ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 861 ผสานร่างกับกระบี่

จางเว่ยอวี่นอนบนคั่ง ในขณะที่หลี่ว์ซู่รวบเอาหญ้าแห้งส่วนหนึ่งมาปูนอนบนพื้น ไม่นานหลังจากนั้นจางเว่ยอวี่ก็หลับไป  

 

 

หลี่ว์ซู่นอนหนุนแขน แต่เขานอนไม่หลับ เขามาที่โลกนี้อย่างลึกลับ และเขาก็ได้เผชิญหลายสิ่งหลายอย่างภายในวันเดียว เขาบังคับตัวเองให้จัดลำดับความคิดอย่างรวดเร็ว และหวังว่าจะเข้าใจว่าโลกใบนี้คืออะไรกันแน่  

 

 

วันนี้เขากินขนมปังไปเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น กินไปครึ่งหนึ่งตอนกลางวัน และอีกครึ่งหนึ่งในตอนกลางคืน เนื้อตัวของเขาเริ่มปวดเมื่อยเหมือนกับตอนที่เขาทำงานหลังออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า  

 

 

แต่ในตอนนั้น เขายังมีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เธอมักจะช่วยเขาซักเสื้อผ้าเสมอ และเมื่อเขามองออกไปเห็นผ้าที่ตากอยู่นอกหน้าต่าง เขาก็จะรู้สึกสงบขึ้น  

 

 

แต่ในตอนนี้ เขาอยู่ตัวคนเดียวในสถานที่อันตราย เขาพยายามหาทางพาตัวเองกลับบ้าน เขาไม่รู้ว่าตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะกำลังทำอะไรอยู่ เธอจะเสียใจมากหรือเปล่า…  

 

 

หลี่ว์ซู่อยากจะอ่านบันทึกแต้มอารมณ์ของเขาอย่างผ่านๆ และลองดูว่าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋บ้างหรือไม่ ถ้าสุดท้ายแล้วมีประโยคที่เกี่ยวกับเธอสักประโยค เขาคงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ถึงแม้ประโยคนั้นอาจจะเป็นคำก่นด่าของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่เป็นไร  

 

 

แต่เขาก็ค้นพบว่า ดูเหมือนแต้มอารมณ์จะไม่สามารถข้ามผ่านสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างทั้งสองโลกได้  

 

 

หลี่ว์ซู่ลุกขึ้นและเดินออกไปที่ลานด้านนอก เขาคลานไปบนพื้นอย่างช้าๆ และเริ่มวิดพื้น ถึงแม้ว่าแขนเขาจะสั่นเทา แต่เขาก็พยายามอดทน  

 

 

เหงื่อไหลจากคางของเขาลงสู่พื้น จนกระทั่งเขาไม่มีแรงเหลือเพื่อยันตัวเองไว้อีกต่อไป  

 

 

เมื่อเขาหมดแรงวิดพื้น เขาจึงนั่งเอาขาไขว้กันบนพื้นอย่างง่ายๆ และพักผ่อน จางเว่ยอวี่นั่งกอดอกพิงกำแพง เขาถามว่า “นายอยากจะแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ พูดจริงๆ เลยนะ มันไม่เห็นจะเป็นไรเลยถึงแม้ว่านายจะไม่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าก็ตายไปทั้งๆ ที่เขาแข็งแกร่งมากเหรอ แค่เป็นคนธรรมดา ถ้านายทนความหิวไม่ได้ ก็กลายเป็นทาส เลือกทางใดทางหนึ่งแล้วนายก็จะมีชีวิตรอด”  

 

 

หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “นั่นไม่ใช่การใช้ชีวิต แต่เป็นการมีชีวิตอยู่เพียงชั่วครู่ ถ้าหากว่าผมต้องมีชีวิตอยู่แค่เพื่อกิน เเบบนั้นชีวิตจะไปมีความหมายอะไรล่ะ”   

 

 

ยังคงมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดออกมา เขาอยากกลับบ้านไปหาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋  

 

 

ไม่มีวิธีการใดที่เหมาะกับหลี่ว์ซู่ เขาทำได้แค่ฝึก ในเมื่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการดูดซับคลื่นพลังจิตวิญญาณ ดังนั้นมนุษย์ก็ควรทำได้เช่นกันไม่ใช่เหรอ  

 

 

หลี่ว์ซู่ยังคิดถึงปัญหาในอดีตด้วย คนธรรมดาที่อยู่บนโลกมนุษย์ได้ตระหนักว่าหลังจากรุ่งอรุณของยุคแห่งพลังจิตวิญญาณมาถึง ศักยภาพของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการฝึกฝน ซึ่งมากกว่าในอดีตมาก ดังนั้นในช่วงสองปีตั้งแต่รุ่งอรุณของยุคแห่งพลังจิตวิญญาณ นักกีฬาบางคนจึงได้รับความเร็วและความแข็งแรงของผู้มีพลังระดับ F  

 

 

ที่นี่มีพลังจิตวิญญาณค่อนข้างสูง ดังนั้นถ้าหากว่าเขาตั้งใจฝึกฝน เขาจะสามารถได้รับผลลัพธ์เช่นนั้นได้ไหม หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยากแข็งแกร่งมากขนาดนั้น ขอแค่ให้เขาสามารถพาตัวเองออกจากพันธนาการเหล่านี้ได้ก็พอแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่สามารถไปถึงระดับที่หนึ่ง เขาก็สามารถหาทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย  

 

 

จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรและเดินกลับเข้าไปในบ้าน “ถ้านายอยากฝึก ก็ฝึกไปเถอะ ขอแค่อย่าละเลยงานของตัวเอง ฉันไม่คิดว่านายจะดูโหดเ**้ยมด้วยรูปลักษณ์ที่ซีดและสะอาดสะอ้านหรอกนะ ฝึกต่อไปเถอะ ในโลกนี้ คนที่ประสบความสำเร็จจะถูกเรียกว่าราชา ส่วนคนที่ล้มเหลวจะถูกเรียกว่าผู้ร้าย คนที่ประสบความสำเร็จมักจะดูโหดเ**้ยมเสมอ”  

 

 

หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่และพูดว่า “พี่ชาย คุณน่ะมันก็แค่คนธรรมดาที่มีชีวิตแย่กว่าพวกทาสเสียอีก เพราะฉะนั้นหยุดวิจารณ์ชีวิตผมได้แล้ว”  

 

 

[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +399!]  

 

 

จางเว่ยอวี่กลับไปนอนด้วยความโกรธ เขาอยากจะชื่นชมความตั้งใจของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ดูเหมือนคำชมของเขาคงจะส่งไปไม่ถึง!  

 

 

หลังจากหลี่ว์ซู่พักเสร็จแล้ว เขาก็ยืนขึ้นอีกครั้ง เขาเจอฟืนท่อนหนึ่ง นั่นทำให้เขานึกไปถึงช่วงที่เขาฝึกอยู่กับหลี่เสียนอี และในขณะที่เขาจะเริ่มฝึก จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา  

 

 

เขาเคลื่อนที่ให้ช้าลง ในขณะที่ฟืนท่อนนั้นค่อยๆ ตกลง หลี่ว์ซู่ลดระดับเอวลงและยกแขนขึ้น เขาเปลี่ยนจากการฟันเป็นการจับ  

 

 

ถึงแม้พลังของหลี่วซู่จะหายไป แต่ท่วงท่าวิชากระบี่ของเขาก็ยังคงน่าเกรงขามเหมือนเดิม ในโลกมนุษย์ไม่มีใครมีทักษะวิชากระบี่ดีเท่าหลี่ว์ซู่ ยกเว้นแค่หลี่เสียนอี  

 

 

เขาจดจำรูปแบบต่างๆ ของบทกลอนสิบสามตัวอักษรได้ขึ้นใจ ในตอนนั้นเขาฝึกเหมือนกับหลี่เสียนอี เขาจะเคลื่อนที่ให้ช้าลง นี่คือกระบวนการผสานร่างกับกระบี่  

 

 

หลี่ว์ซู่เคลื่อนที่ให้เร็วขึ้นและช้าลงสลับกันเป็นครั้งคราว มีบ้างบางครั้งที่ร่างกายของเขาตามไม่ทัน  

 

 

แต่ทุกครั้งที่เขาตามไม่ทัน มันก็เหมือนกับว่าเขาได้ปรับตัวให้เข้ากับโลก คลื่นพลังจิตวิญญาณค่อยๆ ซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างอ่อนโยน ช่วยบำรุงร่างกายของเขา  

 

 

ในอดีต คลื่นพลังจิตวิญญาณไม่สามารถซึมเข้าไปในร่างกายของเขาได้เลย เพราะแผนภูมิดาราแข็งแกร่งเกินไป   

 

 

ในตอนนี้ท่วงท่าวิชากระบี่ของหลี่ว์ซู่มีพลังมากกว่ากำลังจริงๆ ของเขา นี่คือผลจากการตื่นตีสามทุกวันเพื่อฝึกฝน เป็นรางวัลที่โลกมอบให้เป็นสิ่งตอบแทนแก่ความพยายามของเขา  

 

 

เขาจะสามารถสื่อสารกับสวรรค์และโลกได้เมื่อเขาไปถึงระดับที่หนึ่ง หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดว่าเขามีขอบเขตแต่ไม่มีความแข็งแรง แล้วทำไมคลื่นพลังจิตวิญญาณถึงได้เข้าสู่ร่างกายในตอนที่เขาฝึก หรือโลกจะกำลังค่อยๆ ช่วยสร้างในสิ่งที่เขาขาด  

 

 

คลื่นพลังจิตวิญญาณช่วยให้เขาเสริมสร้างร่างกาย หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าในระหว่างกระบวนการฝึกนี้ ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นมาก  

 

 

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หลี่ว์ซู่ถึงได้เข้าใจว่ามีช่องว่างบางอย่างในการฝึกฝนร่างกายของเขา และเขาต้องการที่จะเติมเต็มสิ่งเหล่านั้น  

 

 

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องการวิธีนี้เพื่อปกป้องตนเอง  

 

 

เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน จางเว่ยอวี่เดินออกมาพร้อมกับบิดขี้เกียจ เมื่อเขาเห็นหลี่ว์ซู่ เขาก็ผงะถอยหลังไป “นี่นายฝึกทั้งคืนเลยเหรอ”  

 

 

หลี่ว์ซู่คิดถึงเรื่องนี้และพูดว่า “ผมเหนื่อยมาก ก็เลยนอนที่ลานนี่”  

 

 

“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ” จางเว่ยอวี่หัวเราะ “คนธรรมดาอย่างนายที่หมกมุ่นกับการฝึกจนเกินไป ควรจะพักผ่อนอย่างเหมาะสม”  

 

 

ในความเป็นจริง หลี่ว์ซู่ฝึกฝนทั้งคืน และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เขาเข้าใจแล้วว่า หากเขายิ่งฝึกมาก เขาก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้น และความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นหลังจากการทำงานในหนึ่งวันก็หายไป  

 

 

เขารู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นเขาไม่กลัวความยากลำบากในการฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ เพราะวันนั้น วันนี้เขาจึงทำได้ดีขึ้น ถึงแม้เขาจะห่างไกลจากการไปถึงแม้กระทั่งระดับที่หก แต่เขารู้ว่านั่นเป็นแค่เรื่องของเวลา อย่างน้อยเขาก็มีทางลัดในโลกนี้ที่วิธีการต่างๆ ถูกควบคุมด้วยระดับ!  

 

 

ในตอนนั้นเอง มีกลุ่มชายบนหลังม้าพุ่งตรงเข้ามา เมื่อมาถึงหน้าประตูของจางเว่ยอวี่ หัวหน้ากลุ่มก็พูดขึ้นอย่างทนไม่ไหวว่า “นายท่านส่งฉันมาที่นี่เพื่อส่งของขวัญ หนุ่มน้อยสุดหล่อจะยอมรับมันไว้หรือไม่”  

 

 

ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาที่นี่ นายท่านบอกว่าคนที่มีบุคลิกแข็งแกร่งคงจะไม่ยอมรับของขวัญประเภทนี้ ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่รับ พวกเขาก็จะนำมันกลับไป พวกเขามาที่นี่ตามมารยาทเท่านั้น พวกเขาไม่ได้อยากจะเสียเวลามากเกินไปนัก  

 

 

หลี่ว์ซู่มองไปที่ตราของพวกเขา คนพวกนี้มาจากตระกูลอวี่ หลี่ว์ซู่ย่นคิ้ว เมื่อวานนี้เขาเพิ่งแสดงตัวว่าเป็นผู้มีพลัง เขาจะทำลายภาพลักษณ์แบบนั้นของตัวเองไม่ได้ “ในนั้นมีอะไรที่กินได้ไหม”  

 

 

[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]  

 

 

[ได้แต้มจาก… ]  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset