ตามคำพูดของเนี่ยถิงดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ว่าโลกนี้กำลังแตกสลาย การใช้พลังของเนี่ยถิงจะทำให้เกิดกฎของตนเอง เกิดความขัดแย้งขึ้น เขาจะใช้พลังก็ได้แต่เกรงว่าสถานที่เขาใช้พลังจะกลายเป็นพื้นที่พังทลายที่ยากจะฟื้นคืนกลับมาได้
สถานการณ์นี้น่ากลัวมาก ไม่มีใครรู้ว่าโลกจะเป็นอย่างไรหลังจากที่มันแตกสลายไปแล้ว
ดังนั้นในสายตาของคนนอก ความแข็งแกร่งของเครือข่ายฟ้าดินจึงเหนือกว่าทุกองค์กร องค์กรต่างๆ อย่างนักบุญและหัวหน้าบาทหลวงต่างก็แสวงหาความก้าวหน้าของตนเอง บางองค์กรก็หวังว่าพวกเขาจะสามารถมียอดฝีมือระดับ A และแสวงหาระดับที่สูงขึ้นไป
มีเพียงสือเสวจิ้นเท่านั้นที่รู้ว่าการเลื่อนระดับสู่เสินฉังจิ้งของเนี่ยถิงนั้นป้องกันไม่ให้ความแข็งแกร่งของเครือข่ายฟ้าดินไม่ก้าวหน้ากลับถดถอยลง จากเดิมที่มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดกลายเป็นสามารถปะทุพลังแต่ไม่สามารถใช้ได้
แน่นอนว่าจะไม่สนใจอะไรเลยก็ได้ เนี่ยถิงก็เหมือนกับระเบิดนิวเคลียร์ขั้นสูงเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเองที่มีสติปัญญาและสามารถปล่อยได้ทุกเมื่อ พลานุภาพของมันไม่ดีๆ ก็แค่สลายไปพร้อมกัน
วันนี้สือเสวจิ้นและเนี่ยถิงมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดคงได้เห็นพลังที่สูงกว่าระดับ A มาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ผลของการต่อสู้ของยอดฝีมือระดับ A และก็รู้ด้วยว่าเนี่ยถิงจะมีสถานะอย่างไรหลังจากเข้าสู่เสินฉังจิ้ง
ในตอนนั้น สองปรมาจารย์หุ่นเชิดอวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อแทบไม่คิดจะสู้กับเนี่ยถิงเลยตั้งแต่แรก เป้าหมายของพวกเขาคือหลี่เสียนอี
ย้อนกลับไปคืนนั้นที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดและมูลนิธิมีเรื่องบาดหมางกันใหญ่หลวง นั่นเป็นความแค้นครั้งใหญ่หลวง ช้าเร็วยังไงก็ต้องมีวันที่เปิดศึกต่อกัน
หากมีศึกนั้นขึ้นจริง เกรงว่าเครือข่ายฟ้าดินจะยืนอยู่ข้างมูลนิธิ นี่คือหลักการของทั้งโลกเพราะปรมาจารย์หุ่นเชิดนั่นมาจากอีกโลกหนึ่ง
ทุกคนรู้ถึงความหมายของการมีอยู่และเบื้องลึกเบื้องหลังของมูลนิธิ ดังนั้นแม้ว่าจะมียอดฝีมือระดับสูงก็ไม่น่ากลัวแม้ว่านักบุญจะปะทุพลังก็ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคืออนาคต
ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังกำแพงของดินแดนเนรเทศนั้นคืออะไรและไม่รู้ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดเป็นตัวแทนของสิ่งใด
ในตอนนั้นเนี่ยถิงต้องการตามไปกำจัดนักบุญและหัวหน้าบาทหลวง แต่เขาทำไม่ได้ จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็โทรมาหา เนี่ยถิงโกรธจนเกือบคุมพลังไว้ไม่อยู่จึงรับเก็บตัวเพื่อควบคุมพลัง
หลังจากที่คอรัลตามเฉินไป๋หลี่และเนี่ยถิงกลับมาเมืองหลวงก็ไม่ได้ไปที่เมืองลั่วเฉิงในทันทีแต่เสินความคิดที่จะไปเยี่ยมสุสานแทน
สิ่งนี้ทำให้สือเสวจิ้นไม่เข้าใจอยู่บ้าง คนเดียวๆ ในสุสานที่อาจพอรู้จักกับคอรัลคือหลิวซิวแต่คนนั้นบอกว่าคอรัลสูญเสียความจำไปแล้วไม่ใช่เหรอแล้วตอนนี้มันเรื่องอะไรกัน
ก่อนที่เนี่ยถิงจะเก็บตัวได้โทรหาจงอวี้ถังแจ้งว่าไม่อนุญาตให้สาขานักวิจัยสายพันธุ์ของวิทยาลัยลั่วเสินเข้าร่วมการแข่งขันทั้งเจ็ดวิทยาลัย
ที่จริงการตัดสินใจนี้ไม่ใช่เพราะหลี่ว์ซู่แต่เพื่อปกป้องนักเรียนจากวิทยาลัยอื่น …
จงอวี้ถังเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของเนี่ยถิง เพราะผู้บริหารคนอื่น ๆ ก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน หากหลี่ว์ซู่เกิดต่อสู้จนคนอื่นบาดเจ็บหนัก พวกเขาเองจะมองหน้ากันไม่ติด
และหลี่ว์ซู่เองสามารถทำเรื่องนั้นได้จริงๆ!
จงอวี้ถังอยู่ที่ออฟฟิศกำลังปรึกษาเรื่องการควบคุมตลาดมืดกับโยวหมิงอวี่ หมู่นี้ผู้บำเพ็ญอิสระในตลาดมืดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนหวังว่าทุกคนอยู่รวมกันที่เดียวเพื่อสะดวกในการจัดการ ตอนนี้เครือข่ายฟ้าดินอยากให้พวกผู้บำเพ็ญอิสระมีบทบาทมากขึ้น
ดังนั้นจะให้พวกเขาทำอะไรจึงเป็นคำถามข้อใหญ่ พลังของผู้บำเพ็ญอิสระตอนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอ จุดประสงค์ของโยวหมิงอวี่คือการสร้างระบบการค้าขนาดใหญ่ของผู้บำเพ็ญอิสระเพื่อไปรวบรวมทรัพยากรการบำเพ็ญที่ตกหล่นอยู่กับชาวบ้านทั่วโลก
แต่เรื่องนี้ต้องรอจนกว่าโอกาสจะสุกงอม จะประมาทไม่ได้
ในตอนนั้นเองก็มีสายโทรศัพท์เข้ามา จงอวี้ถังรับสายและได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนมาว่า “อาจารย์ใหญ่ๆ สาขาวิจัยสายพันธุ์เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! “
เมื่อจงอวี้ถังได้ยินคำว่าสาขาวิจัยสายพันธุ์ชื่อนี้ก็ทำเอาใจเขาตุ้มๆ ต่อมๆ
“จบกัน! จบสิ้นกันแล้ว! “
…
หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เฉาชิงฉือ เฉินจู่อาน เฉิงชิวเฉี่ยว พวกเขาอยู่ในห้องแล็ป ไม่ผ่าพิสูจน์สัตว์ตัวอย่าง ถ้าไม่เล่นการพนันก็ดูหนังหรือไม่ก็เล่นเกมซะเลย
สิ่งอำนวยความสะดวกภายนอกห้องแล็ปก็มีพร้อม ห้องคอมพิวเตอร์ตั้งหลายห้อง และอุปกรณ์มัลติมีเดียที่มีพร้อมสรรพ
หลี่ว์ซู่ดูข่าวเว็บไซต์มูลนิธิ ช่วงนี้สัตว์กลายพันธุ์ก่อปัญหาไม่น้อยเลย ยังดีที่ทุกคนกังวลเรื่องพืชกลายพันธุ์ยังไม่เกิดขึ้นแต่การบุกรุกของพืชในบางแห่งในต่างประเทศได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้มีตั๊กแตนระบาดทางตอนเหนือของประเทศจีน ตั๊กแตนกลายพันธุ์มีขนาดเท่าหัวแม่มือ เดิมทีเครือข่ายฟ้าดินตื่นตระหนกมาก เพราะแม้ว่าตั๊กแตนเหล่านี้จะไม่โจมตีมนุษย์แต่ความเร็วในการกินพืชผลก็เร็วกว่าที่เคยมีมา
เป็นผลให้ชาวบ้านเริ่มรวมตัวกันเป็นองค์กร ไม่รอให้เครือข่ายฟ้าดินเข้ามาจัดการเรื่องการระบาดของตั๊กแตน
ตอนแรกทุกคนค่อนข้างกลัวมากๆ เพราะตั๊กแตนกลายพันธุ์ ฟังดูแล้วก็น่ากลัวเอามากๆ
ต่อมาทุกคนพบว่าตั๊กแตนกลายพันธุ์ไม่โจมตีมนุษย์ ดังนั้นความกล้าจึงมีมากขึ้น
ด้วยความคิดที่ว่าถ้าแกกินพืชผลข้า ข้าจะทำลายแกทั้งโคตร ผืนนาที่ฝูงตั๊กแตนกลายพันธุ์ผ่านจึงมีคนมากมาย ไม่นานคนที่มาจับตั๊กแตนมากกว่าตั๊กแตนกลายพันธุ์เสียเอง แล้วยังมีคนคอยเก็บตั๊กแตนอีก
ตั๊กแตนธรรมดาขายได้ครึ่งกิโล หกสิบหยวน ตั๊กแตนกลายพันธุ์ขายได้ครึ่งกิโล หนึ่งร้อยแปดสิบหยวน กำไรเท่าตัว …
ในท้ายที่สุด ฝูงแมลงที่เริ่มมีสติปัญญาในระยะแรกก็หมดหนทาง ถูกบีบให้เปลี่ยนทิศทางขึ้นไปทางเหนืออย่างรวดเร็วทั้งรัสเซียจึงรับเคราะห์ไปแทน
ชาวจีนยังรู้สึกเสียดายอยู่เลย ว่าแต่ตั๊กแตนกลายพันธุ์พวกนี้อร่อยมากเสียด้วย ทำไมถึงหนีไปต่างประเทศซะได้ กลับบ้านมาบ่อยๆ นะ
แต่พืชกลายพันธุ์เป็นคนละเรื่อง ทุกคนพบว่าสัตว์กลายพันธุ์หลายชนิดไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน แต่พืชกลับจับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่คุณค่าทางอาหารเอามาเป็นอาหาร จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
หลี่ว์ซู่กำลังดูข่าวอยู่ก็เริ่มฉายหนังในห้องแล็ป ทุกคนนั่งดูหนังฆาตกรรมระทึกขวัญบนโซฟา
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดูออกรสออกชาติตลอดเรื่อง เธอหันมาเห็นเฉิงชิวเฉียวและเฉินจู่อานกลับทำท่าทางกลัวจนหัวหดเลย เธอจึงหัวเราะเยาะว่า “มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ พวกนายเป็นแบบนี้ไม่อายคนอื่นเขาเหรอ”
หลังจากถูกเสี่ยวอวี๋ดูหมิ่น เฉินจู่อานก็ทำอะไรไม่ถูก เขาชี้ที่เฉาชิงฉือไม่พูดจาอะไร “ดูหนังก็ดูหนังซิ เธอให้หยุดจดบันทึกได้ไหม พวกเรากลัว”
หลี่ว์ซู่ “…”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “…”
ต่อให้เฉาชิงฉือจะปฏิบัติภารกิจลอบสังหารมาตลอดแต่จดบันทึกเวลาดูหนังมันก็มากเกินไป …
หลี่ว์ซู่คิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “ฉันตัดสินใจแล้ว พวกเราจะเข้าร่วมการแข่งขันของเจ็ดวิทยาลัย”
เฉาชิงฉือวางสมุดบันทึกลง “นายไม่ให้พวกเราเข้าร่วมไม่ใช่เหรอ”
หลี่ว์ซู่เลิกคิ้ว “เนี่ยถิงไม่อนุญาต พวกเราก็เข้าร่วมไม่ได้เลยเหรอ”
และแล้ว สาขาวิจัยสายพันธุ์จึงเริ่มกวาดล้างทุกคนในวิทยาลัยลั่วเสิน