ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 800 อดีตที่ถูกฝังกลบดิน

หลี่ว์ซู่ค้นพบว่าความคิดของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นเรียบง่ายกว่าความคิดของเขามาก เขามักคิดถึงว่าจะมีกับดักอะไรรอเขาอยู่ข้างหน้า ศัตรูจะแข็งแกร่งมากเพียงไหน ศัตรูจะใช้วิธีใดในการจัดการกับพวกเขา หรือคิดไปว่าพวกศัตรูกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

แต่หลี่ว์เสี่ยอวี๋ไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย เธอเป็นคนที่ชอบคิดอะไรเรียบง่ายแค่เพียงอย่างเดียว และความคิดนั้นก็คือตอนนี้หลี่เสียนอีอาจกำลังอยู่ในอันตราย

 

 

หลี่ว์ซู่คงจะไม่สละตัวเองเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการหรอก เขาเคยคิดว่าไม่ว่าจะมีภัยร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นก็ตาม พวกเขาก็ยังมีเนี่ยถิงอยู่ ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดก็ควรเป็นคนดูแลจัดการเรื่องนี้ใช่ไหมล่ะ

 

 

ในเวลานั้นหลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าเนี่ยถิงโจมตีอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่เป็นกังวลมาก ในเมื่อพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงพวกเขากำลังจะแพ้แต่พวกเขาก็ยังส่งผู้เชี่ยวชาญออกไปได้ หลี่ว์ซู่ก็จะแค่ขอนั่งดูอยู่เงียบๆ และรับแต้มอารมณ์อยู่เฉยๆ แล้วกัน

 

 

เขาไม่รู้ว่าเนี่ยถิงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เขาไม่คิดว่าเครือข่ายฟ้าดินจะแพ้ใครได้เลย เพราะพวกเขามีเสินฉังจิ้งอยู่ฝ่ายเดียวกัน พวกเขาก็คงจะไม่รู้สึกกดดันมากเท่าไหร่

 

 

คำพูดของโยวหมิงอวี่ทำเอาหลี่ว์ซู่ไปไม่เป็น และที่สำคัญก็คือหลี่ว์ซู่ยังไม่รู้ว่าเนี่ยถิงโจมตีไม่ได้!

 

 

เมื่อก่อนหลี่ว์ซู่คิดว่าเครือข่ายฟ้าดินนั้นจะมั่นคงพอๆ กับภูเขาไท่ซาน เขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนเป็นราชันฟ้า ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนบุกรุกเข้ามากว่าหมื่นๆ คน เนี่ยถิงก็จะจัดการทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง

 

 

ถึงในความเป็นจริงแล้วมีคนมากกว่านั้น ประมาณแสนคนได้ แต่เนี่ยถิงก็จะจัดการได้อยู่ดีใช่ไหม

 

 

คนที่รู้ว่าเนี่ยถิงไม่สามารถโจมตีได้อีกต่อไปจะสติแตกกันแน่ๆ ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงไม่เข้ามาช่วยในยามคับขันแบบนี้นะ คงจะพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนที่แข็งแกร่งอันดับสามในเครือข่ายฟ้าดินนี้ เขาอาจจะแข็งแกร่งเป็นอันดับสองเลยก็ได้ เพราะตอนนี้ฮุ่นตุ้นได้กลายเป็นระดับ A แล้ว

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ยังไม่รู้ ที่เขาเงียบไปเมื่อวานก็เพราะรู้ว่ามีคนกำลังตาย และลำพังเครือข่ายฟ้าดินก็ไม่สามารถเอาชนะคนทั้งโลกได้

 

 

ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลยนั่งคิดทั้งวัน เป็นเหตุที่ว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงเงียบไป

 

 

แต่ตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายลงแล้ว

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่และยังไม่รู้ประสาอะไรเกี่ยวกับโลกนี้มาก เธอจำได้แค่ว่าหลี่เสียนอีใจดีกับพวกเขาขนาดไหน และตอนนี้มูลนิธิก็โดนเล็งโจมตี และพวกเขาก็ต้องไปช่วยเขา

 

 

ถ้าพวกเขาได้เกลียดใครแล้วพวกเขาก็จะไม่ลังเลที่จะทำร้ายคนคนนั้นด้วยคำพูด แต่ถ้าพวกเขาชอบใครแล้ว พวกเขาจะไม่มีทางหันหลังให้คนพวกนั้นหรอก ถ้าพวกเขาไม่อยากสนใจใครก็จะไม่สนใจไปเลย พวกเขาไม่มานั่งสนใจหรอกว่าคนคนนั้นจะให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขาได้บ้าง เพราะนี่เป็นเพียงแค่โลกของเด็ก และโลกของเด็กก็มีความสุขมากกว่าโลกของผู้ใหญ่มาก

 

 

“เราจะไปกันหรือเปล่าหลี่ว์ซู่” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้ม “บางทีเธออาจจะได้วิญญาณของพวกระดับ A มาเล่นก็ได้นะ”

 

 

“งั้นฉันอยากได้วิญญาณของหัวหน้าบาทหลวงจากกลุ่มแก่นทฤษฎี ตอนนั้นเขาพยายามจะฆ่าเธอใช่ไหม”

 

 

เธอไม่ได้คิดหาวิธีด้วยซ้ำว่าจะเอาชนะเอาอย่างไร ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามจะเต็มใจหรือไม่

 

 

คืนนั้นหลี่ว์ซู่แปลงแต้มอารมณ์ของเขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เพื่อเลื่อนระดับ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จุดประกายดวงดาวดวงแรกในกลุ่มดวงดาวที่สี่ ในขณะที่หลี่ว์ซู่จุดประกายดวงดาวดวงที่สาม กระบี่เฉวียอินของเขาเพิ่มมาเป็น 288 เส้นแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่ไปที่วิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินในตอนเช้าเพื่อเข้าร่วมการประชุมที่จัดโดยคณบดีของวิทยาลัย และการประชุมนั้นกินเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง เขาอยากจะไปแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น เขาอยากให้อาจารย์ทั้งหลายใจเย็นไว้ ถึงแม้ว่าจะมีนักศึกษาอยากออกไปช่วยสงครามก็ตาม

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่คิดอะไรมาก และหยิบเอาเอกสารประกอบการบรรยายและเดินออกไปเตรียมบทเรียนต่อพร้อมกับผู้มีประสบการณ์คนอื่นๆ

 

 

คณบดียังคงรู้สึกกังวลอยู่ เขาเดินไปหาหลี่ว์ซู่ก่อนเริ่มชั้นเรียนในตอนบ่าย ก่อนจงอวี้ถังออกไปเครือข่ายฟ้าดินในเมืองอวี้โจว เขาได้กำชัยให้คณบดีจับตาดูหลี่ว์ซู่ไว้

 

 

คณบดีปรับเสียงของเขาก่อนพูดออกไป “เอ่อ…หลี่ว์ซู่ จำที่ฉันพูดไปด้วยนะ อย่าให้ข้อมูลอะไรผิดๆ ไปตอนสอนล่ะ”

 

 

ที่จริงแล้วคณบดีไม่ได้เป็นกังวลเรื่องอาจารย์คนอื่นหรอก เขากังวลกับแค่เฉพาะหลี่ว์ซู่ต่างหาก

 

 

ตอนนี้จงอวี้ถังกำลังยุ่งทำเรื่องอื่นๆ อยู่ เขาเข้าใจแล้วว่าจงอวี้ถังรู้สึกอย่างไร ถึงว่าล่ะ ว่าทำไมจงอวี้จึงชอบทึ้งผมตัวเองนัก…

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบอย่างร่าเริง “คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องผมหรอกครับ เดี๋ยวผมจะสอนอีกแค่ครั้งเดียวแล้วก็จะไปแล้ว”

 

 

พอคณบดีได้ยินอย่างนั้นเขาก็แอบดีใจอยู่คนเดียวเงียบๆ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ท่านหลี่ว์ไม่อยากเป็นอาจารย์อีกแล้วเหรอ เยี่ยมไปเลย! ทีนี้เขาก็ไม่ได้มาห่วงเรื่องหลี่ว์ซู่แล้ว แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ “เดี๋ยวก่อนนะ…เธอกำลังจะไปที่นั่นเหรอ”

 

 

“ใช่ครับ ไปภูเขาจั่งไป๋!” หลี่ว์ซู่หยิบเอาเอกสารก่อนจะเดินออกไปสอน

 

 

คณบดีจ้องตามหลังหลี่ว์ซู่ไปด้วยความงุนงง อะไรกันนี่…

 

 

พวกเขากังวลกันมาโดยตลอดว่าจะเกิดความวุ่นวายในวิทยาลัยขึ้น อย่างเช่นมีอาจจะมีนักศึกษาแหกกฎและหนีไปที่ภูเขาจั่งไป๋ นักศึกษาคนนั้นอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก แถมอาจจะไปเป็นตัวเกะกะของคนอื่นๆ ด้วยก็ได้

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้วสงครามไม่ใช่สิ่งที่นักศึกษาจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาจะต้องอยู่ในที่ที่ควรอยู่ก่อน

 

 

พวกอาจารย์ใช้เวลาตลอดทั้งช่วงเช้าหารือกันว่าจะกันไม่ให้นักศึกษาไปภูเขาจั่งไป๋อย่างไร แต่ก่อนที่นักศึกษาจะแอบออกไป กลับมีอาจารย์หนึ่งคนพยายามจะออกไปก่อนงั้นหรือ

 

 

คณบดีรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหวแน่ เขาจึงรีบโทรหาจงอวี้ถังทันที “หลี่ว์ซู่กำลังจะไปที่ภูเขาจั่งไป๋แล้ว!”

 

 

แต่เขาไม่คาดคิดว่าจงอวี้ถังจะตอบกลับมาอย่างตื่นเต้น “จริงเหรอ งั้นฉันจะกลับไปที่เมืองลั่วทันทีเลย!”

 

 

หลังจากนั้นคณบดีก็ได้ยินจงอวี้ถังตะโกนอย่างมีความสุขผ่านทางโทรศัพท์ “จัดรถให้ฉันหน่อยสิ ในที่สุดก็จะได้กลับเมืองลั่วแล้วเสียที!”

 

 

คณบดีกัดปากขณะที่วางหูโทรศัพท์ มันจบแล้วล่ะ อธิการบดีเป็นบ้าไปแล้ว

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่กลับมาที่ลานฝึก ก็เจอกับนักศึกษาวิทยาลัยลั่วเสินกว่าหมื่นคนนั่งรออยู่แล้ว มีนักศึกษาจากวิทยาลัยอื่นๆ มารวมตัวกันฟังชั้นเรียนการต่อสู้ของท่านซู่ด้วย

 

 

ตอนแรกนักศึกษาจากวิทยาลัยก็เตรียมตัวกลับบ้านกันแล้ว แต่พวกเขาได้ยินว่าท่านหลี่ว์จะสอนในชั้นเรียน พวกเขาก็เลยขออยู่ต่อเพื่อเข้าเรียนชั้นเรียนนี้ก่อนกลับบ้าน

 

 

ชื่อเสียงของหลี่ว์ซู่ได้พุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมแล้ว เขาเป็นที่รู้จักในวิทยาลัยการบำเพ็ญอื่นๆ ด้วย ผู้คนรู้แล้วว่าความเชี่ยวชาญการวิจัยสายพันธุ์นั้นแข็งแกร่งขนาดไหน

 

 

ทันใดนั้นก็มีนักศึกษาที่ดูกระตือรือร้นมากถามขึ้นมา “อาจารย์หลี่ว์ วันนี้จะสอนเรื่องอะไรครับ”

 

 

หลี่ว์ซู่คิดไปนิดหนึ่งก่อนตอบ “วันนี้จะเป็นชั้นเรียนสุดท้ายที่ฉันจะสอนแล้ว เดี๋ยวฉันจะพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ในกลุ่มทวยเทพ แล้วจะพูดเรื่องฮีโร่คนหนึ่งที่ชอบกินบะหมี่จาเจี้ยงเมี่ยนด้วย”

 

 

ชั้นเรียนสุดท้ายงั้นเหรอ กลุ่มทวยเทพอะไรนั่นอีก เกิดอะไรขึ้นกัน

 

 

นักศึกษาตะลึงไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น เรื่องที่ว่าเป็นอดีตที่ถูกฝังกลบดินไว้ และเป็นหนึ่งในเรื่องที่เครือข่ายฟ้าดินเก็บเป็นความลับขั้นสูงสุดด้วย

 

 

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าหลี่ว์ซู่ไปกลุ่มทวยเทพมา และแทบจะไม่มีคนรู้เลยว่าหลี่ว์ซู่ไปที่ไหนและไปทำอะไรที่นั่นในเวลานั้น

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่เคยพูดถึงกลุ่มทวยเทพมาก่อนในชั้นเรียนที่ผ่านมา ที่จริงเขาพูดถึงไม่ได้ต่างหาก แต่ที่สุดแล้วก็มีรูปของราชันฟ้าคนที่เก้าติดอยู่ที่ผนังโถงทางเดินอยู่ดี

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าถ้าเขาพูดเรื่องในอดีตไป เขาก็จะกลับไปเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยลั่วเสินไม่ได้แล้ว และเขาก็จะเป็นเพียงอาจารย์สอนต่อสู้ธรรมดาไม่ได้

 

 

เขาจะต้องเป็นราชันฟ้าคนที่เก้า คนที่แสร้งอยู่ระดับ A ที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้ามาก่อน แต่เขาคนนี้ได้ฆ่ามาหลายศพแล้ว

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset