ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 783 ธาตุคาถา

 

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่ถึงบ้านแล้ว เขาก็เริ่มจัดการคลื่นพลังจิตวิญญาณที่เขาสามารถควบคุมได้จากตราแผ่นดิน นี่น่าจะเป็นเรื่องที่จริงจังที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมาเลย  

 

 

เขาปล่อยพลังจิตวิญญาณออกมาจากในป่าเขาเข้ามาในเมืองและทำให้บริเวณวิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินและบริเวณที่มีผู้บำเพ็ญลับกระจุกตัวอยู่มีความเข้มข้นมากที่สุด ต้องขอบคุณพวกหนูที่กินพืชผักส่วนใหญ่ไปแล้ว เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่จะได้ไม่ต้องห่วงในขณะที่เขาปล่อยพลังจิตวิญญาณให้หลั่งไหลเข้าไปในพื้นที่  

 

 

ที่จริงแล้ววิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินนั้นตั้งอยู่บนบริเวณที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นอยู่แล้วเป็นผลมาจากโบราณสถานนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงมีโครงการพิเศษที่เครือข่ายฟ้าดินเป็นคนจัดการเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ และเพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภัยพิบัติที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดที่บ้านของหลิวหลี่และบ้านของเจียงซู่อี  

 

 

เมื่อพูดถึงหลิวหลี่แล้ว เขาค่อนข้างดีใจที่คฤหาสน์เก่าของเขาถูกทำลายไป ตอนนี้พลังจิตวิญญาณที่บ้านใหม่ของเขาก็เกินระดับทั่วไปของที่อื่นไปมาก ทำให้ที่ดินของเขามีมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านหยวน  

 

 

แน่ล่ะว่าต้องเป็นผลมาจากหลี่ว์ซู่ ถึงแม้เขาจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ ที่ดินที่เขาให้หลิวหลี่และเจียงซู่อีนั้นมีค่านับไม่ได้เลยทีเดียว  

 

 

และตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็รับรองได้เลยว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ไหนเข้าใกล้เมืองลั่วอีกแล้ว  

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็เริ่มจะคิดแล้วว่าผู้สร้างตราแผ่นดินเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า ก็เลยทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญามากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ   

 

 

ในขณะเดียวกันเครือข่ายฟ้าดินก็สังเกตเห็นอิทธิพลของพลังจิตวิญญาณในหมู่มนุษย์ หลายๆ คนแข็งแกร่งขึ้น และคนที่มีศักยภาพการฝึกต่ำก็ได้รับประโยชน์เมื่อสูดพลังจิตวิญญาณเข้าไป นอกจากนั้นคนรวยทั้งหลายก็อยากจะไปอยู่ในบริเวณที่มีพลังจิตวิญญาณสูงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถดึงพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ได้ก็ตาม  

 

 

อย่างไรก็ตามมนุษย์จะมีสติปัญญาที่ดีขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นๆ จากการวิจัยของเครือข่ายฟ้าดินพบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีพลังจิตวิญญาณสูงหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะมี IQ เพิ่มขึ้นประมาณ 10-20 โดยประมาณ  

 

 

นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยที่คล้ายๆ กันในต่างประเทศเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเด็กที่ป่วยเป็นโรคดิสเล็กเซียนั้นจะอ่านหนังสือได้ดีขึ้นหลังจากใช้เวลาอยู่ในบริเวณที่มีพลังจิตวิญญาณสูงอีกด้วย  

 

 

การวิจัยทางวิชาการนั้นมีจุดประสงค์ไว้เพื่อการแบ่งปันเนื่องจากไม่ได้มีข้อมูลอะไรเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของใคร แต่จะเป็นประโยชน์ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรต่างๆ มากกว่า  

 

 

อย่างไรก็ตาม คนที่มีกรณีพิเศษเช่นโรคดิสเล็กเซียจะไม่ค่อยมีรายงานในประเทศจีน เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มักจะถูกมองว่าโง่นั่นเอง…  

 

 

ในตอนที่หลี่ว์ซู่กำลังยุ่งกับการปล่อยพลังจิตวิญญาณอยู่นั้น เขาก็เห็นว่ามีคลื่นพลังงานระเบิดขึ้นข้างๆ บ้านของเขา…เดี๋ยวก่อนนะ ตรงนั้นเป็นบ้านของเฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวอยู่นี่  

 

 

ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นเฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉียวต่อสู้กันและผลักกันขณะที่กำลังเดินออกมาจากบ้าน หลี่ว์ซู่รีบเรียกสติตัวเองกลับมาที่ร่างของเขาทันที จากนั้นเขาก็วิ่งออกมาจากบ้านของตัวเอง เขาตะโกนใส่ทั้งสองคน “หยุดผลักกันได้แล้ว!”  

 

 

แล้วทั้งสองคนก็เตะกันแทน…  

 

 

หลี่ว์ซู่นวดขมับตัวเองด้วยความรำคาญ “หยุดเตะกันด้วย!”  

 

 

เขาประหลาดใจมากที่เห็นทั้งสองคนยังคงถ่มน้ำลายใส่หน้ากันขณะยืนอยู่นิ่งๆ   

 

 

หลี่ว์ซู่ทำสีหน้าน่ากลัว “เฮ้ย! บอกให้หยุด! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”  

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวตอบกลับด้วยความโกรธ “ผมขอให้เฉินจู่อานช่วยเตือนผมให้มีสติตอนผมกำลังกินผลปะทุพลังด้วยการช่วยส่งเสียงมาจากข้างนอก เผื่อว่าผมจะถูกธาตุกลืนไป”  

 

 

ก็ฟังดูเข้าใจได้อยู่ หลี่ว์ซู่เคยผ่านเหตุการณ์วิกฤตนี้มาเหมือนกัน ในที่สุดเขาก็ได้สติขึ้นมาเพราะน้ำตาของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “แล้วไงต่อ” เขาถาม  

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวหันไปหาเฉินจู่อานทันทีและจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “แล้วไอ้หมอนี่ก็ร้องเพลงไม่หยุดหลังจากผมกินผลปะทุพลังไปแล้วน่ะสิครับ ถึงผมจะไม่ถูกธาตุดูดกลืนไป แต่ธาตุก็เกือบถูกเพลงที่เขาร้องดูดกลืนไปแทน…”  

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้ง เขาหันไปหาเฉินจู่อานแล้วถาม “นายทำให้ฉันมองนายเปลี่ยนไปเลยนะ!” จากนั้นเขาก็ถามเฉิงชิวเฉี่ยว “เขาร้องเพลงอะไร”  

 

 

หลังจากที่เฉิงชิวเฉี่ยวหยุดไปสักพัก เขาก็ร้องเพลงออกมาท่อนหนี่ง เหมือนกับว่าเขาอายมากที่จะร้องเพลงนี้ “หอยสังข์ตัวน้อยลอยไปลอยมา ดี๊ ดี๊ ดี๊ นกนางนวลบินจึงบินไปบนท้องฟ้า หอยสังข์ตัวน้อยลอยไปลอยมา ดี๊ ดี๊ ดี๊ คลื่นทะเลเลยซัดเข้าหาฝั่ง…”  

 

 

ปากของหลี่ว์ซู่กระตุกเล็กน้อยหลังจากที่เฉิงชิวเฉี่ยวร้องท่อนนั้นซ้ำอีกครั้ง ที่เล่นหูเล่นตาแบบนั้นมันคืออะไรกันวะเนี่ย  

 

 

แต่เมื่อเฉิงชิวเฉี่ยวร้องเพลง นกกระจอกสองตัวที่กำลังบินอย่างเริงร่าแถวๆ กิ่งไม้ก็ร่วงลงมาบนพื้นอย่างกับเมาเหล้า…  

 

 

ทั้งสามคนไม่ทันได้ระวัง หลี่ว์ซู่พุ่งเข้าไปรับนกกระจอกสองตัวนั้นทันที เขาตะโกนขึ้นมา “นี่เป็นความสามารถใหม่ที่นายปะทุพลังได้งั้นเหรอ”  

 

 

ยังดีที่ต้นไม้นั้นไม่ได้สูงมาก หลังจากนั้นไม่นานนกพวกนั้นก็บินได้อีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นคาภาพลวงตา  

 

 

แต่ทุกคนไม่คิดว่าเรื่องมันจะงายขนาดนั้น พวกเขาเดินไปทางต้นไม้สูง หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปและเห็นฝูงนกกระจอกเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และเขาก็พูดขึ้นมา “ลองอีกรอบ คราวนี้ร้องในใจ”  

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวทำตาม แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลยบอกให้เขาร้องออกมาเสียงดัง ผลปรากฏว่าฝูงนกพวกนั้นร่วงลงพื้นเหมือนกับครั้งที่แล้ว เหมือนกับว่าพวกมันรับเสียงร้องเพลงของเขาไม่ได้  

 

 

หลี่ว์ซู่จับนกมาได้หนึ่งตัวในมือแล้วเขาก็ปล่อยมันไป จากนั้นเขาก็บอกเฉิงชิวเฉียวด้วยน้ำเสียงจริงจังหลังจากหายใจเข้าลึก “ยืนยันได้แล้วล่ะ นี่เป็นความสามารถใหม่ของนาย ขอบอกเลยว่าไม่เหมือนใครเลยจริงๆ ”  

 

 

“เฉินจู่อาน! ฉันยังไม่จบกับนายนะ!” เฉิงชิวเฉี่ยวร้องกร้าว แล้วทั้งสองคนก็ผลักกันไปกันมาอีกรอบ  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกแปลกๆ เชาไม่เคยได้ยินเรื่องราวอะไรแบบนี้มาก่อน เสียงร้องเพลงของเฉินจู่อานจะต้องทรงพลังมากแน่ๆ !  

 

 

หลี่ว์ซู่พูดตรงๆ เลยว่าเขาอยากจะทำการทดลองตอนนี้เสียจริง เขาอยากจะให้คนอื่นลองกินผลนี้และดูว่าคนคนนั้นได้ปะทุพลังออกมาเป็นอะไร เป็นไปได้ว่าความสามารถที่พัฒนาขึ้นมานี้จะเกี่ยวข้องกับการรบกวนกิจวัตรประจำวันของพวกนก เพียงแต่ว่าเฉิงชิวเฉี่ยวนั้นมีความพิเศษในแง่ที่ว่าเขาต้องร้องเพลงมาสองสามท่อนก่อนที่จะร่ายเวทย์ออกมา  

 

 

โชคดีที่พวกเขาอยู่ในเมืองบนบก ไม่อย่างนั้นหลี่ว์ซู่ก็อยากจะเห็นว่าคลื่นทะเลจะมีปฏิกิริยาแบบไหนตอนที่เฉิงชิวเฉี่ยวร้องเพลงกลางทะเล  

 

 

พูดถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็อยากรู้ว่ามันเมื่อมันส่งผลกับนกมันจะส่งผลกับมนุษย์ด้วยไหมนะ! หรือจะส่งผลกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างการ์กอยล์ด้วยหรือเปล่า  

 

 

ผู้มีพลังสามารถมีธาตุต่างๆ แตกต่างกันไปอย่างเช่น ธาตุไฟ ธาตุสายฟ้า แต่ผู้คนรอบๆ ตัวหลี่ว์ซู่นั้นกลับปะทุพลังที่น่าสนใจเสียจริง อย่างเช่นเจ้าอ้วนน้อยก็ได้ความสามารถกินจุมา และเฉิงชิวเฉี่ยวก็เป็น…เขาเป็นพ่อมดหรือเปล่านะ หรือเขาเป็นธาตุคาถากัน  

 

 

ถ้าความสามารถนี้ส่งผลต่อมนุษย์จริงๆ หลี่ว์ซู่ก็เดาว่าเฉิงชิวเฉี่ยวจะเป็นคนท่องคาถาอยู่ข้างหลังเฉินจู่อาน เมื่อเฉินจู่อานโผบินขึ้นไปบนฟ้าหลังจากที่เขาเลื่อนระดับเป็นระดับ A  

 

 

หลี่ว์ซู่อยากจะเห็นกับตาจริงๆ เลย…  

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาจากข้างนอกสวน หลี่ว์ซู่จำเขาได้ในทันที “เฮ้ย! ไอ้คนขายของขี้โกง!”  

 

 

[ได้รับแต้มจากจ้าวหย่งเฉิน +399]  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่นี่ แต่แล้วเขาก็คิดอะไรออก “คุณมาเป็นอาจารย์คนใหม่ของวิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินเหรอครับ”  

 

 

จ้าวหย่งเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ใช่แล้ว ฉันจะมาสอนนักศึกษาในวิชาสืบสวนและวิชาการวิจัยสายพันธุ์ด้วย แล้วเดี๋ยวฉันจะกลับไปตอนที่แผลหายแล้ว ที่จริงฐานพลังจิตวิญญาณของฉันถูกทำลายไปตั้งแต่การต่อสู้ในแอฟริกาแล้วล่ะ ตอนนี้โชคดีหน่อยที่พอจะยังใช้การอะไรได้บ้าง”  

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไป ที่พวกเขายังไม่มีอาจารย์ก็เพราะจ้าวหย่งเฉินกำลังฟื้นฟูร่างกายอยู่นี่เอง  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset