ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 789 เกมหมากรุก

หลี่ว์ซู่มองเครือข่ายฟ้าเปลี่ยนไปอยู่ตลอด  

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่เจอพวกเครือข่ายฟ้าดินครั้งแรกที่งานวัด เขาคิดว่าเครือข่ายฟ้าดินเป็นพวกตัวอันตราย เขาปะทุพลังแล้วก็กลัวเครือข่ายฟ้าดินจะจับตัวเขาไปทำวิจัย และเขาก็กลัวว่าตัวเองจะต้องโดนใช้แรงงานจนตายด้วย  

 

 

จากนั้นเนี่ยถิงก็ไปหาหลี่เสียนอี ท่าทางที่เนี่ยถิงแสดงออกมาทำให้หลี่ว์ซู่ประทับใจมาก หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนองครักษ์เสื้อแพรที่หลี่ว์ซู่ไม่สามารถเข้าไปแหยมได้เลย  

 

 

แล้วเขาก็มาเจอหลี่อีเสี้ยว หลี่ว์ซู่ก็เพิ่งรู้ว่ามีราชันฟ้าแบบนี้อยู่ในเครือข่ายฟ้าดินด้วย และเครือข่ายฟ้าดินก็ไม่ได้อันตรายอย่างที่เขาคิด ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ แล้ว ในหมู่ราชันฟ้าก็ยังมีราชันฟ้าที่ไม่ค่อยน่านับถืออยู่สินะ   

 

 

เมื่อเขาเจอหลิวซิว หลี่ว์ซู่ก็เข้าใจความหมายของคำว่าความไว้วางใจและศรัทธาในเครือข่ายฟ้าดินในตอนนั้น และเมื่อเขาไปเจอจ้าวหย่งเฉิน เขาก็ยิ่งมั่นใจในความรู้สึกนี้มากขึ้น  

 

 

ตอนนี้เองก็มีราชันฟ้าติดเกมสองคนมาอีก หลี่ว์ซู่ไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรเลย  

 

 

แต่การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว หลี่ว์ซู่ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องไปทำอีกเยอะ เขาจะมามัวสนใจเรื่องแบบนี้ในเวลานี้ไม่ได้  

 

 

ขณะเดียวกันนั้นเองหลี่เสียนอีก็บินไปต่างประเทศและมุ่งหน้าไปที่ภูเขาจั่งไป๋  

 

 

มูลนิธิมีส่วนเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์หุ่นเชิดมาหลายปี เมื่อพวกเขาเห็นว่าคนที่เก่งที่สุดในบรรดาพวกเขาไม่สามารถสู้กับปรมาจารย์หุ่นเชิดได้อีกต่อไป พวกเขาจึงนัดหมายคณะกรรมการมาประชุมกันอย่างเร่งด่วน ส่วนใหญ่เรื่องที่สำคัญที่สุดในการประชุมก็คือการหารือว่ามีใครที่สามารถเลื่อนระดับเป็นระดับ A ได้บ้าง พวกเขาจะสู้ปรมาจารย์หุ่นเชิดได้ถ้าพวกเขามีคนระดับ A มากกว่านี้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องเปลืองทรัพยากรในมูลนิธิไปกับการต่อสู้มาก คนอย่างจือเวยนั้นมีความใกล้เคียงที่จะเลื่อนระดับได้มากที่สุดแล้ว ขนาดพวกเครือข่ายฟ้าดินยังไม่น่าจะเอาชนะการสืบต่อของมูลนิธิได้เลย ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับการเลื่อนระดับ ดังนั้นหลี่เสียนอีกก็เลยต้องเป็นคนจัดการเรื่องการต่างประเทศ  

 

 

ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเลื่อนระดับเป็นระดับ A ได้ มันต้องอาศัยศักยภาพและระดับขั้น จือเวยหยุดอยู่ที่ระดับ B ขั้นสูงมา 6 เดือนเต็มๆ แล้ว หลี่เสียนอีได้อธิบายการรู้แจ้งของการเลื่อนระดับให้เขาฟังแล้ว เขารับรู้ข้อมูลนั้นมา แต่เขาก็ต้องหาทางทำมันให้ได้ด้วยตัวเอง  

 

 

หลายคนที่หยุดชะงักอยู่ตรงภาวะคอขวดในการเลื่อนขั้น พวกเขาเลื่อนขั้นกันไม่ได้เป็นปี เหมือนกับว่าฟ้าดินไม่สนใจใยดีพวกเขาแล้ว และไม่อยากจะช่วยพวกเขาอีกต่อไป…  

 

 

หลี่เสียนอีบินข้ามผ่านก้อนเมฆและเริ่มจะลดความสูงลงมาแล้ว เมฆหนาพวกนี้ดูจะไม่เต็มใจที่จะช่วยเขา และตัดผ่านเขาให้มีแผลราวกับเป็นเส้นไหมบางๆ แต่หลี่เสียนอีเร็วมาก จนเมฆพวกนั้นต้องกระจายตัวออกไปแทน  

 

 

เขาไม่ได้ร่อนลงในประเทศ ภูเขาจั่งไป๋นั้นกินพื้นที่ไปกว่าร้อยๆ กิโลเมตร หลี่เสียนอีอยู่ที่ยอดเขานอกประเทศที่เรียกว่ายอดเขาเจียงจวิน  

 

 

หลี่เสียนอีโทรหาเนี่ยถิง “ฉันอยู่ที่ยอดเขาเจียงจวินแล้ว ขออนุญาตเข้าประเทศหน่อย”  

 

 

เนี่ยถิงตอบกลับอย่างใจเย็นผ่านโทรศัพท์ “เครือข่ายฟ้ายินดีต้อนรับท่านครับ”  

 

 

หลี่เสียนอีพูดกับเนี่ยถิงเป็นการส่วนตัวเรื่องการมาที่ภูเขาจั่งไป๋เพื่อมาตรวจดูรอบๆ บริเวณนี้  

 

 

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้หลี่เสียนอีคิดไปว่าเนี่ยถิงคงไม่ยอมให้คนของมูลนิธิเข้าประเทศแน่นอน หลังจากหลี่เสียนอีกลับไปที่มูลนิธิเพื่อไปเป็นหัวหน้าผู้อำนวยการแล้ว ความคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนกันไปคนละแบบ และสนธิสัญญาที่เคยทำมาในอดีตก็กลายเป็นโมฆะไป  

 

 

แต่หลี่เสียนอีไม่คิดว่าเนี่ยถิงจะยอมตกลง เนี่ยถิงแค่บอกว่าห้ามเขาไปในบริเวณใดบริเวณหนึ่งเท่านั้น แนวกระบี่ที่ตั้งไว้จะฟังเนี่ยถิงเพียงผู้เดียว และเขาก็ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่อยู่ข้างในแนวกระบี่นั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเผ่าโบราณอี๋เลยแม้แต่น้อย  

 

 

แถวนั้นไม่มีใครจะมาหยุดหลี่เสียนอีได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วย แต่เขาก็ได้ให้คำสัญญาไปกับเนี่ยถิงแล้วว่าเขาจะถามความเห็นของเครือข่ายฟ้าดินก่อนที่จะเข้าประเทศ เขาเป็นคนที่มีคุณธรรมและไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่รอบๆ ตัวเขาหรือเปล่า และเขาก็เป็นพวกที่เข้มงวดกับตัวเองมากด้วย  

 

 

เขาบอกเนี่ยถิงก่อนเพราะว่าเขาต้องทำตามขั้นตอน เพราะมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่จะทำ ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อส่วนตัวของเขาด้วย  

 

 

หลังจากหลี่เสียนอีได้รับคำอนุญาตแล้ว เขาก็บินขึ้นบนฟ้าอีกรอบ เขาเริ่มค้นหาไปทั่วภูเขาจั่งไป๋อย่างจริงจังทันที  

 

 

ขณะเดียวกันนั้นเองก็มีคนโพสต์รูปหลี่เสียนอีบินอยู่บนภูเขาจั่งไป๋ลงไปในกระทู้มูลนิธิ  

 

 

คนที่โพสต์รูปวางแผนมาก่อนแน่ๆ หลายๆ คนบอกว่าหลี่เสียนอีรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติไปที่ภูเขาจั่งไป๋ และสมบัติก็จะปรากฏตัวในไม่ช้า  

 

 

ผู้บำเพ็ญธรรมดาๆ และผู้มีพลังทั้งหลายไม่รู้ว่าทำไมหลี่เสียนอีถึงได้ไปที่ภูเขาจั่งไป๋ ตอนนี้คนที่รู้ก่อนก็คือคนที่เก่งที่สุด ทุกคนเชื่อว่าหลี่เสียนอีเห็นว่ามีอะไรผิดปกติที่ภูเขาจั่งไป๋จากสื่อแน่ๆ!  

 

 

แน่ล่ะว่ามูลนิธิรู้ว่ามีคนจัดฉากขึ้นมา พวกเขามีเจตนาไม่ดีและเตรียมการกันมาอย่างดี ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถ่ายรูปหลี่เสียนอีมาได้อย่างไรกัน พวกเขาวางแผนไว้อย่างลับๆ แน่นอน  

 

 

มูลนิธิรีบลบโพสต์นั้นไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาปิดกั้นการค้นหาและระงับบัญชีผู้ใช้ไปด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาไปเช็ดเลขระบุตัวตนของเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว พวกเขากลับหาคนที่ทำไม่เจอ  

 

 

แต่คนร้ายไม่กลัวที่จะโดนระงับบัญชีผู้ใช้เลย พวกเขาสร้างบัญชีใหม่มาอีกสามบัญชี ขนาดผู้บำเพ็ญที่ดูอยู่เฉยๆ ก็ยังเห็นว่าเหตุการณ์นี้มันแปลกๆ เลย และทั้งกระทู้ก็พูดคุยถึงแต่กับเรื่องเหตุการณ์นี้!  

 

 

พวกเขาปิดกระทู้ตอนนี้ไปไม่ได้ ถ้าปิดไปก็ยิ่งดูน่าสงสัย มีคนออกมาบอกด้วยว่ามูลนิธิอยากได้สมบัติของเผ่าโบราณอี๋ไปครองเสียเอง   

 

 

ขนาดหลี่เสียนอีเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนร้ายรู้ว่าข่าวลือนี้ไม่สามารถหลอกล่อผู้บำเพ็ญลับและองค์กรขนาดใหญ่อื่นๆ ไปที่ภูเขาจั่งไป๋ได้ เหมือนพวกเขารู้ตั้งแต่แรกว่าคนของมูลนิธิจะเป็นคนไปที่นั่นเอง และพวกเขาจะใช้มูลนิธิเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง  

 

 

ถึงตอนนี้แล้วมีแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเชื่อในสิ่งที่มูลนิธิออกมาพูด ขนาดพวกผู้บำเพ็ญลับที่เคยติดค้างอะไรบางอย่างกับมูลนิธิยังคิดว่าเรื่องนี้น่าสงสัยเลย  

 

 

หลี่ว์ซู่เคยบอกว่าโลกนี้ชั่วร้าย คนดีที่เคยทำดีอาจจะโดนเข้าใจผิดเพราะเหตุการณ์แค่เหตุการณ์เดียวก็ได้ และหลังจากนั้นก็จะตกอับ ในทางกลับกันถ้าคนที่เคยทำแต่เรื่องไม่ดีกลับใจมาทำดีแค่ครั้งเดียว ก็จะมีแต่คนยกย่องเขา พวกเขาคงจะพูดว่า “มนุษย์เรายังมีความดีอยู่สินะ อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะ”  

 

 

แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่ที่มองดูเหตุการณ์นี้อยู่ตลอดก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าคนร้ายหันเหความสนใจมาที่เครือข่ายฟ้าดินแทน หลังจากที่ทำให้คนเชื่อว่ามีสมบัติอยู่ที่ภูเขาจั่งไป๋อยู่จริงๆ   

 

 

เหมือนกับว่ามีการวางแผนมาล่วงหน้าแล้ว คนร้ายดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ อย่างกับผู้เล่นหมากรุกมืออาชีพที่คิดแผนการล้มคู่ต่อสู้มาแล้ว และโลกแห่งการบำเพ็ญอันยิ่งใหญ่นี้ก็เป็นเหมือนกระดานหมากรุกของคนร้าย  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป เพราะเครือข่ายฟ้ามีเนี่ยถิงดูแลอยู่แล้ว เขาเป็นถึงระดับเสินฉังจิ้งของโลกนี้เลยนะ ใครจะกล้ามาหาเรื่องได้  

 

 

ทันใดนั้นเองก็มีกระทู้ใหม่ปรากฏขึ้นมา หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้วขณะที่เลื่อนลงมาดู กระทู้นั้นบอกว่ามีใครบางคนในเครือข่ายฟ้าดินจับวิญญาณมาควบคุม และมีคนระดับ B คนหนึ่งถูกเอาวิญญาณไป นั่นทำให้เขาสงบใจไม่ลงเอาเสียเลย  

 

 

กระทู้นั้นไม่ได้บอกว่าสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินคนนั้นเป็นใคร แต่หลี่ว์ซู่เหงื่อแตกพลั่กๆ แล้ว นี่เป็นความลับที่ลับที่สุดของเขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เลยนะ!  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset