ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 802 ต้นวอลนัท

ก่อนที่รูปภาพของหลี่ว์ซู่ถูกแขวนไว้ที่โถงทางเดิน ก็มีคนมากมายพยายามเดาว่าคนที่อยู่ในเงาดำๆ นั้นจะเป็นใครกัน เรื่องที่ราชันฟ้าคนที่เก้าจะถูกยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยๆ เพราะเขาคนนั้นเป็นคนฆ่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึที่อยู่ถึงระดับ A

 

 

นอกจากนี้การปรากฏตัวของราชันฟ้าคนที่เก้าก็ทำให้กลุ่มทวยเทพที่เคยเป็นองค์กรระดับต้นๆ ของโลกตกต่ำลงจนมาจนถึงขีดสุด

 

 

การที่องค์กรใหญ่ขนาดนี้จะโค่นลงมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ก่อนอื่นต้องกำจัดผู้นำขององค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดลงก่อน จากนั้นก็ค่อยทำลายรากฐานที่สำคัญขององค์กรทิ้งไป หลี่ว์ซู่ทำทั้งหมดนั่นมาแล้ว และความแข็งแกร่งของกลุ่มทวยเทพก็อ่อนแอลงจนเห็นได้ชัด พวกเขาคงจะต้องใช้เวลาอีกสองสามปีก่อนที่จะกลับมาในเวทีระดับโลกได้อีกครั้ง

 

 

และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มทวยเทพนั้นโค่นลงมาด้วยตัวเองต่างหาก ถึงแม้ว่าราชันฟ้าคนที่เก้าจะเป็นคนจัดการทำลายล้มกลุ่มให้เสร็จก็ตาม และทาคาชิมะ ทาอิรัตสึเองก็ฆ่าคนมามากกว่าหลี่ว์ซู่ด้วย

 

 

แต่ถึงกระนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังเป็นศัตรูกันอยู่ดี

 

 

หลังจากที่เด็กสาวที่ชื่อซากุราอิ ยาเอโกะสร้างกลุ่มทวยเทพขึ้นมาใหม่ คนอื่นๆ ก็ประหลาดใจที่ได้เห็นว่าเธอรวบรวมแรงสนับสนุนมากมายเพื่อกลุ่มทวยเทพ และประหลาดใจที่ราชันฟ้าคนที่เก้าไม่ได้ดูจะจงเกลียดจงชังเธอเลย

 

 

กลุ่มทวยเทพอยากจะส่งหมายจับราชันฟ้าคนที่เก้าลงไปในอาณาจักรมืด แต่ซากุราอิ ยาเอโกะกลับไม่เห็นด้วย พวกอนุรักษนิยมเคยถามซากุราอิไปว่าราชันฟ้าคนที่เก้าคือใครกันแน่

 

 

ซากุราอิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น เธอยังเคยคุยกับกลุ่มเทวาในระยะเวลาสั้นๆ ที่ฐานด้วย เพราะฉะนั้นทุกคนเลยมีความรู้สึกว่าซากุราอิจะต้องรู้ว่าราชันฟ้าคนที่เก้าคือใครแน่ๆ

 

 

แต่ซากุราอิก็เก็บเงียบเป็นความลับ เธอไม่ได้ตอบคำถามของใครเกี่ยวกับเรื่องราชันฟ้าคนที่เก้า

 

 

หลังจากการต่อสู้นั้น ลูกน้องคนสนิทของซากุราอิรู้ว่าเธอมีเงินหลายแสนเยนอยู่กับตัว และเธอก็ไม่เคยใช้เงินนั่นเลย

 

 

ซากุราอิไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินในทุกที่ที่เธอไป และเงินที่เธอมีก็เป็นแค่สิ่งที่ไม่สำคัญสำหรับเธอ หลังจากนั้นเธอก็ไม่พกบัตรเครดิตไปไหนต่อไหนอีกแล้ว แต่เธอก็ยังมีเงินสำรองอยู่ในกระเป๋าเงินอยู่

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าเงินที่ซากุราอิได้มานั้นเป็นเงินเดือนที่เธอได้รับจากหลี่ว์ซู่ เธอรู้สึกว่าเงินกว่าหลายแสนเยนที่ได้มานั้นเป็นเงินที่สะอาดที่สุดที่ในชีวิตของเธอแล้ว

 

 

บางทีซากุราอิก็รู้สึกว่าเธอเหมาะจะเป็นนักฆ่ามากกว่าเป็นผู้นำขององค์กร คงจะเป็นเพราะนี่ไม่ใช่ขีวิตที่เธอต้องการ ดังนั้นหากวันหนึ่งเธอต้องออกจากไปจากกลุ่มทวยเทพ เธอจะยอมทิ้งทุกอย่างไป และจะเอา ‘เงินเดือน’ ของเธอติดตัวไปด้วยเท่านั้น

 

 

เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเธอ

 

 

ทุกคนเข้าใจได้ว่าทำไมกลุ่มทวยเทพถึงได้หยุดเคลื่อนไหวกิจกรรมต่างๆ ไป เพราะพวกเขาเสียผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดไปนั่นเอง และมันคงจะไม่ฉลาดนักถ้าพวกเขาไปแหย่เครือข่ายฟ้าดินในตอนนี้ แต่กลุ่มทวยเทพเป็นกลุ่มที่ฉลาดเสียเมื่อไหร่กันล่ะ

 

 

อย่างไรก็ตาม เครือข่ายฟ้าดินนั้นเป็นองค์กรที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญแล้ว ราวกับว่าราชันฟ้าคนที่เก้าคนนั้นได้หายตัวไปหลังจากเกิดเรื่องที่กลุ่มทวยเทพ ขนาดสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินเองก็ยังไม่รู้ว่าราชันฟ้าคนที่เก้าเป็นใครเลย

 

 

แต่วันนี้ปริศนาทั้งหมดก็ถูกเฉลยออกมาแล้ว

 

 

ทุกคนรู้ว่าท่านหลี่ว์เป็นคนที่น่าทึ่งขนาดไหน แต่ท่านหลี่ว์นั้นก็เป็นคนน่ารำคาญคนหนึ่ง ถ้าเขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนี้แล้วก็คงโดนฆ่าตายไปนานแล้วล่ะ…

 

 

ด้วยความที่หลี่ว์ซู่มียศตำแหน่งทางทหารที่น่าทึ่งขนาดนี้ ใครๆ ก็ต้องยอมแพ้ให้เขา พวกทีมแข่งขันจากวิทยาลัยผู้บำเพ็ญอื่นๆ ก็ต่างภาวนาให้พวกเขาไม่ไปต้องสู้กับวิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสิน

 

 

หลี่ว์ซู่ออกไปจากวิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินอย่างเงียบๆ แต่การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเขาก็ยังไม่สงบลงเลย

 

 

เขามาสอนในชั้นเรียนแบบสบายๆ ถึงเขาไม่ได้บอกออกไปตรงๆ ว่าเขาเป็นราชันฟ้าคนที่เก้า แต่เรื่องที่เขาเล่าก็ได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว

 

 

เฉินจู่อาน เฉิงชิวเฉี่ยว และคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่ไปที่กลุ่มทวยเทพมาเช่นกัน แต่คนรอบข้างหลี่ว์ซู่ก็พอเดาได้ โดยเฉพาะหลิวหลี่

 

 

ตอนนั้นทุกคนยังได้เอาดอกไม้ไปวางที่หน้าประตูบ้านของหลี่ว์ซู่และจุดเทียนไว้อาลัยให้เขาด้วย พวกเขาก็คิดอย่างหนักเหมือนกันว่าหลี่ว์ซู่ไปทำอะไรในระหว่างที่เขาแกล้งตาย

 

 

ในช่วงเวลานั้นคงจะไม่มีใครเชื่อว่าหลี่ว์ซู่เป็นราชันฟ้าคนที่เก้าหรอก แต่ที่สุดแล้วหลี่ว์ซู่ก็เป็นคนฆ่าคนระดับ A ปลอมๆ ของกลุ่มทวยเทพได้!

 

 

ครั้งนี้หลี่ว์ซู่ไม่ได้เอาเฉินจู่อานและเฉินชิวเฉี่ยวตามมากับเขา เพราะมันอันตรายเกินไป…

 

 

ผู้ควบคุมจ้องไปที่กระดานหมากรุกราวกับว่าเขาได้คำนวณเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นมาแล้ว หลี่ว์ซู่พาพวกเพื่อนๆ ไปที่ภูเขาคุนหลุนด้วยเพราะรู้ว่าพวกเขาจะรับมือกับอันตรายในระดับนั้นได้ หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ยังจะพอมีทางหนีไป แต่ครั้งนี้เขาหนีไม่ได้เลย ถ้าเขาหนีไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเครือข่ายฟ้าดินที่เหลือกันล่ะ

 

 

หลี่ว์ซู่สั่งการใครไม่ค่อยเก่ง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องการทหาร และเขาก็ไม่ได้ไปฝึกจริงๆ จังๆ ด้วย เขาพอจะมีประสบการณ์อยู่ครั้งเดียวก็ตอนที่เขานำกลุ่มระลอกทองแดงไปสู้ เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่เลยรู้สึกว่าการที่จะก่อความเสียหายให้กับพวกผู้บำเพ็ญลับ พวกองค์กรใหญ่ๆ และพวกผู้ควบคุมนั้น ต้องใช้วิธีการล่าพวกมัน แทนที่จะใช้วิธีการแบบทหาร

 

 

เขาไม่สามารถเปิดเผยที่อยู่ของเขาได้ ถ้าถูกเปิดเผยขึ้นมา คนรอบข้างเขาเองก็อาจตกอยู่ในอันตรายด้วย

 

 

ฉะนั้นหลี่ว์ซู่จะต้องหลบซ่อนให้ดี

 

 

หลี่ว์ซู่หายไปแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน

 

 

เหมือนกับว่าหลี่ว์ซู่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าเขาไม่อยากให้ผู้ควบคุมรู้การเคลื่อนไหวของเขา สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือการหายตัวไป

 

 

ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยังซ่อนอยู่ในความมืด แต่เขาอยู่ในแสงสว่าง งั้นก็ลองมาอยู่ในความมืดด้วยกัน แล้วดูว่าใครจะฆ่าใครได้ก่อน!

 

 

 

 

สวนในบ้านบนถนนหลิวไห่ที่เมืองหลวงได้ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว สวนนั้นซึ่งครั้งหนึ่งเคยแสดงให้เห็นถึงความผันผวนของชีวิตจู่ๆ ก็ถูกเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมด สือเสวจิ้นยืนอยู่ที่สวนในบ้านด้วยสีหน้าเศร้าโศก “พ่อทิ้งอะไรให้ไว้ตั้งเยอะ แต่ตอนนี้เหลืออยู่แค่ต้นวอลนัทต้นเดียว”

 

 

สือเสวจิ้นไม่คุ้นเลย ถึงแม้ว่าอะไรหลายๆ อย่างในสวนนี้จะถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่มีที่ไหนรู้สึกเหมือนบ้านหรอก

 

 

สวนทั้งสวนถูกปรับปรุงใหม่หมด แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหายไป

 

 

สือเสวจิ้นตบลำต้นของต้นวอลนัทด้วยความเศร้าโศกเป็นเวลานาน “ต้นวอลนัทเอ๋ย มีแต่แกเท่านั้นที่ยังอยู่กับฉัน แกจะเป็นคนไม่มีจิตสำนึกอย่างคนอื่นๆ ไม่ได้นะ ถ้าพวกเขาบอกว่าพวกเขาอยากจะทำลายสิ่งเดิมๆ ทิ้งไป พวกเขาก็จะทำอย่างนั้น แกคิดว่าฉันทำถูกไหมล่ะเจ้าต้นวอลนัท”

 

 

เนี่ยถิงยืนอยู่ช้างๆ เขา แล้วเนี่ยถิงก็พูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว “หลีกทางหน่อย”

 

 

สือเสวจิ้นซึ่งแต่เดิมมีท่าทีเหมือนนักปราชญ์เป็น กลับตะโกนออกมาอย่างปวดใจ “ถ้านายตัดต้นวอลนัทนี้ทิ้งไปวันนี้ ฉันจะไม่ทำอาหารให้นายกิน จะไม่ทำให้กินทั้งปีเลย!”

 

 

ห่าวจื้อเชาและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่รอบๆ รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา ปกติสือเสวจิ้นจะไม่เป็นแบบนี้ เขาเป็นคนใจดีและนุ่มนวลอย่างนักปราชญ์

 

 

แต่เอาเข้าจริงแล้วพวกเขาก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมเนี่ยถิงถึงได้อยากโค่นต้นวอลนัทนี้ทิ้งเสีย ปล่อยให้มันโตต่อไปดีกว่าไม่ใช่หรือ แล้วปีที่แล้วราชันฟ้าหลัวยังเอาวอลนัทมาแจกทุกคนอยู่เลย

 

 

วอลนัทที่ถูกเก็บใหม่ๆ จะมีชั้นของเปลือกสีเขียวอยู่รอบๆ ต้องปอกเปลือกสีเขียวออกก่อนและทิ้งไว้ให้แห้งก่อนที่จะเอามารับประทาน

 

 

สือเสวจิ้นจะยุ่งมากในช่วงที่ต้นวอลนัทออกผล เขาไม่อ่านหนังสือด้วยซ้ำ แต่เขาจะไปนั่งปอกเปลือกวอลนัทแทน

 

 

เมื่อห่าวจื้อเชาทนไม่ได้ที่เห็นท่าทางเศร้าๆ ของสือเสวจิ้น เขาจึงพูดออกไป “งั้นเราไม่ต้องโค่นต้นวอลนัทกันดีกว่าครับ…”

 

 

เนี่ยถิงพูดอย่างเย็นชา “เอาตัวเขาออกไป! โค่นต้นไม้ลงเดี๋ยวนี้!”

 

 

สือเสวจิ้นกรีดร้องขึ้นมาอย่างโหยหวนในขณะที่ถูกเอาตัวออกไป “เรื่องนี้ไม่จบแน่เนี่ยถิง!”

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset