ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 951 ส่งพวกเขาออกไปตาย

 

 

 

เนื่องจากมีความต้องการสบู่มากขึ้น จึงมีขบวนคาราวานการค้าเข้าและออกจากเมืองหนานเกิงมากขึ้นเช่นกัน ในสงครามนั้น เหล่าทหารจะไม่สามารถสังหารทูตหรือกองคาราวานด้วยเป็นกฎอันเข้มงวดที่ราชันองค์เก่าได้กำหนดขึ้นมาโดยปราศจากเหตุผลอื่นใด  

 

 

กองคาราวานการค้าบางแห่งอยู่ใกล้ๆ และกลัวที่จะเข้าใกล้ช่องเขาเว่ยเป่ยและช่องเขาหลีหยางเนื่องจากสงคราม บัดนี้เมื่อสงครามสิ้นสุดลง พวกเขาจึงสามารถซื้อสบู่ในเมืองหนานเกิงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่นี่  

 

 

หลี่ว์ซู่ประเมินความต้องการของสบู่ต่ำเกินไป เขาคิดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามปีกว่าที่สบู่จะได้รับความนิยม อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าจำนวนประชากรในโลกนี้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา และพวกเขาต่างก็ต้องการความสะอาดและสุขอนามัย  

 

 

มีหลายพิธีการที่กำหนดให้ผู้เข้าร่วมต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะทำพิธีเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น แต่หากหลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่ยังคงไม่สะอาดอยู่ แล้วจะอารมณ์เสียไหมล่ะ…? และในยุคนี้ หญิงสาวหลายคนก็ยังคงใช้น้ำข้าวสระผมอยู่  

 

 

ในนิยายกำลังภายในหลายเล่มมีการบรรยายถึงความหล่อเหลาของชายหนุ่มที่อยู่ในนั้น เขายังคงหล่อเหลา งามสง่าและดูสะอาดตาน่ามองอยู่ได้หลังจากที่เดินอยู่ในป่ามากว่าครึ่งเดือน   

 

 

แต่ถ้าหากลองทำเช่นนั้นในชีวิตจริง แล้วจะยังกล้ามองว่างามสง่าน่ามองได้ด้วยผมมันเยิ้มหลังจากที่ไม่ได้สระผมมาสามวันแล้วหรือไม่?  

 

 

อย่างไรก็ตาม การกำเนิดของสบู่จะช่วยพวกเขาเหล่านี้ได้  

 

 

ยิ่งพวกเขาโหยหาเสื้อผ้าสีขาวราวหิมะยามเมื่ออ่านถึงมันที่ถูกบรรยายเอาไว้ในบทกวีของกษัตริย์องค์ก่อนๆ มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งโหยหาสบู่มากขึ้นเท่านั้น…  

 

 

ดังนั้นเมืองหนานเกิงจึงคึกคักขึ้นมาในทันใด และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็ไม่สามารถก่อสร้างขึ้นได้ทัน  

 

 

ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะจากไป เขายังอธิบายเป็นการเฉพาะกับจางเว่ยอวี่ หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นว่าพวกเขาควรต้องปรับเปลี่ยนอะไร   

 

 

อันดับแรกคือ ต้องปรับปรุงเส้นทางสำหรับม้าและรถม้า กองคาราวานควรมีที่ให้อาหารม้าและล่อได้ นอกจากนี้พวกเขายังต้องเพิ่มจำนวนที่พักแรมและโรงเตี๊ยมเพื่อให้มีที่ว่างเพียงพอสำหรับกองคาราวานการค้าที่จะอยู่พัก อีกทั้งยังจำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มการผลิตสบู่รวมถึงต้องพิจารณาถึงวิธีการปรับปรุงการดำเนินงานอีกด้วย  

 

 

ชั่วขณะนั้น หลี่ว์ซู่มองไปที่จางเว่ยอวี่ หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นด้วยสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวว่า “อย่างสุดท้าย พวกเราต้องใช้มาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีใครในกองคาราวานพยายามขโมยความลับของกิจการของพวกเรา ก็ต้องถูกลงโทษ!”  

 

 

จางเว่ยอวี่ถามว่า “แล้วจะทำยังไงกับคนขโมยล่ะ?”   

 

 

หลี่เฮยทั่นก็พูดขึ้นทันที “งั้นฉันรู้แล้ว หากใครขโมย ก็ส่งพวกเขาออกไป!”  

 

 

จางเว่ยอวี่ผงะไปชั่วขณะ “ส่งพวกเขาออกไปหรือ? เพื่ออะไรล่ะ?”   

 

 

ทว่าหลี่เฮยทั่นยังพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น “ส่งพวกเขาออกไปตาย!”  

 

 

จางเว่ยอวี่รู้สึกหงุดหงิดฉับพลันเมื่อรู้ว่า นั่นคือสิ่งที่พวกเขาหมายถึง…  

 

 

แต่พวกเขาไม่เข้าใจ “ทาสและขุนนางคือคนที่จะเป็นผู้สร้างเส้นทางและที่พักแรม แล้วพวกเราจะสั่งให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”  

 

 

“การบังคับให้พวกเขาทำเช่นนั้นจะทำลายความกระตือรือร้นในการทำงานของพวกเขา” หลี่ว์ซู่คาดหวังจากพวกเขาไว้ดีกว่านี้ พวกเขาติดตามเขามาเป็นเวลานาน แต่วิธีคิดของพวกเขาก็ยังคงยึดติดอย่างหนัก “พวกเราต้องให้ความช่วยเหลือในช่วงแรก เข้าใจไหม? ลดภาษีของพวกเขาซะ!”  

 

 

หลังจากที่ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ไม่ต้องใช้วิธีให้เงินอุดหนุนอีกต่อไป แต่เขาใช้วิธีลดภาษีโดยตรงแทน และเมื่อธุรกิจก่อตั้งขึ้นแล้ว เขาก็จะขึ้นภาษีอีกครั้ง พอถึงตอนนั้นใครจะไม่ทำตามข้อกำหนดของแหล่งที่มาของรายได้ล่ะ?   

 

 

“นอกจากนี้คลองและการระบายน้ำในเมืองก็ควรจะปรับปรุงให้ดี เราต้องป้องกันน้ำท่วมทุกครั้งที่มีฝนตก และยิ่งตอนนี้ไม่มีแผ่นพื้นทางเท้าแล้ว ก็ยิ่งต้องรีบปูถนนที่ยังไม่ได้ปูพื้น เราต้องการสร้างเมืองที่มีระบบสาธารณูปโภคที่ดีและถูกสุขอนามัยใช่ไหม? และเมื่อทุกคนรู้สึกสบายใจเมื่อพวกเขามาที่นี่ พวกเขาก็จะกลับมาอีกครั้งในภายหลัง” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “จะทำธุรกิจอย่าคิดจะเห็นแก่เงิน พวกคุณต้องทำธุรกิจที่คิดถึงความต้องการของผู้อื่นด้วย เข้าใจไหม?”   

 

 

จากนั้นจางเว่ยอวี่ก็ถามขึ้นทันทีว่า “ความต้องการของพวกเขาหรือ? แล้วหากมีคนสร้างปัญหาล่ะ?”  

 

 

หลี่เฮยทั่นยกมือขึ้นอีกครั้ง นี่เป็นนิสัยที่เขาพัฒนาขึ้นเมื่อเขาได้เรียนรู้หนังสือแล้ว “ฉันก็รู้คำตอบนี้เหมือนกัน”  

 

 

และก่อนที่หลี่เฮยทั่นจะทันได้กล่าวจบ จางเว่ยอวี่ก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ส่งพวกเขาออกไปตาย ถูกไหมล่ะ?”  

 

 

“ถูกต้อง!” หลี่เฮยทั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง  

 

 

โจรก็ย่อมเป็นโจรเสมอ จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ พวกขาก็รู้แค่ว่าจะสามารถปกป้องตัวเองในโลกที่มีปัญหานี้ได้ก็ต่อเมื่อแข็งแกร่งพอเท่านั้น  

 

 

ในช่วงเวลานี้ จางเว่ยอวี่จะไปเยือนเมืองเถียนเกิ่งเพื่อตรวจสอบเป็นระยะๆ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่รู้ว่าเขากำลังรออะไรหรือมองหาอะไรอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ต้องไปเยือนก่อนเสมอเพื่อความสบายใจของเขา  

 

 

หลังจากที่หลี่ว์ซู่ได้อธิบายทุกอย่างและมอบหมายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้กับพวกเขาแล้ว เขาก็พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตามกองคาราวานที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง ตั้งแต่มาที่เมืองหนานเกิง หลี่ว์ซู่ก็ไม่เคยปรากฏตัวในที่สาธารณะและไม่เคยคุยเรื่องธุรกิจกับนักธุรกิจกองคาราวานเลย  

 

 

ด้วยฐานะของหลี่ว์ซู่ ทำไมเจ้าเมืองที่สง่างามอย่างเขายังต้องเจรจาในธุรกิจของเขากับกองคาราวานการค้า? จางเว่ยอวี่คิดว่า หลี่ว์ซู่คงต้องการซ่อนตัวและฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของตัวเองให้เฉียบคมในฐานะเจ้าเมืองใช่หรือไม่?  

 

 

ไม่ต้องบอกเลยว่า จางเว่ยอวี่ชื่นชมหลี่ว์ซู่มากที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน เขาก็ไม่เคยหย่อนยานในการฝึกฝนกระบี่  

 

 

ใครก็ตามที่ได้ฝึกฝนมาก่อนจะสามารถเข้าใจได้ว่าการฝึกฝนนั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อจริงๆ แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่เคยเกียจคร้านกับมัน  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เคยถามหลี่ว์ซู่ว่า ทำไมเขาถึงต้องฝึกฝนอย่างหนัก ในเวลานั้นหลี่ว์ซู่กล่าวเพียงว่า เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้ดูนารูโตะกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขาชื่นชมความแข็งแกร่งของตัวละครเหล่านั้น  

 

 

หลายคนต่างใฝ่ฝันที่จะใช้เคล็ดวิชาเพื่อช่วยให้พวกเขาทรงพลังพอๆ กับตัวเอกในการ์ตูนอนิเมะ  

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาค่อยๆ เติบโตขึ้น ทุกคนต้องเผชิญกับงานธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่ซับซ้อน และความชั่วร้ายของสังคม  

 

 

พวกเขาล้วนต้องการตำแหน่ง ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง การเลื่อนตำแหน่ง และค่าแรงที่เพิ่มขึ้น  

 

 

กระทั่งในวันหนึ่ง ทุกคนก็ได้หันกลับมามองและพบว่าเมื่อพวกเขากำลังหลับ พวกเขาไม่ได้ฝันถึงนักรบ ผู้กล้า และมังกรอีกต่อไป และไม่ได้ฝันถึงชีวิตในฝันที่นึกถึงตลอดวันเมื่อครั้งที่พวกเขายังเยาว์วัยอยู่  

 

 

บางคนบอกว่านี่คือความเป็นผู้ใหญ่ แต่หลี่ว์ซู่คิดว่ามันคือความตาย  

 

 

ดังนั้น เนื่องจากหลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ มีโอกาสที่จะเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของตนเอง พวกเขาจึงต้องทะนุถนอมโอกาสล้ำค่านี้เอาไว้  

 

 

และหลี่ว์ซู่ก็เป็นคนที่รู้วิธีที่จะรักษาโอกาสที่เขามีเอาไว้ได้อยู่เสมอ  

 

 

เหตุผลที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ติดตามกองคาราวานการค้านั้นเพราะพวกเขาไม่รู้จักทางและการเดินไปที่นั่นก็คงจะเหนื่อยมากเกินไป นอกจากนี้ หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่ต้องการที่จะไปถึงเมืองหลวงเร็วเกินไป  

 

 

เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่การเปิดลงทะเบียนเข้ารับการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่จะเริ่มต้นขึ้น ยังมีระยะเวลาการลงทะเบียนสามเดือนหลังจากนั้น คราวนี้ กระท่อมกระบี่จงใจจัดสรรช่วงเวลานี้ให้กับผู้สมัครที่มาจากกองทัพ พวกเขาจะใช้วิธีการของตนเองเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขาและแม้กระทั่งตัดบางคนออกไป  

 

 

กระท่อมกระบี่ไม่สนใจว่าคุณจะใช้วิธีใด ตามคำกล่าวของกระท่อมกระบี่นั้น หากไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ก็จงอย่าได้ฝึกฝน ยิ่งระดับการฝึกฝนสูงขึ้นก็จะยิ่งตายเร็ว กระท่อมกระบี่จะไม่ฝึกฝนพวกไร้ประโยชน์เหล่านี้  

 

 

แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ทุกคนก็เข้าใจเส้นทางสู่กระท่อมกระบี่ พวกเขาบอกว่าพวกเขาไม่สนใจอะไร แต่หากพวกเขาชั่วช้าเกินไป กระท่อมกระบี่ก็จะกำจัดพวกเขาอย่างแน่นอน  

 

 

ดังนั้นผู้สมัครของกระท่อมกระบี่จึงมีความเฉพาะเจาะจงมากเกี่ยวกับช่วงเวลาและเวลาที่พวกเขาเข้าสู่เมืองหลวง และทันทีที่พวกเขาเข้าสู่ เมืองหลวง นั่นก็หมายความว่าการแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว  

 

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของหลี่ว์ซู่นั้นไม่เหมือนกับคนอื่น ผู้สมัครเหล่านั้นเพียงแค่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้สมัครคนอื่นๆ เท่านั้นในขณะที่หลี่ว์ซู่ยังต้องกังวลว่าจะมีใครบางคนมาแก้แค้นเขา…  

 

 

หลี่ว์ซู่ยังรู้ว่ากองทัพอู่เว่ยมีศัตรูกี่คนในเมืองหลวง เขาจึงตัดสินใจมาทีหลังและฝึกฝนอย่างหนักในระหว่างทาง…  

 

 

ขณะที่เจ้าเมืองกำลังจะเดินทาง กองทัพอู่เว่ยได้เตรียมรถม้าที่ทนทานและม้าที่ดีที่สุดให้กับหลี่ว์ซู่ หลี่เฮยทั่นร้องไห้คร่ำครวญและตะโกนว่าเขาอยากขอติดตามองค์ราชาไปด้วย แต่หลี่ว์ซู่ปฏิเสธเพราะมันอันตรายเกินไป  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset