเช่นนี้
แต่เนี่ยถิงกลับยิ่งสนใจมากขึ้น เขาเคาะนิ้วเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เร็วกระทั่งสือเสวจิ้นรีบวิ่งออกจากลานบ้านไป เขายืนอยู่ที่ประตูลานและตะโกนร้องความตกใจ “นายบ้าไปหรือเปล่า! “
ขณะนั้น เนี่ยถิงก็เคาะนิ้วช้าลงและในที่สุดก็หยุดชั่วครู่และเคาะลงไปอีกครั้ง!
ทันใดนั้นเอง พลังจิตวิญญาณธรรมชาติก็หลั่งไหลเข้ามาในลานบ้านอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นโต๊ะหินก็สลายกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวไปตามสายลมในทันที
ผมของเนี่ยถิงพลิ้วไหวไปตามสายลม เขายืนขึ้นและมองไปบนท้องฟ้าอย่างสงบพร้อมรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ในดวงตานี้ เขาทำลายเขตอาคมนั้นลงได้!
ในตอนนั้นเอง บ้านทั้งหลังก็พังทลายลง สือเสวจิ้นยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ถึงกับร้องโฮออกมา “เนี่ยถิง นายบ้าไปแล้ว … “
เนี่ยถิงยืนอยู่บนซากปรักหักพังด้วยใบหน้ามีความสุขและไม่ตอบอะไร
ในตอนนี้เองท้องฟ้าก็ดูครึ้มลงทันที สือเสวจิ้นเงยหน้าขึ้นและพึมพำ “ทัณฑ์สวรรค์! พลังใกล้จะปะทุแล้ว! “
สือเสวจิ้นตะโกน “เจ้ารีบออกจากเมืองไป ฉันจะโทรหาหลี่ว์ซู่เอง! ตอนนี้ยังทัน ดูท่าต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งก่อนที่ทัณฑ์สวรรค์จะเกิดขึ้น! “
ทัณฑ์สวรรค์จะเกิดขึ้นในเมืองไม่ได้!
ในตอนนี้ หลี่ว์ซู่กำลังทานอาหารอยู่จู่ๆ ก็ได้มีสายของสือเสวจิ้นดังเข้ามา หลังจากที่ได้ฟังที่สือเสวจิ้นพูด เขาก็อึ้งไปเป็นนานเลยและพูดกับตัวเองว่า “เราประสาทไปแล้วหรือถึงได้ไปช่วยให้เนี่ยถิงปะทุพลัง”
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
หลี่ว์ซู่รับเรื่องน่าเจ็บใจนี้ไม่ไหวจริงๆ!