ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 919 ความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวง

ในโลกใบนี้ ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่านำกองทัพเข้าล้อมรับชายผู้น่าเกรงขามคนหนึ่ง หลังจากที่พวกเขาล้อมชายคนนั้น ราชาแห่งทวยเทพก็ให้พวกเขาร้องบทเพลงแห่งสงคราม ทำให้ชายคนนั้นตกอยู่ในความสิ้นหวัง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณในการต่อสู้ของเขาลดลง  

 

 

ถ้าหลี่ว์ซู่รู้เรื่องนี้ เขาคงบอกว่าราชาแห่งทวยเทพองค์เก่านั้นช่างไร้ยางอาย…  

 

 

แต่ตอนนี้ จู่ๆ หลิวอี้เจาก็รู้สึกว่าเขาคือชายผู้น่าเกรงขามคนนั้น…แต่ปัญหาก็คือ บทเพลงแห่งสงครามไม่ได้ถูกขับขาน แต่เทือกเขานี้กลับเต็มไปด้วยเสียงเพลงพื้นบ้าน!  

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน! เขาอยากจะสัมผัสความรู้สึกของชายผู้น่าเกรงขามคนนั้นว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อไม่มีทางให้ไปต่อ เหมือนกับเรื่องราวของ hegemon king ที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาปากต่อปาก  

 

 

แต่ปัญหาก็คือ ชายหนุ่มและหญิงสาวในเพลงพื้นบ้านเหล่านั้นทำให้เขาหมดอารมณ์ในไม่กี่นาที นี่เป็นความรู้สึกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง!  

 

 

จะต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน!  

 

 

แต่ทหารทัพอู่เว่ยที่กำลังร้องเพลงพื้นบ้านไม่มีทางเลือก พวกเขายังไม่ได้รับคำสั่งให้หยุดร้อง เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจนว่าจริงๆ แล้วทัพอู่เว่ยได้เรียนรู้อะไรจากการฝึกฝนของพวกเขาหรือไม่ แต่พวกเขาได้เรียนรู้การบังคับใช้คำสั่งและข้อห้ามที่เข้มงวด  

 

 

หากท่านเทพและผู้บัญชาการไม่ได้สั่งให้พวกเขาหยุด พวกเขาก็จะไม่ยอมหยุด…  

 

 

ทหารอู่เว่ยจำนวนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงอยู่ท่ามกลางเทือกเขาที่เงียบสงัดบังคับตัวเองให้ร้องต่อไป ในขณะที่คนอื่นกำลังมองดูพวกเขาร้องเพลง…ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างความคาดหวังและความจริงเกือบจะทำให้การร้องเพลงของพวกเขาล่มกลางคัน…  

 

 

ทันใดนั้น พวกเขาก็รู้สึกเหมือนได้ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้ง พวกเขาได้รับคำสั่งใหม่จากท่านเทพว่าพวกเขาสามารถหยุดร้องได้แล้ว  

 

 

หลี่เฮยทั่นเดินวางท่าออกมาจากถ้ำหินปูน เขายืนอยู่เบื้องหน้าทัพชิงไซทั้งหมด “ท่านเทพขอให้พวกนายเดินอ้อมไปทางตะวันออก พวกเราปล่อยทหารที่ถูกจับให้ไปพบพวกนายที่นั่น”  

 

 

หลิวอี้เจารู้สึกประหลาดใจ เงื่อนไขของพวกเขาง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็แค่เดินอ้อมไป นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย พวกเขาควรจะใช้โอกาสนี้ในการตักตวงผลประโยชน์การเอาชนะทัพชิงไซ”  

 

 

เป็นเรื่องปกติที่จะเอากองทัพที่พ่ายแพ้มาเป็นทาส ตราบเท่าที่พวกเขาถูกนำไปเป็นทาส ไม่ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ทำได้เพียงต่อสู้เพื่อนายทาสคนใหม่ในอนาคต  

 

 

หลิวอี้เจาไม่เข้าใจ “ทำไมพวกนายถึงไม่เข้าร่วมทัพชิงไซล่ะ”  

 

 

หลี่เฮยทั่นพูดเสียงอู้อี้ “ทัพอู่เว่ยไม่มีอาหารพอจะเลี้ยงดูพวกนาย! ไปให้พ้นๆ ซะ!”  

 

 

ที่เทือกเขาราชาหลี่ว์ จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ปิดหน้าและถอนหายใจ เขาไม่ได้บอกให้หลี่เฮยทั่นพูดแบบนั้น  

 

 

นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะลงมือทำอะไรสักอย่าง เขาสามารถพูดได้ว่าพวกเขาชื่นชมความกล้าหาญทางจริยธรรมของทัพชิงไซหรืออะไรทำนองนั้น ถ้าเขาพูดเหมือนกับผู้กล้า นั่นอาจจะได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์และกลายเป็นเรื่องให้เล่าขานต่อไป  

 

 

แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าทัพอู่เว่ยนั้นยากจนขนาดไหน…  

 

 

แล้วแบบนี้หนังสือประวัติศาสตร์จะถูกเขียนไว้ว่าอย่างไร ทัพอู่เว่ยปฏิเสธทัพชิงไซเพราะพวกเขายากจนมาก…นี่ฟังดูหดหู่เหลือเกิน!  

 

 

แต่หลิวอี้เจาไม่ยอมไป “ขอฉันพบท่านเทพของพวกนายได้ไหม”  

 

 

หลี่ว์ซู่หยุดการฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ของเขาที่กำลังทำอยู่ในถ้ำหินปูน เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ทำไมหลิวอี้เจาถึงอยากพบเขา เขาส่งผ่านข้อความไปถึงหลี่เฮยทั่นผ่านทางสัญญาพันธมิตรหลี่เฮยทั่นพูดว่า “ท่านเทพขอปฏิเสธ”  

 

 

ทันใดนั้น หลิวอี้เจาก็เอากองกระดาษโน้ตสองสามกองออกมาจากอากาศ “นี่คือเงินเก็บครึ่งหนึ่งของทัพชิงไซ ซึ่งเก็บสะสมมานานกว่าหนึ่งทศวรรษในเมืองหนานเกิง ฉันขอแลกเงินจำนวนนี้กับโอกาสที่จะได้พบกับท่านเทพขอพวกนาย” หลี่เฮยทั่นเต็มไปด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้ง “นายสามารถเป็นเพื่อนกับท่านเทพได้อย่างแน่นอน!”  

 

 

หลี่ว์ซู่เกือบจะสบถออกมาขณะที่อยู่ในถ้ำหินปูน เรื่องแบบนี้สมควรพูดออกมาด้วยเหรอ!  

 

 

เสื้อผ้าของหลิวอี้เจาโบกสะบัดท่ามกลางสายลม และเขาก็บินตรงไปที่เทือกเขาราชาหลี่ว์  

 

 

เมื่อเขาไปถึง จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ไม่ได้ปรากฏตัว แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พาตัวหัวหน้าบาทหลวงกลับมาได้ทันเวลาพอดี  

 

 

เมื่อหลิวอี้เจาเห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบสองคนนี้ แต่ตอนที่เขาได้พบสองคนนี้เมื่อสองเดือนก่อน พวกเขายังคงเป็นผู้บำเพ็ญที่ไร้ชื่อเสียงอยู่เลย แล้วพวกเขากลายเป็นท่านเทพได้อย่างไรในเวลาอันสั้นขนาดนั้น  

 

 

หลิวอี้เจามองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยความสงสัย เขาไวต่อร่างกาย ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังระดับสองออกมาจากตัวของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ในตอนนั้น เขารู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เธอกลับไปถึงระดับสองได้ทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้ เขารู้จักแต่คนที่เป็นทายาทของครอบครัวชั้นสูงเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้  

 

 

เพราะคนธรรมดาไม่ได้มีความสามารถตามธรรมชาติ นั่นจึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขาในการที่จะได้รับพลังเหล่านั้นโดยปราศจากซึ่งทรัพยากร  

 

 

แต่หลิวอี้เจาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวตนของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในเวลาเพียงสองเดือนที่พวกเขาได้พบกัน นอกจากนี้ คลื่นพลังของชายแก่ที่ใส่ผ้าพันคอสีชมพูที่ยืนอยู่หลังหลี่ว์ซู่นั่นก็เกือบจะเป็นระดับเดียวกับเขา  

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง “อย่าได้ผลีผลามล่ะ เพียงแค่การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ก็อาจจะทำให้ทัพชิงไซทั้งหมดต้องตาย”  

 

 

“ท่านเทพได้โปรดอย่ากังวล” หลิวอี้เจายิ้ม “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับตัวราชาและเอาชนะกองกำลัง ผมแค่อยากเห็นว่าท่านเทพที่เอาชนะทัพชิงไซของผมนั้นหน้าตาเป็นยังไง ในเมื่อท่านเทพก็อยู่ตรงนี้แล้ว ลอร์ดจางเว่ยอวี่ก็น่าจะอยู่ที่นี่เช่นกันใช่ไหม”  

 

 

ในตอนที่เขาเห็นหลี่ว์ซู่ หลิวอี้เจาก็รู้ได้ทันทีว่าวิธีการที่ทัพอู่เว่ยใช้นั้นมาจากหลายคน เขาเคยถามจางเว่ยอวี่ว่าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาไหม แต่เขาปฏิเสธ  

 

 

อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งชั้นสูง หลิวอี้เจาไม่ง่ายเลยในความคิดเขา เขาเคยคิดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างผู้คน นี่จะช่วยให้เขาตั้งรกรากในอาชีพการงานและการใช้ชีวิตได้เร็วขึ้น  

 

 

ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่าจางเว่ยอวี่อยู่กับหลี่ว์ซู่และเป็นผู้มีส่วนช่วยเขาในการเปลี่ยนแปลงทัพอู่เว่ยมาตลอด  

 

 

ในความเป็นจริง เป็นเรื่องบังเอิญที่หลี่ว์ซู่ได้พบกับจางเว่ยอวี่…แต่หลิวอี้เจาไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น!  

 

 

ดังนั้น หลี่ว์ซู่จึงสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนอันยากจะปกปิดของหลิวอี้เจา มันไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นความตื่นเต้น  

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่…เขาไม่รู้ว่าหลิวอี้เจารู้ตัวตนที่แท้จริงของจางเว่ยอวี่ ในตอนนั้น จางเว่ยอวี่เคยเป็นหัวหน้าทหารหลวง เขาเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของทหารมังกรจักรพรรดิกว่าสามพันคน  

 

 

คนเช่นนี้จะช่วยคนอื่นฝึกกองทัพโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนได้อย่างไร นอกจากนี้ ทหารหลวงอย่างจางเว่ยอวี่มักจะอยู่แต่ในทุ่งเสมอ จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่เขากลับมา เขาส่งคนไปสืบเรื่องของจางเว่ยอวี่ เขารู้ว่าถึงแม้จางเว่ยอวี่อาจจะต้องทนกับความทุกข์ยากมาหลายปี เขาก็ไม่เคยจากทุ่งไปไหนเลย เเล้วพวกเขากำลังรออะไรอยู่  

 

 

แต่ตอนนี้ จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือได้ออกมาจากทุ่งแล้ว นี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าสิ่งที่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ รออยู่มาถึงแล้ว!  

 

 

หลิวอี้เจาก็กำลังรอคนผู้นั้นอยู่เช่นกัน คนผู้นั้นที่ทำให้เขาต้องรอและปิดบังตัวตนอยู่ในเมืองหนานเกิงกว่าหนึ่งทศวรรษ พอนึกย้อนกลับไปในตอนนี้ เมืองหนานเกิงคือเมืองที่อยู่ใกล้ทุ่งมากที่สุดไม่ใช่หรือ  

 

 

ราวกับว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกจัดวางไว้อย่างสมบูรณ์แบบ! เขาไม่ได้เสียเวลารอกว่าหนึ่งทศวรรษเพื่อไม่ได้อะไรเลย!  

 

 

หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาทั้งคู่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลิวอี้เจาบอกว่าอยากมาเห็นหน้าเขา แต่จู่ๆ เขาก็เริ่มเว้นระยะห่าง และถึงขั้นเริ่มหัวเราะอย่างประหม่า หลี่ว์ซู่เริ่มจะกลัวแล้วจริงๆ …  

 

 

จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือเดินออกมาจากถ้ำหินปูน คนพวกนี้ปากร้ายมาก แต่เมื่อพวกเขาเห็นความตื่นเต้นของหลิวอี้เจา…  

 

 

จางเว่ยอวี่ตบหน้าผากตัวเอง “จบแล้ว หลิวอี้เจาจะต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราแน่ ช่างเป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงอะไรขนาดนี้!”  

Related

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset