ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 524 การเดินทางที่คุ้มค่าสมราคา

“แต่ทำไมท่านถึงมาที่นี่ด้วยตัวเองละคะ ท่านกับหลี่ว์ซู่เป็นถงเผากันเหรอคะ” คอรัลพูดคำจีนที่แปลว่าสหายร่วมรบขึ้นมาอย่างกระท่อนกระแท่น เธออาจจะออกเสียงคำนี้แปลกๆ ไปหน่อย แต่เธอก็จำได้ว่าหลี่ว์ซู่เคยพูดคำนี้เอาไว้

 

 

“หลี่ว์ซู่สอนคำนี้กับเธอเหรอ” เนี่ยถิงถามอึ้งๆ

 

 

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ…”

 

 

เนี่ยถิงเงียบไป

 

 

[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +199!]

 

 

เนี่ยถิงไม่คิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะทำให้หัวหน้ากลุ่มเทพเจ้าสับสนได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นคนอื่นตอบว่าไม่รู้ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นี่หัวหน้าของกลุ่มเทพเจ้าก็ถึงกับตอบแบบนี้ไปด้วยงั้นเรอะ สิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือหลี่ว์ซู่จะต้องเป็นสอนคำนี้ให้คอรัลแน่ๆ

 

 

เขาหวังมาตลอดว่าหลี่ว์ซู่จะรู้สึกผูกพันกับเครือข่ายฟ้าดินให้มากกว่านี้ เขามักจะรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่ตีตัวออกห่างไปจากองค์กรอยู่ตลอด แต่พอเนี่ยถิงได้ยินว่าหลี่ว์ซู่พูดคำว่าสหายร่วมรบออกมา เขาก็รู้สึกแปลกใจและดีใจไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

ในขณะเดียวกันคอรัลที่พยายามจะเก็บความลับให้หลี่ว์ซู่แทบจะกัดลิ้นตัวเองที่โพล่งคำนั้นออกไป

 

 

เนี่ยถิงหัวเราะออกมาทว่าไม่พูดอะไร เขาไม่ลังเลและแบกหลี่ว์ซู่ขึ้นบ่า จากนั้นก็กระโดดหายไปบนฟ้าแล้วเหาะกลับประเทศ

 

 

 

 

สามวันต่อมาที่บ้านบนถนนหลิวไห่

 

 

หลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องนอนแขก เขาเริ่มรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บต่างๆ หายไปแล้ว เขาได้กลิ่นสดชื่นๆ จากในห้อง กลิ่นของมันเหมือนกับยาสมุนไพรแต่หลี่ว์ซู่ไม่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน

 

 

เขาเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วมองไปที่สวนกลางบ้านผ่านหน้าต่างพบว่ามีหิมะปกคลุมอยู่ทั่ว ข้างนอกดูหนาวมากเหลือเกิน แต่ข้างในบ้านนี้กลับอุ่นสบายจากเตาผิง แม้จะมีแค่ฟูกนอนแห้งๆ แต่ก็ทำให้ลืมทุกความกังวล เหลือเพียงแต่ความสุขได้แล้ว

 

 

หิมะเกล็ดใหญ่โปรยปรายลงมาจากฟ้า ลมพัดเกล็ดหิมะเข้ามาในลานสวนกลางบ้าน บางทีมันก็ยังไม่ตกลงมาเสียทีเดียว แต่กลับลอยวนอยู่ในสวนอย่างนั้น

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหลังจากเหตุการณ์ที่ป้อมปราการ หลังจากที่เขาหมดสติไป รู้สึกตัวอีกที เขาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว แต่สังเกตจากลักษณะของตัวบ้าน หลี่ว์ซู่รู้ว่าเขากลับมายังประเทศตัวเองแล้วเรียบร้อย

 

 

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่แค่คิดว่าได้กลับมาบ้านเกิดแล้วก็รู้สึกสบายใจ

 

 

หลี่ว์ซู่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอื่น เมื่อเปลี่ยนเสร็จ สือเสวจิ้นก็เอาชามยาสมุนไพรเข้ามาให้ ลมหนาวพัดเข้ามาตอนเขาเปิดประตู

 

 

“ตื่นแล้วเหรอ ดื่มยานี่สิ ฉันเตรียมมาให้นาย” สือเสวจิ้นดูดีใจมากที่เห็นหลี่ว์ซู่ตื่น

 

 

เขาเดินออกไปทันทีหลังพูดจบ ปล่อยให้เขางงอยู่คนเดียว เกิดอะไรขึ้น ทำไมสือเสวจิ้นรู้ได้ทันทีว่าเขาตื่นแล้ว

 

 

แถมราชันฟ้ายังลงทุนมาดูแลเขาเองกับมือเนี่ยนะ อะไรจะกันเองปานนั้น

 

 

หลี่ว์ซู่ยังไม่ทันจะหายช็อก สือเสวจิ้นก็เดินกลับเข้ามาใหม่ มือหนึ่งถือชามข้าวต้ม อีกมือหนึ่งถือซอส แถมยังหนีบเอาขนมแป้งทอดไส้ต้นหอมทอดมาอีกด้วย

 

 

“มานี่กินเร็วเข้า ตอนที่มันยังร้อนๆ” สือเสวจิ้นหัวเราะเล็กน้อย

 

 

หลี่ว์ซู่หน้าคล้ำ “กินแป้งทอดไส้ต้นหอมตอนร้อนๆ เนี่ยนะ!”

 

 

“ฮ่าๆ” สือเสวจิ้นไม่สะทกสะท้าน เขาเลยเข้าเรื่องทันที “เดี๋ยวเนี่ยถิงก็กลับมาแล้ว เขาเป็นคนพานายกลับมาจากญี่ปุ่น พอเขามาคงมีเรื่องสำคัญจะพูดกับนาย”

 

 

“อ้อ” หลี่ว์ซู่กรอกข้าวต้มเข้าปาก แต่เขาไม่ได้แตะแป้งทอดไส้ต้นหอมเพราะไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่

 

 

สือเสวจิ้นมองหลี่ว์ซู่จากมุมข้างแล้วพูดว่า “ขอบคุณมากที่พยายามอย่างหนักที่ญี่ปุ่น นายช่วยเครือข่ายฟ้าของเราได้มากเลย ถึงแม้ว่าจะถอนรากถอนโคนปัญหาไปทั้งหมดไม่ได้ แต่พวกมันก็คงสู้กลับเรายากแล้วล่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของสือเสวจิ้นนั้นจริงใจแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เหมือนเขากำลังพูดอยู่กับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา

 

 

แต่หลังจากนั้นสือเสวจิ้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หลี่ว์ซู่รู้ว่าตอนนี้สือเสวจิ้นกำลังสังเกตท่าทางเขาอยู่ หลี่ว์ซู่ส่ายหัวแล้วตอบกลับไปว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรมากเลย ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มทวยเทพ ผมสลบไปเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลังจากนั้น”

 

 

ความจริงแล้วเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นอกจากคอรัลแล้ว ทุกคนตายหมด เขาสามารถสร้างเรื่องขึ้นมาปกปิดอย่างไรก็ได้ หากบอกไปว่าทาคาชิมะฆ่าตัวตาย ทุกคนก็เชื่อ

 

 

เขาสังเกตท่าทางของสือเสวจิ้นขณะที่กรอกข้าวต้มเข้าปากแล้วนึกกังวลไปว่าคอรัลอาจจะบอกความจริงไปแล้วก็ได้ เขาสังเกตท่าทางอยู่สักพักจนรู้ว่าสือเสวจิ้นไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอะไร

 

 

ทันใดนั้นเนี่ยถิงก็เปิดประตูเข้ามา เขานั่งลงตรงข้ามกับหลี่ว์ซู่แล้วดันกล่องขนาดประมาณฝ่ามือมาทางหลี่ว์ซู่ก่อนหันไปหาสือเสวจิ้นแล้วถาม

 

 

“ยังมีข้าวต้มเหลืออยู่มั้ย”

 

 

“มีเหลืออยู่ เดี๋ยวจะไปเอามาให้” สือเสวจิ้นยิ้มตอบแล้วจากไป

 

 

เนี่ยถิงท่าทางใจเย็น เขาเลื่อนจานแป้งทอดไส้ต้นหอมที่ไม่มีใครสนใจกินออกไปแล้วพูดขึ้น “ในกล่องเป็นเหรียญกล้าหาญที่เครือข่ายฟ้าดินส่งมา แต่ฉันว่านายคงจะไม่สนใจมันมากเท่าไหร่ ยังมีหนังสือรับรองของนายใบใหม่อยู่ในกล่องนี้ด้วย ขอแสดงความยินดีด้วย นายได้เลื่อนขั้นเป็นร้อยเอกแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้คงจะไม่เหมาะในการจัดพิธียินดีอะไร แค่รับรู้ไว้ก็พอ ถ้าอยากบอกคนอื่นเรื่องนี้ก็บอกได้ แต่ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน”

 

 

หลี่ว์ซู่เปิดกล่องออกเพื่อดูของข้างใน เลื่อนตำแหน่งก็ดีเหมือนกันแหละ เงินเดือนที่ได้จะได้เยอะขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขารู้ว่าเนี่ยถิงมีอะไรที่สำคัญกว่านั้นจะพูด

 

 

“ตอนนี้นายเป็นระดับ B หรือยัง” เนี่ยถิงถามอย่างสงบ

 

 

“ยังครับ” หลี่ว์ซู่ตอบอย่างจริงจัง “ผมยังอยู่ระดับ C อยู่”

 

 

“นายเป็นคนฆ่าทาคาชิมะรึเปล่า” เนี่ยถิงตื่นเต้นขณะเอ่ยถามคำถามนี้ เขาอยากรู้มากว่าหลี่ว์ซู่แข็งแกร่งขนาดไหน

 

 

“ไม่ใช่ผมหรอกครับ ราชันฟ้าเนี่ยถิงเข้าใจผิดแล้ว” หลี่ว์ซู่ยังคงปฏิเสธต่อไป

 

 

เนี่ยถิงไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาหลังจากหลี่ว์ซู่ตอบ หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าเนี่ยถิงเชื่อเขาหรือเปล่า แต่คำถามนี้ก็ไม่สำคัญขนาดนั้นอีกนั่นแหละ เนี่ยถิงเลยไม่ได้ซักไซ้ต่อไป

 

 

สือเสวจิ้นถือชามข้าวต้มเข้ามาในห้อง เนี่ยถิงรับชามมาแล้วกรอกเข้าปากภายในครั้งเดียว แล้วเขาก็ถามต่อ

 

 

“แล้วได้อะไรมาจากกลุ่มทวยเทพบ้างไหม”

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกระมัดระวังในคำตอบของตัวเองทันที เขาใช้เวลาคิดครึ่งนาทีก่อนตอบออกไป

 

 

“ได้มาครับ”

 

 

เนี่ยถิงประหลาดใจเล็กน้อย ตอนที่เขาเข้าไปลอบสังเกตเหตุการณ์ที่ป้อมปราการ เขาเห็นว่ามีวงแหวนเลือดอยู่ และจำนวนของศิลาวิญญาณที่ถูกใช้ไปไม่ตรงกับจำนวนที่เครือข่ายฟ้าดินแจ้งมา เนี่ยถิงถึงได้สงสัยว่าศิลาที่เหลือหายไปไหน

 

 

เขาแน่ใจว่าศิลาทั้งหมดถูกส่งไปที่ป้อมปราการนั่นแล้ว แต่ที่ป้อมปราการกลับไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย หลี่ว์ซู่เป็นคนเอาไปหรือเปล่า เนี่ยถิงถามกลับไปอย่างใจเย็น “ได้อะไรมาล่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่เอาศิลาวิญญาณครึ่งเม็ดออกมาจากกระเป๋า คาวาโยชิดูดพลังจากศิลาไปแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วเขาก็ตอบกลับอย่างจริงจัง “หลังผ่านความลำบากนานัปการมา ผมก็ได้นี่มาจากมือของทาคาชิมะเอง นี่เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าสมราคาสุดๆ ไปเลย”

 

 

เนี่ยถิงมองดูศิลาครึ่งเม็ดนั้นที่ถูกดูดพลังวิญญาณวิญญาณไปแล้วบางส่วน เขาอึ้งจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

 

 

[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +666!]

 

 

นี่นายไปถึงในกลุ่มทวยเทพแล้วได้ศิลาวิเศษกลับมาครึ่งก่อนเนี่ยนะ แล้วยังมาบอกว่าการเดินทางนี่คุ้มค่าอีก จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง!

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน เขาเคยปฏิญาณไว้ว่าจะมอบศิลาวิญญาณมากกว่าร้อยเม็ดให้แก่เครือข่ายฟ้าดิน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่อยากจะให้ แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเขาให้ศิลาทั้งหมดไป เขาจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ายังไงล่ะ

 

 

ขืนบอกไป เรื่องตราแห่งแผ่นดินก็แดงพอดีสิ!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset