ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 933 จุดอ่อนของทัพอู่เว่ย

ภาพที่หลี่ว์ซู่ยืนสู้กับคนกว่าร้อยๆ คนด้วยสีหน้าใจเย็นนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของหลี่เฮยทั่นอยู่หลายปีทีเดียว หลี่เฮยทั่นได้ยินว่าสาวกที่มีเก่งที่สุดในกระท่อมกระบี่จะถูกเรียกว่าเป็นเทพกระบี่ แต่หลี่เฮยทั่นรู้สึกว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่คนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าเทพกระบี่มาก อย่างน้อยก็ในตอนนี้ล่ะนะ!  

 

 

ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นพวกหลี่เฮยทั่นอยู่ตรงนั้น “จะยืนกันอีกนานไหม เข้าไปโจมตีพวกมันสิ! ไม่เห็นเหรอว่าฉันถูกล้อมอยู่!”  

 

 

“เอ้อ ครับ!” หลี่เฮยทั่นยกมีดผู่เตาขึ้นมาและนำทุกคนเข้าไปโจมตี  

 

 

เขารู้สึกเหมือนว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่นั้นยังเป็นท่านหัวหน้าหมู่บ้านมังกรฟ้าอยู่ แต่หลี่เฮยทั่นชอบที่เขาเป็นท่านผู้ยิ่งใหญ่มากกว่า… เขาไม่ได้เป็นคนที่ไร้เหตุผลเลย ถ้าเขาบอกให้พวกเขาเข้าไปโจมตี เขาก็จะเข้าไปโจมตีด้วยกับพวกเขา  

 

 

แต่หลี่เฮยทั่นก็ตกใจเหมือนกัน พวกเขาสู้ทัพเฮยอวี่มาตั้งหลายครั้ง พวกเขาไม่ได้กลัวตายกันสักนิดแม้ว่าจะถูกล้อม การตอบโต้กลับของพวกเขายังแข็งแกร่งมากด้วย ถ้าพวกทัพเฮยอวี่ได้เปรียบในการต่อสู้ พวกเขาก็จะแสดงออกมาอย่างชัดเจน และพวกเขาแต่ละคนก็กล้าหาญอย่างกับเสือ  

 

 

แต่หลี่เฮยทั่นนั้นก็เห็นได้ว่าพวกที่เข้ามาล้อมหลี่ว์ซู่ดูลังเล พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะมาล้อมหลี่ว์ซู่กันแบบจริงจังเลย!  

 

 

ท่านผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาทำทัพเฮยอวี่กลัวเสียแล้ว!  

 

 

หลี่ว์ซู่จึงทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ทำไม่ได้…  

 

 

หลี่ว์ซู่เป็นคนไม่ค่อยสนใจใครอยู่แล้ว เขาเคยเจอเจ๋อเมิ่งมาก่อน และเขาก็หงุดหงิดมากที่แผนที่ดวงดาวและจุดชี่ไห่ของเขาถูกปิดกั้น ราชันฟ้าคนที่เก้าที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของระดับสองได้กลายเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น  

 

 

แต่ตอนนี้เขาได้พลังกลับคืนมาแล้ว อีกอย่างเขาก็ทนทรมานฝึกอย่างหนัก สองสามเดือนที่ผ่านมานั้นเขาฝึกกระบี่ทุกครั้งที่มีโอกาส เขาไม่ได้หยุดพักเลยแม้แค่ครั้งเดียว  

 

 

เขาฝึกบำเพ็ญมาเพื่อการณ์นี้แหละ พอได้พลังกลับมาก็เหมือนกับเขาได้กุมชะตาของตัวเองแล้ว  

 

 

เขาเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับสองแล้ว ระดับหนึ่งจะอยู่อีกห่างไกลไหมนะ  

 

 

เขารู้สุกได้ถึงการต่อสู้ระหว่างหลิวอี้เจาและผู้บัญชาการของทัพเฮยอวี่ คลื่นพลังที่ทั้งสองปล่อยออกมานั้นมีแค่ระดับหนึ่งเท่านั้นที่จะทำได้ คลื่นพลังนั้นกว้างใหญ่เหมือนทะเล ราวกับว่ามันสามารถโค่นล้มภูเขาได้  

 

 

หลี่ว์ซู่อยากรู้ว่าการที่เป็นระดับหนึ่งจะรู้สึกอย่างไร  

 

 

ในตอนนั้นเองทหารจากทัพเฮยอวี่ก็รู้สึกอ่อนแอไปถนัดตา หลี่ว์ซู่สามารถใช้กิ่งไม้ฆ่าคนได้แบบสบายๆ พลังกระบี่ของเขานั้นน่ากลัวมากและพวกเขาก็ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย ทุกคนรู้สึกว่าเมื่อใดที่ชายคนนี้ปลดปล่อยพลังกระบี่ของเขาออกมา พวกเขาก็คงจะไม่รอดแน่ๆ  

 

 

จนถึงตอนนี้ใบไม้ก็ยังไม่หลุดออกจากกิ่งก้านเลย!  

 

 

…  

 

 

คืนนั้นทัพเฮยอวี่ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ส่วนทัพอู่เว่ยเองก็มีผู้บาดเจ็บอยู่เหมือนกัน แต่เทียบกับการสูญเสียของทัพเฮยอวี่ไม่ได้เลย  

 

 

แม้ว่าทัพอู่เว่ยจะไม่มีความได้เปรียบทางภูมิประเทศ แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งพวกเขาก็แข็งแกร่งเกินไปมาก และความพยายามอย่างหนักและหยาดเหงื่อทั้งหมดของทหารพวกนี้ได้ส่งผลดีต่อพวกเขาแล้ว  

 

 

ทัพเฮยอวี่ตัดสินใจถอยทัพ ตอนแรกทหารกว่า 15000 นายเดินเข้ามาในภูเขา แต่หลังจากผ่านเจ็ดวัน ทหารก็เหลืออยู่เพียง 4000 นาย เท่านั้น  

 

 

ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่รู้ว่าจะเขาจะต้องถูกลงโทษเมื่อตัดสินใจออกไปเช่นนั้น แต่ถ้าพวกเขาไม่หนีกลับมาตอนนี้ พวกเขาก็คงจะไม่มีโอกาสหนีอีกต่อไปแน่!  

 

 

ตอนแรกทัพนี้มีผู้บัญชาการอยู่ห้าคน แต่ตอนนี้เหลืออยู่สองคนแล้ว ผู้บัญชาการระดับหนึ่งและระดับสองก็ตายไปหมด!  

 

 

ผู้บัญชาการระดับหนึ่งโดนหลิวอี้เจาฆ่าไป ตอนที่เขาฆ่าผู้บัญชาการไป เขาก็รับรู้ได้ว่ามีคนบนพื้นนั่นเลื่อนเป็นระดับหนึ่งแล้ว…  

 

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่ทัพอู่เว่ยมียอดฝีมือระดับหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน แต่การเลื่อนระดับครั้งนี้ก็น่าทึ่งเกินไปแล้ว และเขาก็ไม่รู้ว่าใครที่เพิ่งจะเลื่อนระดับด้วย…  

 

 

หลิวอี้เจาและคนอื่นๆ เห็นแค่หัวหน้าบาทหลวงเท่านั้น พวกเขาไม่เห็นแอนโทนี่ อย่างว่าแต่จอห์นสันเลย  

 

 

ดังนั้นหลิวอี้เจาก็รู้สึกปนเปกันแปลกๆ เป็นไปตามที่ราชันคาดไว้ไม่มีผิด เขาซ่อนยอดฝีมือไว้เยอะจริงๆ! ราชันก็ต้องทำอย่างนี้เพื่อสมกับเป็นราชันสินะ!  

 

 

หลิวอี้เจ้ารู้สึกอย่างนั้น เขาสามารถเป็นหน่วยสอดแนมได้ง่ายขึ้นแล้ว!  

 

 

ทัพเฮยอวี่กลับมารายงานสถานการณ์ที่ภูเขากับแม่ทัพใหญ่ของพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาอ่อนแอกันหรอก แต่ศัตรูแข็งแกร่งมากต่างหาก อีกอย่างพวกมันก็เจ้าเล่ห์มาก ภูมิศาสตร์เป็นข้อเสียเปรียบอย่างมากสำหรับพวกเขา เนื่องจากพวกเขาหาศัตรูไม่เจอ!  

 

 

ทุกคนเข้าใจดีว่าหน่วยกองทัพเฮยอวี่ทั้งสี่ปรากฏตัวที่ใด แต่เมื่อหน่วยทั้งห้าเข้าไปในภูเขาด้วยกัน พวกเขาก็กลับพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า ผลลัพธ์ออกมาดูไม่ได้ยิ่งกว่าเข้าภูเขากันไปที่ละหน่วยอีก  

 

 

แต่พวกขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กองทัพในป่าน่าจะมาสองกองทัพคือทัพอู่เว่ยและชิงไซสิ แต่ทำไมพวกเขาถึงดูเข้ากันได้ดีและดุร้ายกันมาในเวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น  

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่ก็ได้ระลอกแต้มอารมณ์มาอีกระลอกใหญ่…  

 

 

ในความเป็นจริงถ้ามีคน 15,000 คนที่เข้ามาในภูเขาครั้งแรก หลี่ว์ซู่ก็อาจจะเอาทหารอู่เว่ยไปซ่อนก่อนก็ได้ ทัพอู่เว่ยเคยสู้กับทัพชิงไซเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่ค่อยมีขวัญกำลังใจ และพวกเขาจะต้องสติแตกขวัญเสียกันแน่นอนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของตนเองมากกว่าสองเท่า  

 

 

แต่เมื่อเขาส่งคนออกไปทีละระลอก ก็ทำให้ทัพอู่เว่ยมั่นใจกันมากขึ้น… ทุกคนรู้แล้วว่าตัวเองก็สู้ได้ดีเหมือนกัน  

 

 

แม่ทัพใหญ่นั่งอยู่ในเต็นท์ที่ช่องเขาเว่ยเป่ย เขาขมวดคิ้วและถามออกไป “พอได้สู้กันแล้ว เจอจุดอ่อนของศัตรูหรือยัง”  

 

 

ผู้บัญชาการสองคนนั่งคิด “พวกเขาดูจะโลภมากทีเดียว”  

 

 

“อย่างไรล่ะ” แม่ทัพใหญ่ถามอย่างใจเย็น  

 

 

“ตอนที่พวกเขาเริ่มสู้กัน พวกเขาไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่กลับมาขโมยหอกของพวกเราไปแทน… อีกอย่างในระหว่างการต่อสู้นั้นพวกเขาก็ตะโกนกันว่า ‘อย่าทำลายเกราะของพวกมัน!’ ด้วยครับ” เมื่อผู้บัญชาการพูดเรื่องนี้ออกไปพวกเขาก็ดูโกรธกันใหญ่ พวกเขารู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นปลาบนเขียงให้พวกศัตรูจับเอาไปทำอะไรก็ได้ น่าหดหู่จริง!  

 

 

แม่ทัพใหญ่ดูงุนงง “พวกเขาสู้กันแบบนั้นเหรอ”  

 

 

แม่ทัพใหญ่และผู้บัญชาการมองหน้ากัน ผมพูดเรื่องจริงนะ!  

 

 

“แล้วพวกเขามีจุดอ่อนอะไรอีกไหม” แม่ทัพใหญ่ถาม  

 

 

“ก็ไม่เชิงว่าเป็นจุดอ่อนหรอกครับ แต่เป็นนิสัยของพวกเขามากกว่า” ผู้บัญชาการตอบกลับอย่างลังเล “พวกเขาชอบร้องเพลงกันตอนสู้ แล้วพวกเขาก็ร้องเพลงนี้ดังในภูเขาตอนทะเลาะกันอีกด้วยครับ”  

 

 

“เดี๋ยวก่อน ทัพนี้มีผู้หญิงด้วยงั้นหรือ” แม่ทัพใหญ่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง  

 

 

“ไม่มีครับ ก็แค่ลุงสองคนร้องเพลงด้วยกัน…” เมื่อผู้บัญชาการคิดเรื่องนี้ออกเขาก็รู้สึกขนลุกไปหมด  

 

 

แม่ทัพใหญ่นั่งอย่างใจเย็นบนเก้าอี้ เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิด “ทัพนี้มีแต่เรื่องแปลกๆ เอาล่ะ ทั้งสองคนจบงานได้ รัฐทางตะวันตกจะจ่ายค่าส่วนแบ่งให้คนละ 30% ถ้าไม่พอใจก็เอาไปรายงานกับท่านจอมทัพสวรรค์เอง”  

 

 

ระดับหนึ่งทั้งสองคนรับใช้ตวนมู่หวงฉี่ซึ่งเป็นจอมทัพสวรรค์บูรพา เมื่อพวกเขานำทัพออกไปพวกเขาก็ออกไปเปิดอาณาเขตใหม่ๆ ด้วย และจอมทัพสวรรค์ก็สัญญาจะจ่ายส่วนแบ่งและรางวัลตอบแทนให้  

 

 

แต่ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพราะพวกเขาก็เพิ่งแพ้ในการต่อสู้ครั้งแรกมา พวกเขาจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรมาเลยถึงพวกเขาจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านจอมทัพสวรรค์บูรพาก็ตาม ที่จริงจอมทัพสวรรค์บูรพาอาจจะคิดว่าพวกเขาไร้ประโยชน์มากก็ได้  

 

 

ผู้บัญชาการทั้งสองตอบกลับ “ท่านผู้นำของเราเป็นคนยุติธรรมกับเรื่องนี้อยู่แล้วครับ เราทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราก็ขอตัวก่อน”  

 

 

“ไปเถอะ” แม่ทัพใหญ่มองดูพวกเขาจากไป จากนั้นเขาก็นั่งคิดหนักในเต็นท์ต่อว่าเขาจะรับมือกับพวกที่ซุ่มโจมตีในภูเขาอย่างไร  

 

 

เขาบัญชาการทัพเฮยอวี่ให้จอมทัพสวรรค์บูรพามากว่าร้อยปี แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเจอทัพแปลกๆ เช่นนี้!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset