ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 918 ยอมแพ้

กองทัพที่เพิ่งจะผงาดขึ้นจะเดินเหยียบย่ำไปบนร่างของคนตายอย่างแน่นอน เมื่อพวกเขาเห็นเลือด พวกเขาก็จะใช้ชัยชนะของตนเองเพื่อนทำให้การเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์แบบ  

 

 

ทัพชิงไซมาได้ถูกเวลา พวกเขาเดินทางมาไกลทั้งยังขาดทั้งอาหารและเสื้อผ้า ในทางตรงกันข้าม ทัพอู่เว่ยกลับรอศัตรูอย่างสบายใจ พลังของทัพชิงไซนั้นเทียบไม่ได้กับของทัพอู่เว่ย และพวกเขาก็ไม่ได้มีคนมากเช่นกัน นี่ช่วยให้หลี่ว์ซู่ได้ฝึกฝนทหารของเขาได้อย่างสบายอกสบายใจ  

 

 

ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะไม่ได้เข้าไปในถ้ำหินปูน แต่เขาก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับทหารของทัพอู่เว่ย และถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ที่สนามรบ เขาก็สามารถสำรวจสถานการณ์ทั้งหมดได้ เขาถึงขั้นมีมุมมองที่ชัดเจนกว่าจางเว่ยอวี่เสียอีก  

 

 

ในขณะที่หลี่ว์ซู่ฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของเขา เขาก็คอยสังเกตสถานการณ์ไปด้วย เขาใส่ใจกับคำสั่งของจางเว่ยอวี่อย่างใกล้ชิด และพยายามเรียนรู้ทักษะการออกคำสั่งของเขาไปด้วย  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่เก่งเรื่องออกคำสั่ง แต่เขาก็ยินดีที่จะเรียนรู้ ประวัติศาสตร์การฝึกบำเพ็ญบนโลกมนุษย์ไม่ได้ยาวนานเหมือนกับที่นี่ เมื่อเขาได้เรียนรู้แล้ว เขาก็จะสามารถนำวิธีการออกคำสั่งขั้นสูงเหล่านี้กลับไปใช้ได้…  

 

 

เขาพยายามทำให้หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ขโมยหอก แต่แม้แต่ทหารชั้นแนวหน้าอย่างทัพชิงไซก็ไม่ได้นำหอกวิเศษมาด้วย  

 

 

นี่ทำให้หลี่ว์ซู่ประหลาดใจ มีของวิเศษมากมายในซากที่ถูกขุดขึ้นมาในโลกมนุษย์ เขาเคยคิดว่าของวิเศษน่าจะเป็นเรื่องธรรมกฝดาในโลกใบนี้ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น  

 

 

สุดท้ายแล้วซากทั้งหลายที่อยู่บนโลกมนุษย์ก็เป็นเหมือนกับแอ่งสมบัติที่ใครบางคนปกปิดไว้อย่างพิถีพิถันเพื่อรอให้ใครสักคนมาขุดพบ  

 

 

ที่นี่จะต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่  

 

 

ทัพอู่เว่ยไม่ยอมหยุดก่อกวนทัพชิงไซ ในขณะที่ทัพชิงไซมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ แต่ทัพอู่เว่ยกลับยิ่งดูคึกคัก เพลงพื้นบ้านในเทือกเขาก็ยังคงดังมาให้ได้ยินเรื่อยๆ ราวกับว่าพี่ชายและพี่สาวที่อยู่ในบทเพลงจะได้แต่งงานกันอย่างมีความสุขในค่ำคืนนี้…  

 

 

ทหารของทัพชิงไซพบว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาฟังเพลงพื้นบ้านในขณะที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย…พวกเขารู้สึกเหมือนจะพังทลาย…  

 

 

แม้แต่ตอนที่พวกเขาสู้กับทัพเฮยอวี่ พวกเขาก็ยังไม่ได้รู้สึกกดดันขนาดนี้ ประการแรก แม้แต่ทัพเฮยอวี่ก็ไม่ได้มีการรวมพลังเหมือนกับทัพอู่เว่ย พวก พวกเขาใช้พลังของตัวเองในการเพิ่มความเร็ว เมื่อพวกเขา  

 

 

ทัพชิงไซไม่เข้าใจ ทัพอู่เว่ยมีชื่อเสียงในเรื่องความอ่อนแอไม่ใช่หรือ พวกเขาเปลี่ยนไปขนาดนี้ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ได้อย่างไร  

 

 

นอกจากนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงพลังของพวกนั้น พวกเขาไม่สามารถทนฟังเสียงร้องเพลงได้ หากอยากจะสู้ ก็ช่วยสู้ให้ดีๆ หน่อย ถึงขั้นมีคนคอยร้องเพลงสร้างขวัญกำลังใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน  

 

 

ทัพอู่เว่ยรู้ว่าสหายของพวกเขาได้รับคำสั่งมาจากจางเว่ยอวี่ให้ไปก่อกวนพวกทัพชิงไซ และพวกเขาก็ทำสำเร็จอย่างมาก แต่ทัพชิงไซไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขารู้สึกประหลาดใจถึงจำนวนคนที่มากเกินไปที่มาร้องเพลงในระหว่างการต่อสู้ ราวกับว่าพวกเขากำลังสนุกสนานในขณะกำลังต่อสู้  

 

 

ขนาดของทัพชิงไซเล็กลงเรื่อยๆ ทุกคนถือหอกและตื่นตัวอย่างเต็มที่ พวกเขาจะไม่ยอมให้ทัพอู่เว่ยซุ่มโจมตีได้ง่ายๆ ในรูปขบวนนี้  

 

 

จางเว่ยอวี่ที่อยู่ยังศูนย์บัญชาการขมวดคิ้ว เขาไม่คาดคิดว่าทัพชิงไซจะจัดการได้ยากถึงขนาดนี้ ตามหลักเหตุผลแล้ว ควรเป็นกองกำลังที่หมดแรงแล้วหลังจากการหลบหนี แต่จิตวิญญาณในการต่อสู้ของพวกเขายังไม่ตาย  

 

 

นี่เป็นผลของการมีผู้นำที่ยอดเยี่ยม จางเว่ยอวี่คิดถึงเรื่องในอดีต เขาไม่เคยรู้เลยว่าหลิวอี้เจาจะมีความสามารถในด้านนี้ด้วย  

 

 

เห็นพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเช่นนี้ จางเว่ยอวี้ถ่ายทอดคำสั่งไปให้คนที่คุ้มกันทางด้านหลัง “โยนหินและทำลายรูปขบวนของพวกนั้น!”  

 

 

จากนั้นไม่นาน ทัพอู่เว่ยก็ขนก้อนหินขนาดใหญ่ที่พวกเขามักจะใช้ฝึกบนภูเขา จากนั้นพวกเขาจึงโยนก้อนหินลงไปด้านล่างโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ  

 

 

ก้อนหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมากกว่าสองตัน แม้แต่ผู้บำเพ็ญก็ไม่กล้าที่จะลองเสี่ยงกับก้อนหินที่กำลังร่วงลงมา ถึงแม้พวกเขาอาจจะไม่ตายจากก้อนหินเหล่านี้ แต่มันก็ทำให้รูปขบวนของพวกเขาแตกกระจัดกระจาย  

 

 

ไม่ใช่ว่าทัพชิงไซนั้นอ่อนแอเกินไป ทัพอู่เว่ยเพียงแค่ใช้ประโยชน์ในเรื่องพื้นที่และจำนวนคนที่มากกว่า พวกเขาจะไม่แพ้ หากหลิวอี้เจาคาดหวังว่าจะมีกองทัพประจำอยู่ที่นี่ เขาอาจจะหลบหลีกและกระจายการต่อสู้กับทัพอู่เว่ย แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะมีกองทัพมาปักหลักอยู่ที่นี่…  

 

 

ทัพชิงไซไม่มีทางเลือก พวกเขาจำต้องหลบหลีกก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านั้น ในขณะที่รูปกระบวนของพวกเขากำลังแตกกระเจิง ทหารจากทัพอู่เว่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้าหินปูน ก็พุ่งเข้าใส่พวกเขา!  

 

 

หลิวอี้เจายืนอยู่ท่ามกลางสนามรบ และประเมินสถานการณ์ทั้งหมดอย่างใจเย็น เขารู้ว่าทัพอู่เว่ยก็ยังคงเป็นทัพอู่เว่ยที่เขารู้จัก ความรู้สึกที่เขามีต่อทัพอู่เว่ยก็คือพวกเขาเป็นทหารที่ขี้ขลาดและกลัวตาย แต่ผู้บัญชาการของพวกเขาฉลาดมาก พวกเขาเพิ่มความแข็งแกร่ง และอนุญาตให้เลือกเป้าหมายที่ง่าย นี่เป็นวิธีการที่ทำให้ทัพอู่เว่ยค่อยๆ คิดไปเองว่าพวกเขาแข็งแกร่ง และพวกเขาก็กล้าหาญมากขึ้นเช่นกัน  

 

 

หลิวอี้เจาเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วตอนนี้ ทัพอู่เว่ยขาดโอกาสในการฝึกฝนอย่างกองทัพ ทัพชิงไซมาได้ถูกเวลาพอดี พวกเขาช่วยเติมเต็มความต้องการในเรื่องของพลังกำลังและกำลังคนให้กับทัพอู่เว่ย  

 

 

จะต้องมีใครสักคนที่แข็งแกร่งมากอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ประการแรก พวกเขาทำให้ทัพอู่เว่ยทั้งกองทัพพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และนั่นไม่ใช่ผ่านวิธีการง่ายๆ แต่อย่างใด เขารู้ว่าวิธีการเหล่านั้นถูกใช้ที่นี่ แต่การพัฒนาอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้ช่องทางชีวิต vital channel ของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดแล้ว ทหารของทัพอู่เว่ยก็เต็มไปด้วยพลัง พวกเขาไม่ได้ดูเหมือนว่าได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด  

 

 

หลิวอี้เจามั่นใจมากว่าจะต้องมีผู้ที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง การเพิ่มขึ้นของทัพอู่เว่ยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากทัพชิงไซไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ทัพเฮยอวี่ก็อาจจะพ่ายแพ้แก่พวกเขาในอนาคตเช่นกัน จากนั้น…พวกเขายังมีแผนการใหญ่อื่นๆ อีกหรือไม่  

 

 

สถานการณ์ช่างสิ้นหวัง นี่คือความรู้สึกของหลิวอี้เจาที่มีต่อทัพชิงไซ  

 

 

เขารู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย เขาได้รับหน้าที่ในกองทัพนี้มากว่าทศวรรษแล้ว พวกเขาถูกทำลายในการต่อสู้ แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นหินลับมีดให้กับทัพอู่เว่ยเสียแล้ว หากทัพชิงไซได้รับการจัดระเบียบอย่างดีแล้วอย่างไร ถ้าทัพอู่เว่ยนั้นแข็งแกร่ง  

 

 

จู่ๆ หลิวอี้เจาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทั้งดังและชัดเจน “ทัพชิงไซเต็มใจที่จะขอยอมแพ้ ถึงแม้ฉันจะไม่อยากทำแบบนี้ แต่ฉันก็ขอออกจากทัพชิงไซ ดังนั้นได้โปรดให้โอกาสทัพชิงไซได้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย”  

 

 

จากนั้น เขาไพล่มือไปด้านหลังและรอฟังคำตอบ แม้กระทั่งหลังจากที่เขายอมรับความพ่ายแพ้ หลิวอี้เจาก็ยังคงท่าทางภาคภูมิใจในฐานะนะทหารมังกรจักรพรรดิที่เคยรับใช้องค์ราชา  

 

 

ทหารของทัพชิงไซทุกคนมองไปที่หลิวอี้เจาอย่างเงียบๆ พวกเขารู้ดีว่าผู้นำของตนนั้นภาคภูมิใจในตนเองมากแค่ไหน แต่เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อช่วยชีวิตพวกเขา  

 

 

ทุกคนเงียบเสียงลง แต่ในขณะนั้น…  

 

 

“สาวน้อยนั้นเปรียบเสมือนดอกไม้ แต่เธอกลับแต่งให้คนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง…” เสียงเพลงพื้นบ้านยังคงดังสะท้อนไปทั่วทั้งภูเขา  

 

 

และเพลงยังดังต่อเนื่องมาจากภูเขาอีกลูก “เธออยากจะหาสามีดีๆ แล้วทำไมไม่แต่งกับเจ้าแคระ…”  

 

 

หลิวอี้เจาพูดไม่ออก  

 

 

[ได้แต้มจากหลิวอี้เจา +666!]  

 

 

มีเพียงทัพอู่เว่ยที่กล้าร้องเพลงในภูเขาที่เงียบสงัดนี้ หลิวอี้เจามองไปที่ภูเขาอย่างไร้คำพูด นี่มันเรื่องที่เป็นงานเป็นการ! ช่วยหยุดสักพักจะได้ไหม  

 

 

ทัพชิงไซถูกล้อมไว้ด้วยเพลงพื้นบ้านในเทือกเขาทุนอวิ๋น แต่กลับไม่มีทางออก..

Related

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset