ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 959 ลอบโจมตี!

รถม้าผ่านเส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อเล็กน้อย แต่หลี่ว์ซู่ยังสามารถเดินทางและฝึกฝนต่อไปได้อย่างสบายใจ  

 

 

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ซุนจ้งหยางรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นครั้งคราว เมื่อเขานึกถึงคำที่ว่า ‘เห็นเงินเหมือนเห็นหน้าเธอ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นสวีมู่จวินย้ายที่นั่งไปอยู่เคียงข้างหลี่ว์ซู่  

 

 

เขาไม่เข้าใจเลยว่า สตรีที่งดงามและมากความสามารถ ทั้งเชี่ยวชาญในการเขียนอักษร ดีดพิณ การเดินหมากทุกรูปแบบ และยังพูดจาไพเราะเช่นนี้ ทำไมถึงไปติดตรึงใจกับหนุ่มน้อยหน้าขาวแบบนั้นได้?  

 

 

ในบรรดาคนสิบสองคนที่เดินทางไปกับซุนจ้งหยางนั้นประกอบไปด้วยสตรีสาวห้าคนและบุรุษหนุ่มเจ็ดคน พวกเขาล้วนเติบโตมาด้วยกัน เรียนด้วยกัน และยังคงติดต่อกันหลังจากเข้าเรียนในสำนักศึกษา แม้ว่าโม่เสี่ยวหยาและคนอื่นๆ จะงดงามมาก แต่เขาก็ไม่สามารถคิดอะไรกับพวกนางได้เพราะพวกเขาสนิทกันมากเกินไป  

 

 

บางที สักวันหนึ่ง พวกเขาอาจจะถูกตระกูลจัดให้แต่งงานกันก็ได้ และหลังจากแต่งงานแล้ว คาดว่าพวกเขาก็คงจะเคารพและให้เกียรติกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะคิดถึงผลประโยชน์ร่วมกัน  

 

 

ดังนั้นแม้พวกเขาจะแต่งงานกัน ซุนจ้งหยางก็จะไม่รู้สึกกังวลใดๆ หากเขามีทาสหญิงคนอื่นๆ  

 

 

“เจ้าเด็กนั่นโลภเกินไป” ซุนจ้งหยางร่ำร้องออกมา เขาเคยบอกโม่เสี่ยวหยาก่อนหน้านี้ว่าไม่ควรใช้ข้ออ้างทางศีลธรรมเพื่อกดดันให้ใครต้องปฏิบัติตามหากไม่ได้ประสบกับชีวิตที่ย่ำแย่อย่างใครเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่สามารถทนได้อีกต่อไป…  

 

 

ซุนจ้งหยางรู้สึกโกรธเล็กน้อยเพราะเขาถูกตบหน้าด้วยคำพูดของเขาเอง…  

 

 

“เหอะๆ หากเจ้าหมอนี่ไม่โลภ แล้วจะเลือกทรยศผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยไปทำไมล่ะ?” ใครบางคนแค่นเสียงเยาะ “จะให้จัดการฆ่าเขาไหมล่ะ?”  

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซุนจ้งหยางก็ยังคงส่ายศีรษะ “เขาไม่ได้โกหกหรือทรยศเรา ทำไมต้องฆ่าเขาด้วยล่ะ? พวกนายอย่าโหดร้ายจนเกินไป!”   

 

 

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เมื่อซุนจ้งหยางกล่าวเช่นนี้ เขามักจะรู้สึกราวกับว่าเขาพูดเกินจริงมากเกินไป แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดผิดปรกติ  

 

 

ระหว่างทาง กองคาราวานการค้าไม่หยุดที่ใดเลย หัวหน้ากองคาราวานการค้าก็ไม่สนใจเมืองที่พวกเขามักจะเคยแวะเข้าไปและทำการเปลี่ยนถ่ายขนย้ายสินค้าของพวกเขา  

 

 

บัดนี้มีเพียงหัวหน้ากองคาราวานและทาสของเขา และหลี่ว์ซู่ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ รวมถึงบรรดาลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวง  

 

 

หลี่ว์ซู่ยังพูดเล่นๆ ว่าหัวหน้ากองคาราวานไม่ต้องทำธุรกิจอะไรเลย เพราะต่อให้เขาไม่เสียเวลากับการขายและขนส่งสินค้า แต่เขาก็สามารถทำเงินได้จากการพาคนขึ้นมาระหว่างทางได้  

 

 

ในท้ายที่สุด หัวหน้ากองคาราวานก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “รู้อะไรไหม พวกบุตรธิดาชนชั้นสูงเหล่านี้ล้วนถูกทะนุถนอมเอาใจจนเสียนิสัย แล้วพวกเขาจะรู้จักโลกที่เลวร้ายได้อย่างไร? ข้างนอกวุ่นวายมากมาย! แล้วพวกขุนนางยังมีความแค้นกันเป็นพันๆ ปีมาแล้วอยู่ด้วย! หากพวกเขาโกรธ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเด็กๆ กลับไป แล้วฉันจะรับผลที่ตามมาได้อย่างไร แม้ว่าเราจะไม่พูดถึงความแค้นระหว่างพวกชนชั้นสูงก็ตาม นายคิดว่า…”  

 

 

ชั่วขณะนั้น พลันมีเสียงหึ่งดังมาจากระยะไกล หลี่ว์ซู่ก็มองกวาดออกไปทันทีและเห็นจุดสีดำกำลังบินมาจากท้องฟ้าไกลโพ้น  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ได้ทัน โชคยังดีที่หลี่ว์ซู่มีปฏิกิริยารวดเร็วและดึงเขาออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหัวหน้ากองคาราวานการค้าก็เห็นลูกธนูขนนกหนาหนักพุ่งผ่านแก้มของเขาจนเกิดลมแรงพัดผ่านแก้มของเขาจนแสบแก้ม!  

 

 

ทันใดนั้นเขาก็เห็นซุนจ้งหยางบินออกมาจากรถม้าทันที และรถม้าก็กลายเป็นเศษไม้จากการกระแทกของซุนจ้งหยาง  

 

 

ในพริบตาเดียว ซุนจ้งหยางก็ไปถึงด้านหน้าของหลี่ว์ซู่และหัวหน้ากองคาราวาน เขายื่นมือออกไปและไขว้นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบลูกธนูขนนกเอาไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขา  

 

 

จากนั้นลูกธนูก็หมุนแล้วบินตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่ามีตา แล้วตกลงไปอยู่ในมือของหลี่ว์ซู่  

 

 

หลี่ว์ซู่ส่งลูกศรขนนกให้ซุนจ้งหยาง และซุนจ้งหยางก็หันหลังกลับไปถามหัวหน้ากองคาราวานว่า “รู้จักลูกธนูขนนกนี้หรือไม่?”  

 

 

ลูกธนูขนนกเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะใช้ได้ หัวลูกธนูหนาพอๆ กับหมัดของทารกและมันทำด้วยทองคำและเหล็ก  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “แม้มันจะไม่ใช่ของธรรมดา แต่ก็มีพวกทาสและคนเร่ร่อนมากมายที่เก่งในเรื่องนี้ กระผมไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนใช้มัน โดยปกติแล้ว การลอบโจมตี จะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นและจะ เป็นการดีที่สุดที่จะฆ่าด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว แต่คนเร่ร่อนเหล่านั้นล้วนกลัวความตาย และคุ้นเคยกับการสำรวจเส้นทางก่อนลงมือทุกครั้ง หากพบว่ายากที่จะบรรลุเป้าหมาย พวกเขาก็จะถอย พวกเขาจะทำแต่สิ่งที่พวกเขามั่นใจ และตอนนี้เมื่อท่านเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาก็อาจจะหนีไปออกไปไกลๆ ทันทีและจะไม่มาปรากฏตัวอีกในอีกสองสามปีข้างหน้า”   

 

 

ซุนจ้งหยางขมวดคิ้วแล้วถามว่า “พวกเขาไม่มียอดฝีมือระดับหนึ่งหรือ?”  

 

 

“ท่านอย่าไปไล่ตามพวกเขาเลย มีสถานการณ์อื่น…” หัวหน้ากองคาราวานมองไปที่ใบหน้าของซุนจ้งหยางอย่างลังเล  

 

 

“พูดมา” ซุนจ้งหยางกล่าวนิ่งสงบ  

 

 

“บางครั้งพวกเขาก็ใช้วิธีนี้ในการล่อหลอกพวกลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวง เนื่องจากคนเหล่านั้นมักจะหยิ่งทะนงและทะเยอทะยาน บางคนอาจหลงกลและไล่ตามไปจนถูกปิดล้อมและถูกสังหารในที่สุด หัวหน้ากองคาราวานการค้ากล่าวอย่างระมัดระวัง โดยพื้นฐานแล้ว คนเร่ร่อนมักดูถูกลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวง เพราะรู้สึกว่าพวกเขาหุนหันพลันแล่นและมั่นใจมากเกินไป  

 

 

อย่างไรก็ตาม นี่คือความจริง แผนการของคนเร่ร่อนมักจะประสบความสำเร็จ และพวกเขาก็จะปกปิดตัวตน หลบซ่อนเป็นเวลาหลายปีเพื่อรอให้เบาะแสเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมดหายไป ก่อนที่จะออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง  

 

 

ประวัติของพวกทาสเหล่านี้มีมาช้านานแล้ว และพวกมันเป็นภัยคุกคามที่ซ่อนเร้นหลังจากการต่อสู้นองเลือดที่ราชันองค์เก่ามีส่วนร่วมและรวมถึงยังมีทาสบางคนที่ค่อนข้างดุร้ายและโหดเหี้ยมอีกด้วย  

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินว่ายังมีทาสที่ดุร้ายในจักรวาลหลี่ว์ เขาก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาทำตัวเหมือนรับจ้าง พวกเขากล้าโจมตีแม้แต่ลูกหลานชนชั้นสูงที่มีอำนาจอย่างซุนจ้งหยางได้อย่างไร?  

 

 

“ไม่รู้ว่าพวกเขาพุ่งเป้าไปที่ใคร?” ซุนจ้งหยางฉงน มีสิบสองคนที่นี่และแต่ละคนก็อาจดึงดูดศัตรูที่ทรงพลังเหล่านี้ได้ มันเป็นความจริงที่ว่าพวกชนชั้นสูงสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ด้วยการเหยียบย่ำซากศพคนไปมากมายจริงๆ  

 

 

อย่างไรก็ตาม ซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็กล้าพอที่จะปรากฏตัวออกมา หากพวกเขาเป็นพวกบุตรชายชนชั้นสูงธรรมดาจริงๆ พวกเขาก็โง่มากที่จะออกมาโดยไม่มีผู้ติดตาม แต่ซุนจ้งหยางไม่ได้โง่ พวกเขาคิดถึงสถานการณ์ที่หัวหน้ากองคาราวานกล่าวเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว  

 

 

ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็มียอดฝีมือระดับหนึ่งสี่คนและยอดฝีมือระดับสองแปดคนซึ่งมีทักษะที่น่ากลัวอย่างยิ่งเช่นกัน พวกเขาพูดถึงเรื่องนี้กันก่อนที่จะออกมาแล้ว และซุนจ้งหยางตั้งใจจะให้พวกเขาฆ่าศัตรูทีละคน  

 

 

และนี่ก็คือความมั่นใจในตนเองของซุนจ้งหยางและพวกของเขา  

 

 

อย่างไรก็ตาม หัวหน้ากองคาราวานก็จำภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ และก็แสร้งทำเป็นมองหลี่ว์ซู่เพื่อตรวจสอบ   

 

 

ชั่วขณะนั้น เขาซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับสอง แต่กลับไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ทันเลยเพราะลูกธนูนั้นรวดเร็วมาก กว่าจะได้ได้ยินเสียงก็สายเกินไปที่จะหลบหลีกลูกธนูที่รวดเร็วพวกนั้นได้! และเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงดังราวกับเสียงระเบิด ลูกธนูนั้นก็พุ่งมาถึงตรงหน้าของพวกเขาแล้ว!  

 

 

แต่แม้ว่าหัวหน้ากองคาราวานจะไม่สามารถโต้ตอบได้ทันท่วงที แต่หลี่ว์ซู่กลับสามารถตอบโต้ได้ เดิมทีนั้นหัวหน้ากองคาราวานคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญ และซุนจ้งหยางและพวกของเขายังกล่าวล้อเลียนกันเล่นๆ ว่า ต่อให้หลี่ว์ซู่จะพยายามฝึกฝนอย่างหนักก็ตาม แต่ก็เป็นได้แค่เจ้าตัวไร้ประโยชน์เท่านั้น  

 

 

หลี่ว์ซู่พบว่าหัวหน้ากองคาราวานแอบตรวจสอบเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฉันจะไม่จ่ายเงิน หากคุณคิดจะหักหลังเรา”  

 

 

หัวหน้ากองคาราวานจึงพูดไม่ออก ทำไมในเวลาอย่างนี้เขาถึงยังห่วงเรื่องเงินอยู่อีกล่ะเนี่ย…  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset