วันต่อมาหลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมาตอนตีสาม การที่ภูเขาหิมะถล่มก็เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับบรรพบุรุษคนก่อนๆ ในหอเกียรติกระบี่นั้นหมายความว่าเขาจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่
ตอนนี้เขาวางแผนที่จะใช้แต้มอารมณ์ที่เก็บสะสมมาเพื่อจุดประกายดาวดวงที่เจ็ด หลังเลื่อนระดับขค้นมาจากระดับ C อย่างเป็นทางการแล้ว ค่าร่างกายและความเร็วของเขายังถือว่าไม่มากพอ และเขากำลังเร่งไปถึงจุดนั้น
อย่างไรก็ตามการที่ค่าร่างกายของเขายังอ่อนแออยู่ทำให้เขาไม่มั่นใจไม่การไต่รับขึ้นไปที่ระดับ B เขาจะรู้สึกเบาใจได้ก็ต่อเมื่อเขามีคุณสมบัติของระดับ B ครบแล้วทุกด้าน
เพราะฉะนั้นในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่สามารถจะเอาแต้มไปแลกผลชี่ไห่ได้ เขาทำได้แค่เพียงพยายามสร้างภูเขาหิมะขึ้นมาใหม่ได้เท่านั้น
แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากคิดอะไรมาก ในเมื่อหลี่เสียนอีเองก็ฝึกฝนกระบี่ไปทีละขั้น เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ไม่ควรมองว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา
ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่กลุ่มของทวยเทพ หลี่ว์ซู่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อรวบรวมพลังที่เขาเคยได้มา เขาฉุกคิดได้ว่าในการฝึกฝนร่างกาย เขาไม่ควรที่จะหยุดง่ายๆ หลังจากที่ผ่านการเลื่อนระดับแล้วเพื่อให้สามารถควบคุมพลังได้ดีขึ้น พลังของเขายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การควบคุมพลังที่มีก็ยากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เขามีเวลามากขึ้นแล้ว เขาอยากจะทำให้ร่างกายตัวเองเสถียรมากพอและอยากที่จะเก็บรายละเอียดสิ่งที่เขาพลาดไปอีกครั้งในช่วงเวลาที่เขาแข็งแกร่งขึ้นไวเกินไป
หลังจากที่ทะเลแห่งพลังเปิดแล้ว พลังกระบี่ก็เพิ่มขึ้นระหว่างการฝึกกระบี่ตามปกติ นี่ต่างจากพลังเต๋าของคิริฮาระที่บางทีก็มีแต่บางทีก็ไม่มี
แต่หลี่ว์ซู่แทบไม่ค่อยได้ใช้อาวุธมือนักในการต่อสู้ ก็เหมือนกับที่ปู่เสียนอีใช้เพียงแค่พลังดาบรัศมีและกระบี่บินเท่านั้น แต่หลี่ว์ซู่คิดว่าถ้าเขาได้กระบี่ดีๆ มาเล่มหนึ่ง เขาก็อยากลองสู้แบบประชิดดู
เพราะตอนนี้ศัตรูอาจคิดว่าเขาสู้ด้วยธนู แล้วก็หลอกให้พวกมันตายใจ หลังจากนั้นค่อยเซอร์ไพรส์ด้วยการใช้กระบี่จ้วงพวกมันทีหลัง…
หลี่ว์ซู่ยังใช้พลังกระบี่ไม่ค่อยเก่งนัก ไม่เหมือนปู่เสียนอี หลี่ว์ซู่จำได้ว่าเขารู้สึกถึงพลังบางอย่างได้ตอนได้ดูปู่ฝึกกระบี่
ถ้าหลี่ว์ซู่ซ่อนกระบี่ของเขาได้อย่างมิดชิดแล้วละก็ เขาก็คงจะประสบความสำเร็จไปอีกขั้นในการใช้กระบี่นี้
หลังจากที่กินข้าวเช้าเรียบร้อย หลี่ว์ซู่ก็พาเสียวอวี๋ขึ้นไปบนภูเขา พวกเขายังต้องไปให้ผลล้างไขกระดูกกับเจ้าแมวยักษ์กับหมูพยศอยู่ แต่พอไปถึงที่ที่พวกมันอยู่แล้วหลี่ว์ซู่ก็ถึงกับอึ้ง
เขาเห็นกุยช่ายที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว หลี่ว์ซู่กับเสี่ยวอวี๋เพิ่งได้กลับมาที่แปลงปลูกนี้ เพราะฉะนั้นต้องไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาแน่
“เจ้ากระรอกเสี่ยวซยงสวี่ช่วยเก็บกุยช่ายด้วยเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างงุนงง เขาคิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋บอกให้เจ้ากระรอกช่วยงานอีกรอบหนึ่ง
แต่เธอกลับส่ายหัว เสี่ยวอวี๋ดูโกรธจัดมาก เห็นกันชัดๆ ว่ามีคนขโมยกุยช่ายไป!
ไอ้เจ้านั่นมันต้องกล้ามากนะที่ขโมยกุยช่ายไปแบบนี้! เธอไม่ยอมให้อภัยแน่!
หลี่ว์ซู่ยังไม่ทันจะพูดอะไร หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เรียกให้แมวยักษ์และหมูพยศมาหาโดยปราศจากการส่งเสียง เจ้ากระรอกออกมาก่อน เสี่ยวอวี๋เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ควบคุมสัตว์ นี่ไม่ใช่การล้อเล่น เธอมีความสามารถนี้จริงๆ!
พอหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เจ้าแมวยักษ์และเจ้าหมูพยศก็ออกมานั่งกันสลอนอยู่หน้าเสี่ยวอวี๋ พวกมันต่างตกใจกันมาก เสี่ยวอวี๋กอดเจ้ากระรอกแล้วก็ชี้นิ้วไปที่แมวยักษ์กับหมูพยศ
“ไปไหนกันมาเนี่ย ทั้งสองตัวเลย ฉันสั่งให้พวกแกดูแลแปลงผักนะ”
เจ้าแมวยักษ์คอตก แต่เจ้าหมูพยศผงกหัวขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงทางจมูก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เลิกคิ้ว
“ไปเล่นกันมาสินะ ฉันบอกพวกแกแล้วไงว่าแปลงผักเป็นที่ของพวกเรา แล้วก็ให้พวกแกดูแลมันอย่างดี”
เจ้าหมูพยศผงกหัวแล้วก็ส่งเสียงอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเสี่ยวอวี๋ก็หันไปหาแมวยักษ์ทันที “นี่แกต้องพาเจ้าหมูไปเล่นบนภูเขาด้วยกันด้วยเหรอ”
เจ้าแมวยักษ์ที่คอตกอยู่แล้วคอตกยิ่งกว่าเดิม…
หลี่ว์ซู่ที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง ทักษะควบคุมสัตว์ของเสี่ยวอวี๋นี่น่าทึ่งจริงๆ เขาอ้างปากค้างในขณะที่เธอกำลังพูดกับพวกมัน
เจ้ากระรอกทำงานบ้านอยู่เมื่อวานเลยไม่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้มันยังบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมอยู่เลยว่าทำไมถึงมันต้องทำงานบ้านด้วย แต่มองอีกด้าน เพราะเหตุนั้นความผิดครั้งนี้เลยตกไปที่คนอื่น เขารอดพ้นไม่มีส่วนเอี่ยวด้วยเลยสักนิด!
คิ้วของเสี่ยวอวี๋ขมวดเป็นปมแน่น “ไม่เข้าใจเหรอว่าพวกเราจน พวกเราซื้อเนื้อให้พวกแกกินตลอดเลยนะช่วงนี้ รู้ไหมว่าเนื้อมาจากไหน ก็มาจากการขายกุยช่ายยังไงล่ะ พอฉันไม่อยู่ พวกแกก็เอาเวลาไปเล่นกันแล้วไม่ช่วยกันดูแลแปลงผักงั้นเหรอ มันยุติธรรมกับฉันไหม”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋โกรธขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเผลอไปตบหัวเจ้ากระรอกเข้า
เจ้ากระรอกอึ้งไปเลย
[ได้แต้มจากกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ +666!]
เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ทำไมต้องโดนตีกระทั่งตอนนอนด้วย
หลี่ว์ซู่หัวเราะ “อย่ากระโตกกระตากไปเลย เจ้ากระรอก ไปเอาพวกหนูหลายร้อยตัวนั่นมาเฝ้าแปลงผักไว้ ฉันอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่มาขโมยกุยช่าย!”
คืนนั้นหลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋ก็กลับบ้านไปบนถนนซิงฉู่ แมวยักษ์และหมูพยศต่างก็ซ่อนตัวอยู่ในสวนเพื่อแอบดูผ่านร่องประตู เจ้ากระรอกพาเพื่อนหนูหลายร้อยตัวมาเพื่อแอบซุ่มดูในพุ่มไม้ที่แปลงผัก
พอถึงเวลาเที่ยงคืน ตาแหลมคมของเจ้ากระรอกก็จับจ้องไปที่แปลงผัก เวลานี้แหละจะได้รู้กันสักที!
ทันใดนั้นมันก็เห็นลูกชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านพาคนอีกสิบคนย่องเข้ามาในแปลงผักอย่างระมัดระวัง
“ถ้าพวกเราถูกจับได้ขึ้นมาล่ะ เขาเป็นนักเรียนห้องเต้าหยวนเลยนะ!”
“ไร้สาระน่า! นักเรียนห้องเต้าหยวนคนนั้นถูกฆ่าไปแล้ว เหลืออยู่แค่เด็กผู้หญิงเท่านั้นแหละ แล้วไอ้พวกสัตว์วิเศษสองตัวนั้นก็วิ่งหายไปไหนแล้วไม่รู้ พวกแกได้กินกุยช่ายนี้เมื่อวานหรือเปล่าล่ะ”
“ได้กินครับ…”
“หึๆ รสชาติเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” ลูกชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านถาม
“หึๆๆ …”
“หึๆๆ …”
แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ต่างหัวเราะออกมา…
เจ้ากระรอกที่แอบซุ่มอยู่ก็โกรธจัด มันกล้าทำทุกอย่างในวินาทีหมดล่ะ พวกนี้นี่เองทำให้เขาโดนเสี่ยวอวี๋ตี!
ทันใดนั้นพวกชาวบ้านก็ล้มลงไปนอนกันเป็นแถบและเริ่มส่งเสียงกรน!
เจ้ากระรอกรู้ว่าความสามารถที่ทำให้คนหลับนี้มาจากแผ่นกระดาษทองคำ มันทำให้คนเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมๆ กันได้ ความสามารถของกระดาษทองที่เจ้ากระรอกได้มานี้เหมือนกับว่ามันเป็นทักษะของเขาเองตามธรรมชาติ เขาสามารถพัฒนาทักษะนี้ไปได้พร้อมๆ กับเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง ช่างเป็นความสามารถที่เหมาะกับสัตว์วิเศษเสียจริงๆ
หากเป็นเมื่อก่อน มันสามารถทำให้คนสลบได้แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มันสามารถทำให้คนสิบคนสลบได้ในคราวเดียว รวมถึงสามารถไปเข้าฝันคนพวกนั้นได้อีก นี่เหมือนกับว่าเป็นโลกแห่งความฝันอันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เหมือนโลกใบนี้เลย
แล้วคนที่สามารถใช้ทักษะนี้ต้องมีระดับ C ขึ้นไปเท่านั้นด้วยนะ!
“พวกแกทั้งหลาย จงซื้อเหรียญออนไลน์ให้ฉัน ถ้าสมัครเป็นสมาชิก VIP แล้วจะลดให้เก้าเปอร์เซ็นต์!”
ที่หลี่ว์ซู่บอกว่าธุรกิจมันพลิกแพลงได้ก็คือแบบนี้ใช่ไหม เจ้ากระรอกรู้สึกว่าตัวเองฉลาดเสียจริงๆ!