ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 916 บทเพลงของเราจะอัญเชิญนกฟีนิกซ์สีทอง

จางเว่ยอวี่และคน ที่เหลือจุดคบไฟและส่องแสงไปในถ้ำ ผู้นำกลุ่มทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อรอรับคำสั่ง โดยมีผู้คนเดินเข้าเดินออกโพรงถ้ำจนก่อให้เกิดเสียงราวกับว่ากำลังมีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ  

 

 

ถึงแม้ทหารวังหลวงจะเป็นผู้นำทีมในขณะที่พวกเขายังฝึกกันอยู่ แต่พวกเขาก็เป็นเพียงครูฝึกเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ เป็นผู้นำกองทหาร คนเหล่านี้คือคนที่ถูกเลือกโดยอิงจากประสบการณ์หลายปีและการมองการณ์ไกลของพวกเขา  

 

 

ว่ากันว่าถ้าผู้นำไม่โดดเด่น คนอื่นๆ ที่เหลือในทีมก็จะไม่โดดเด่นเช่นกัน ถึงแม้สถานการณ์ที่ภูเขาราชาหลี่ว์จะได้รับอิทธิพลจากหลี่ว์ซู่อย่างช้าๆ แต่พวกเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะการเลือกผู้นำก็ยังคงมีความสำคัญมาก  

 

 

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่เป็นหัวหน้าไม่เพียงแต่ต้องควบคุมกองทหารและออกคำสั่งอย่างไร้ที่ติเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องโน้มน้าวความคิดของเหล่าทหารของพวกเขา และทำให้แน่ใจว่าทุกคนมีความคิดเดียวกัน  

 

 

ดังนั้นหลังจากการฝึกฝนสิบวัน จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ที่เหลือจึงใช้เวลาตลอดทั้งคืนในการพูดคุยก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเลือกผู้นำ คนที่ได้รับเลือกดูเหมือนจะน่าเชื่อถือมากขึ้น  

 

 

ผู้นำคนหนึ่งพูดเสียงเบา “ฉันได้ยินมาจากเฮยทั่นว่าท่านเทพต้องการที่จะโจมตีทัพชิงไซ…”  

 

 

“ด้วยรูปแบบที่ใหญ่เช่นนี้ พวกเขาจะต้องแอบดูมาตรฐานของพวกเราแน่ เราต้องทำให้ดี ถ้าหากท่านเทพเกิดผิดหวังกับพวกเรา แล้วแบบนั้นพวกเราจะทำยังไงดี”  

 

 

“ถึงแม้ฉันจะกลัวอยู่สักหน่อย แต่พวกเราก็ทำถูกแล้วที่จะติดตามท่านเทพ ฉันยังคงหวังที่จะไปถึงระดับหนึ่งให้ได้เหมือนกับเขา…”  

 

 

“ฉันได้ยินมาว่าวันนี้พวกเราไม่ต้องฝึก ฉันมีความสุขจัง…”  

 

 

กลุ่มคนมองไปที่คนที่เพิ่งจะพูดไป เพื่อนร่วมทุกข์ต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เพราะการฝึกนั้นเจ็บปวดกว่านี้!  

 

 

จางเว่ยอวี่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่พวกเขา เขาพูดกับทหารวังหลวงคนอื่นๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “วันนี้พวกเราต้องสู้ให้ดี ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเขาจะรู้สึกขัดแย้งหลังจากที่พวกเขาก้าวหน้าและได้รับการยกย่อง วิญญาณที่พองโตของพวกเขาจะได้รับผลกระทบ หลังจากนั้นการจะดึงพวกเขากลับมาก็ไม่ง่ายอีกต่อไป”  

 

 

กองทัพทั่วๆ ไปล้วนแล้วแต่สงบในความคิดของพวกเขา พวกเขาไม่อาจปล่อยให้ทหารของพวกเขานิ่งนอนใจได้ เพราะสุดท้ายแล้วกองทัพที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจก็ต้องพ่ายแพ้  

 

 

แต่ทัพอู่เว่ยนั้นต่างออกไป จู่ๆ กองโคลนก็กลายเป็นคอนกรีต จางเว่ยอวี่ต้องยอมให้พวกเขาภาคภูมิใจต่อไป เมื่อพวกเขาไปถึงระดับที่สูงกว่านี้ พวกเขาก็จะลดระดับความหยิ่งยโสลงเอง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น โคลนก็จะเป็นแค่โคลนตลอดไป  

 

 

สิ่งนี้เปิดเผยความคิดของจางเว่ยอวี่ เขากลัวว่าทัพอู่เว่ยอาจจะยังภูมิใจไม่พอ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องการถ่อมตัวเช่นกัน!  

 

 

ดังนั้นเมื่อจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ให้คำชี้แนะการต่อสู้ พวกเขาจึงจริงจังมาก และพวกเขายิ่งจริงจังยิ่งกว่าตอนที่พวกเขาชี้แนะทหารมังกรจักรพรรดิ ท้ายที่สุด ศัตรูจะต้องหวาดกลัวแค่เพียงเอ่ยถึงทหารมังกรจักรพรรดิ พวกเขามีพลังมากพอ พวกเขาไม่จำเป็นต้องจริงจังถึงขนาดนี้…  

 

 

จางเว่ยอวี่เงยหน้าขึ้นและรวบรวมเหล่าผู้นำทั้งเจ็ด เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฉันต้องการให้พวกนายทั้งเจ็ดคนเป็นผู้นำคนอื่นๆ ที่เหลือ และก่อกวนทัพชิงไซ พวกนายไม่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้จริงกับพวกนั้น เราต้องทำให้พวกนั้นสับสนเกี่ยวกับความตั้งใจของเรา”  

 

 

ทั้งเจ็ดคนถามด้วยความสงสัย “พวกเราควรทำอย่างไร”  

 

 

จางเว่ยอวี่ชำเลืองมองพวกเขา “พวกนายต้องให้ฉันบอกจริงๆ น่ะเหรอ ถ้างั้นทำไม่ให้ฉันกินข้าวของพวกนายล่ะ พวกนายไม่จำเป็นต้องกินอีกต่อไปแล้ว”  

 

 

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้…พวกเขาก็เข้าใจได้ว่าถ้าพวกเขาทำงานนี้ไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะไม่มีอะไรให้กินอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาต้องทำให้สำเร็จ…  

 

 

หลังจากผู้นำทั้งเจ็ดคนจากไป จางเว่ยอวี่ก็ได้รวบรวมผู้นำกลุ่มสิบคน “ไปที่เทือกเขาทุนอวิ๋น เเละปิดกั้นเส้นทางของทัพชิงไซที่จะไปทางเหนือ หาทางซุ่มโจมตีพวกเขา ถ้าพวกนั้นไล่ตามพวกนาย ก็ให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ภูมิศาสตร์เพื่อสลัดพวกนั้นออกถ้าพวกนั้นมีเป็นจำนวนมาก แต่ถ้ามีแค่ไม่กี่คนที่ไล่ตามมา ก็ให้เข้าไปในถ้าหินปูนและล้อมพวกนั้นไว้ ถ้าหากจับเป็นพวกนั้นมาได้ ก็ทำซะ แต่อย่าทุ่มเทกับการต่อสู้จนเกินไป”  

 

 

นี่เป็นกลยุทธ์ที่หลี่ว์ซู่ให้จางเว่ยอวี่เอาไปปรับใช้ หลี่ว์ซู่ไม่ค่อยเข้าใจส่วนที่เหลือสักเท่าไหร่ แต่เขาบอกว่าในครั้งนี้ พวกเขาจะต้องได้เข้าร่วมในกองโจร จางเว่ยอวี่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี ถ้าทำแบบนี้ เมื่อทัพเฮยอวี่มาถึง ทัพอู่เว่ยก็จะมีประสบการณ์เพียงพอแล้ว  

 

 

ทัพชิงไซมุ่งหน้าไปที่เทือกเขาทุนอวิ๋นอย่างระมัดระวัง พวกเขารู้ว่ามีทางเข้าและทางออกถ้ำมากมาย กองทัพเว้ยอวี่อาจจะปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ  

 

 

ถึงแม้ทัพชิงไซจะเหนื่อยล้าจากการหลบหนีจากทัพเฮยอวี่มากว่าครึ่งเดือนแล้ว แถมยังมีอาหารและเสื้อผ้าไม่เพียงพอ พวกเขาก็ยังคงเป็นทหารชั้นยอด พวกเขายังคงมีความมุ่งมั่น  

 

 

ทันใดนั้นทัพชิงไซก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาสัมผัสได้ว่าจู่ๆ ก็มีคนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากภูเขา ทัพชิงไซตื่นตัวขึ้นทันที ทัพอู่เว่ยหายตัวไปสักพักแล้ว พวกเขาคิดว่าทัพอู่เว่ยคงกลัวจนหนีไปแล้ว แต่คนพวกนั้นกลับปรากฏตัวขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น  

 

 

เกิดอะไรขึ้น  

 

 

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ตอบสนอง คนอีกจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มร้องเพลง “พี่ชายอู่เว่ย พี่สาวทุนอวิ๋นถ้าพวกเรามีวาสนา งั้นก็มาร้องเพลงด้วยกันเถอะ”  

 

 

จากนั้นก็มีเสียงร้องเพลงดังมาจากภูเขาอีกลูก “เหล่าพี่ชายและพี่สาว มาค่องเพลงกันเถอะ สุราไม่ได้ทำให้คนมึนเมา ผู้คนต่างหากที่มอมเมาตัวเอง…  

 

 

ทัพชิงไซรู้สึกสับสน  

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เรากำลังสู้รบกันอยู่ที่นี่! แล้วทำไมพวกกลุ่มคุณลุงถึงได้มาร้องเพลงพื้นบ้านหากันบนภูเขา พวกนั้นจะช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ  

 

 

พูดตามตรง ทัพอู่เว่ยก็กำลังสิ้นหวังเช่นกัน จางเว่ยอวี่เพียงแค่บอกพวกเขาว่าให้มาทำให้ทัพอู่เว่ยสับสนและหลงทาง แต่เขาก็ไม่ได้บอกอย่างแน่ชัดว่าให้ทำอย่างไร  

 

 

ในความเป็นจริง ผู้นำมักจะคาดหวังผลในการสู้รบเสมอ พวกเขาไม่สนใจว่าคุณจะใช้วิธีอะไร นี่คือความแตกต่างของทหารที่โดดเด่น ถ้าพวกเขาเก่งกาจพอ พวกเขาก็จะคิดหาวิธีการของตัวเองอ้างอิงจากคำสั่งของหัวหน้า แต่ถ้าพวกเขาเก่งไม่พอ พวกเขาก็จะไม่สามารถหาวิธีได้  

 

 

ตอนนี้กองทหารกำลังแตกตื่น ระหว่างทางมาที่นี่ พวกเขาคิดถึงสิ่งที่ทัพอู่เว่ยเคยพูด พวกเขาจะทำให้ทัพชิงไซสับสนได้อย่างไร  

 

 

เมื่อทัพชิงไซเห็นทัพอู่เว่ย พวกเขาก็เตรียมพร้อมจู่โจมทันที แต่ดูไม่เหมือนว่าทัพอู่เว่ยจะโจมตีพวกเขา พวกเขายังคงร้องเพลงของตัวเองต่อไป “ตราบเท่าที่เรามีความเป็นมิตร บทเพลงของพวกเราจะอัญเชิญนกฟีนิกซ์สีทอง…”  

 

 

กองทัพชิงไซรู้สึกมึนงงไปหมด  

 

 

พูดตามตรง ทัพชิงไซเคยสู้รบมาแล้วหลายครั้ง แต่พวกเขาไม่เคยเจอกองทัพประเภทนี้มาก่อน…  

 

 

“สรุปแล้วทัพอู่เว่ยทำอะไรอยู่ที่ลานเดินขบวนตลอดเวลาที่ผ่านมา…” ใครบางคนจากทัพชิงไซถอนหายใจ  

 

 

“จับตัวพวกเขาไว้” หลิวอี้เจาพูดเสียงเย็นชา “มาดูกันว่าพวกเขาจะมีแผนลับอะไร”  

 

 

กองหน้าเร่งออกไปทันที แต่ในขณะที่พวกเขาไปได้ครึ่งทาง ทัพอู่เว่ยก็หายไปแล้ว  

 

 

ทุกคนจากทัพชิงไซถึงได้รู้ว่าทัพอู่เว่ยนั้นรวดเร็วมาก!  

 

 

ใครบางคนพูดเสียงต่ำ “ผู้บัญชาการ ผมรู้สึกได้ว่าพวกเขาอยู่ไกลแค่ไหน! มีพวกเขามากกว่าสิบคน และไม่มีใครที่มีระดับต่ำกว่าสี่เลย! และยังมีระดับสามอยู่จำนวนหนึ่งอีกด้วย!”  

 

 

เมื่อหลิวอี้เจาได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกมึนงง “อาจจะมีพวกทหารชั้นนำจากทัพอู่เว่ย ดังนั้นพวกเขาคงจะแข็งแกร่งกว่าเรา”  

 

 

ขนาดกองทัพชั้นยอดอย่างทัพชิงไซก็ยังมีระดับห้าตั้งหลายคน ทัพเฮยอวี่ก็เช่นกัน หลิวอี้เจาไม่อยากจะเชื่อว่ากองทัพที่น่ารังเกียจอย่างทัพอู่เว่ยกลับไม่มีระดับห้าแม้แต่คนเดียว!  

Related

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset